Chapter 133 พักผ่อนให้สงบนะ ศิษย์พี่

ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything

Chapter 133: พักผ่อนให้สงบนะ ศิษย์พี่!

เย่หรู่เชิงยังคงเงียบอยู่และชุดเกราะโซวิญญาณพยัคฆ์ของเขาก็ส่องประกายออกมา เขาได้สวมชุดเกราะมาตั้งแต่ยังเด็กและออร่าของชุดเกราะได้หลอมรวมเข้ากับตัวเขา

ด้วยเหตุนี้นี่เองเมื่อเทียบกับสมบัติธรรมะที่ผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองคําส่วนใหญ่ใช้กันชุดเกราะของเขาทรงพลังกว่ามากด้วยเหตุนี้นี่เองมันจึงทําให้ความมั่นใจของเขามากกว่าเดิมมากตราบเท่าที่คนที่พวกเขาสู้ไม่ใช่คนที่อยู่ในขั้นแก่นทองคํา!

ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเฉินเฉินมองไปยังสมบัติของเย่หรู่เชิงเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา

เขาไม่มีสมบัติที่หลอมรวมเข้ากับตัวของเขาและเรียกใช้ได้ทุกเมื่อแบบนี้

 

มันมีสมบัติหลากหลายประเภทในแหวนเก็บของของเขาแต่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะหยิบพวกมันออกมา

 

หลังจากที่เก็บดาบไฟของเขาในมือลงไป เฉินเฉินก็หายใจเข้าลึกและหมัดของเขาก็เริ่มเปล่งแสง

ในระยะทางที่ห่างไกลออกไป มันมีร่องรอยของเงา พยัคฆ์ขาวด้านหลังเหรู่เชิงในขณะเดียวกันมันก็มีร่องรอยของเจ ตนาสังหารลอยอยู่โดยรอบ

 

ในชั่วขณะต่อมา เย่หรูเชิงก็ถอนหายใจยาวออกมาและโจมตีเข้าใส่เฉินเฉินด้วยพลังโจมตีที่รุนแรง พยัคฆ์ขาวที่อยู่ด้านหลังเขากระโดดขึ้นและเปิดปากกว้าง!

เขาปลดปล่อยเต็มพลังโดยการโจมตีของเขาซึ่งเต็มไปด้วยอะไรหลายอย่าง!

 

มันเป็นไปตามที่อาจารย์คาดคิด ความหวังที่สํานักได้วางไว้ที่เขาแรงใจที่ไม่สั่นไหวและอย่างอื่น

“เย่หรู่เชิงพึ่งจะก้าวขึ้นมาสู่ขั้นแก่นทองคําได้ แต่เขาก็มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว เขาสมกับเป็นลูกศิษย์ที่ศิษย์พี่ไปได้ช่วยไว้แม้ว่าเขาจะตายไปก็ตาม” เจ้าสํานักวิหคสีชาดถอนหายใจออกมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล

 

เจ้าสํานักเต่าดําลูบหัวซวนฮง มันเหมือนกับว่าดูเขาสิแล้วดูตัวเจ้าสิเจ้าควรที่จะอับอายกับตัวของเจ้าเองมากนะ

แม้แต่เชี่ยวอู่โยวยังขมวดคิ้ว ความแตกต่างระหว่างการมีสมบัติและไม่มีสมบัติมันใหญ่หลวงมากเกินไป พร้อมกับสมบัติประจําตัวแล้วพวกเขาสามารถต่อสู้กับผู้ที่อยู่ขั้นแก่นทองคําระดับกลางที่ไม่มีสมบัติประจําตัวได้เลย

“ลูกศิษย์ของข้าจะเอาชนะเย่หรู่เชิงได้ยังไงกัน?”

พูดตามจริงแล้ว เขาไม่ได้เห็นการต่อสู้ของเฉินเฉินกับคนอื่นสักเท่าไหร่เมื่อเขารู้ว่าเฉินเฉินได้ช่วยสํานักเทียนหยุนมาอยู่ในอันดับสองท่ามกลางสามสิบหกสํานักแล้ว เขาก็ประหลาดใจเป็นเวลานานมาก

ปัง!

 

เพียงแค่ฝูงชนกําลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นจากบนสังเวียน ตามมาด้วยคลื่นพลังวิญญาณจํานวนมหาศาลหลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้งหนึ่ง

ทุกคนต่างเห็นหมัดของเฉินเฉินซัดเข้าใส่ท้องของเย่หรู่เชิงในขณะที่หมัดของเย่หรู่เชิงยังอยู่ห่างจากหน้าของเฉินเฉินอีกนิ้วหนึ่ง

ในจุดนี้นี่เอง ไม่มีใครสักคนขยับตัวและหลังจากผ่านไปเป็นเวลานานก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงกระซิบของเย่หรู่เชิง

 

“เฉินเฉิน เจ้า…ระดับของแก่นทองคําของเจ้าคืออะไรกัน?”

“ข้าไม่รู้ มันน่าจะทรงพลังกว่าขั้นแรกอยู่เล็กน้อย” เฉินเฉินตอบกลับอย่างจริงจัง ในขณะที่ถอนหมัดออกมา

ในจุดนี้เอง เกราะโซวิญญาณพยัคฆ์บนตัวเย่หรู่เชิงนั้นมีรอยแตกและสภาพมันดูน่าสงสารมาก เขาล้มลงไปกับพื้น

 

เมื่อมองไปยังบนท้องฟ้าที่สวยงามด้านบน เย่หรู่เชิงพึมพําด้วยหน้าตาที่มีน “เฉินเฉินมีแก่นทองคําที่สูงกว่าขั้นแรก หลังจากที่ข้าได้ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงข้าพึ่งจะสร้างแก่นทองคําได้เพียงระดับสามแค่นั้นเอง”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาผ่านมาและทนทรมานมาตั้งแต่เด็กจากชุดเกราะของเขาก่อนที่จะก้าวมาถึงขั้นแก่นทองคําเขาก็รู้สึกย่ําแย่

มาก

เย่หรู่เชิงปิดตาลง เขามีน้ําตาอยู่ในดวงตา

 

ทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

เขาคิดว่ามันถึงเวลาของเขาแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายแทน

“ทําไมข้าถึงได้ยอมเสียสละอย่างมากและผ่านการทรมานเช่นนั้นมายังไม่เทียบเท่ากับเฉินเฉินเลย”

 

“เย่หรู่เชิง อย่าเสียใจไป ในความเป็นจริงแล้วเขายังน่าประทับใจมากเขาเป็นยอดฝีมือของรัฐจิน!”

 

หลังจากปลอบประโลมเขาอย่างไม่จริงใจก่อนที่เฉินเฉินจะกระโดดออกจากสังเวียน

ฝูงชนที่ล้อมรอบต่างพึ่งจะตั้งสติได้พวกเขาไม่ได้คาดคิดถึงเรื่อง

นี้เลย

 

ยิ่งเจ้าสํานักวิหคสีชาดมองไปที่เฉินเฉินมากเท่าใด เธอยิ่งชอบเขามากเท่านั้นเธอนั้นตกตะลึงกับความสามารถของเขาที่เอาชนะเย่หรู่เชิงด้วยหมัดเดียวมาก

 

แม้แต่ผู้ฝึกตนในขั้นแก่นทองคําระดับกลางยังไม่สามารถทําได้เลยนั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของเฉินเฉินเทียบได้กับขั้นแก่นทองคําระดับท้าย?

เขาพึ่งจะก้าวข้ามมายังขั้นแก่นทองคํา แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในขั้นท้ายแล้ว เธอไม่เคยเห็นยอดฝีมือระดับนี้มาก่อนบนโลกใบนี้

ยังไงก็ตาม มันมีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่พึงพอใจ

“เชี่ยวฮวงให้ของแทนความรักไปกับเจ้าเด็กนี่ แต่มันไม่เหมือนกับว่าเขาได้มอบอะไรให้เธอกลับมาเลยสักอย่าง ข้าไม่เห็นว่าเซี่ยวฮวงมีสมบัติเพิ่มเติมมาสักชิ้น”

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว เธอรู้สึกไม่พอใจ

เมื่อเฉินเฉินเดินมาหาเธอ เธอยื่นมือและพูดออกมาอย่างไม่ใยดี “เอาละพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ เจ้าไม่มีอะไรที่จะบอกออกมาหน่อยเหรอ?”

“ซื้อ? ครอบครัว?” เฉินเฉินสับสน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันทั้งสี่สํานักเขายังรู้สึกว่ามันไม่มากพอที่จะเรียกว่าครอบครัว 4

“แล้วเจ้าคิดว่าทําไมข้าถึงพูดช่วยสํานักเทียนหยุนกันละ!” สีหน้าของเจ้าสํานักวิหคสีชาดแข็งที่อทันทีที่เฉินเฉินหมางเมินไป

เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว ใบหน้าของเซี่ยวอูโยวแดงฉาน

“เจ้าสํานักพูดตรงมากเกินไปแล้ว! ไม่เพียงแต่เธอจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างมาให้กับข้าแล้ว เธอยังเรียกร้องกับลูกศิษย์ข้าอีก”

ข้ามีเสน่ห์มากขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? ไม่ใช่ว่าข้าทําตัวเย็นชากับเธอมากพอแล้วเหรอ? หรือว่าการปฏิเสธแบบนี้มันยังไม่มากพอกัน?

 

“อีกอย่าง เธอรู้จักลูกศิษย์ของข้าดีได้ยังไง??

 

เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของอาจารย์ของเขาแล้ว เฉินเฉินก็เข้าใจได้ในทันทีเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอาจารย์ของเขาจะจีบสาวคนอื่นแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงแล้ว

 

“เขาเลวร้ายมาก! ข้าจะไม่เป็นคนแบบเขาอย่างแน่นอน!”

“ยังไงก็ตาม ยิ่งทั้งสามสํานักแข็งแกร่งมากเพียงใด มันยิ่งดีมากแค่นั้นเจ้าสํานักวิหคสีชาดนั้นทําดีกับข้ามามากเลย

“ช่างมันเถอะ ข้าจะยอมรับเธอเป็นภรรยาคนที่สองของอาจารย์ข้า ข้าอาจจะต้องการเธอในอนาคตก็ได้”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เฉินเฉินก็ค้นแหวนเก็บของและหยิบมันออกมาปัดฝุ่นมันคือดอกบัวหัวใจสวรรค์เพลิงโลกา ซึ่งถูกเก็บไว้ เป็นเวลานานแล้ว

มันเป็นสมบัติเพลิงที่ช่วยยอดฝีมือระดับก่อกําเนิดวิญญาณอย่างมากแต่เฉินเฉินเก็บมันไว้นานแล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้มีวิธีการบ่มเพาะลมปราณด้านเปลวไฟ

 

เมื่อเห็นดอกบัวหัวใจสวรรค์เพลิงโลกาในมือของเขาตาของเจ้าสํานักวิหคสีชาดจ้องเขม็งไปที่มันด้วยความไม่เชื่อสายตาของเธอ

เอง

เธอพึ่งจะถามหาคําขอ ไม่เพียงแค่เฉินเฉินจะหยิบสมบัติสวรรค์ออกมาแบบนี้อีก!

นี่มันทําให้เธอรู้สึกประหลาดใจและตกตะลึง

 

“นี่มัน…นี่มันมากเกินไป…”

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ อย่ามัวแต่เกรงใจไปเลยพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” เฉินเฉินยิ้มให้กับเธอ ก่อนที่เขาจะโยนดอกบัวหัวใจสวรรค์เพลิงโลกาให้กับเธอ

 

เจ้าสํานักวิหคสีชาดมองไปที่ดอกบัวหัวใจสวรรค์เพลิง โลกาในมือของเธอและลูกศิษย์เซียวฮวงที่อยู่ข้างเธอด้วยความ ลังเลใจ

ของขวัญนี้มันล้ําค่ามากเกินไปและเธอไม่สามารถปฏิเสธมันได้อีกเช่นเดียวกันในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเธอคงทําได้เพียง

ด้วยความคิดนี้ในหัว เธอส่งพลังปราณและส่งเสียงเข้าไปในหัวของเซียวฮวง

“ลูกศิษย์ เจ้าสามารถพักอยู่ในสํานักเทียนหยุนได้นะ แต่จําไว้ว่าเจ้าคือเจ้าสํานักวิหคสีชาดในอนาคต วันหนึ่ง เจ้าต้องกลับมายังสํานักและขึ้นเป็นเจ้าสํานัก

“อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้ามีลูกกับเฉินเฉินในอนาคต อย่าลืมพาเขาหรือเธอกลับมายังสํานักวิหคสีชาดด้วย ด้วยความสามารถของเจ้าและร่างกายของเจ้าที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าเชื่อว่าลูกของเจ้าจะเป็นย อดฝีมือด้วยเช่นกันข้าไม่ปล่อยให้สํานักเทียนหยุนได้อะไรแบบนั้นไปได้หรอก…”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของเธอแล้ว ใบหน้าของเซี่ยวฮวงแดงมาก

“อาจารย์คิดอะไรอยู่กัน?! ถ้าคนอื่นได้ยินเข้า ข้าจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้ยังไงกัน!??

การดิ้นรนของอํานาจของสํานักพยัคฆ์ขาวได้จบลง

ขาวเดจบลง

 

สาขาแรกของสํานักอสูรในรัฐโจว

โจวเหรินหลงพูดไม่ออก มือเขาสั่นสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แก่นวิญญาณของสํานักอู๋ซินและรากฐานนับพันปีของพวกเขาได้ถูกทําลายลงไป

 

นี่คือสิ่งที่ลูกศิษย์คนใหม่ของรัฐอสูรที่พึ่งเข้าร่วมมาไม่กี่เดือนได้ทําลงไป

“นี่มันความเคียดแค้นอะไรกัน? ไม่ใช่ว่ามันมีระยะเวลาถึงสิบปีหรือยังไงกัน? ทําไมเขาถึงสู้แบบตะเกียกตะกายขนาดนั้นกัน?”

โจวเหรินหลงอารมณ์ซับซ้อนมาก ในอีกด้านหนึ่ง สํานักอู๋ซิ่นที่พบเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนั้นเข้ามันทําให้เขามีความสุขมากแต่เขาก็พบว่ามันเป็นเรื่องแย่ที่ลูกศิษย์ของเขาที่ตายลงไป

“เจ้าสํานัก! ศิษย์พี่ตัดสินใจที่จะอยู่ที่แก่นวิญญาณเพื่อทําให้สํานักอู๋ซินย่ําแย่! ข้าคิดว่าเขาควรได้รับการฝังศพอย่างมีเกียรติ! พวกเราควรที่จะทําให้ทุกคนรับรู้ถึงชื่อเสียงของศิษย์พี่ของสํานักอสูร!”

หยวนฉิงเทียนคุกเข่าอยู่ไม่ห่างออกไป เขาร้องไห้ออกมาพร้อมกับพูดไปด้วย

ในเวลานี้เอง หัวของเขาเต็มไปด้วยเสียงของพี่ชายและรอยยิ้มของเขา รวมทั้งภาพที่เขาโยนพลั่วให้และบอกเขาให้รีบวิ่งหนีไป

ภาพที่เกิดขึ้นมันประทับอยู่ในจิตใจของเขามาก

“โอเค ข้าเข้าใจ ไปบอกสาขาหุ่นให้สร้างร่างขึ้นมาแทนจางเฉินและวางมันไว้ข้างรูปปั้นเทพอสูร ให้เขาได้รับการเคารพของคนจากรัฐโจว”

 

“มันเป็นเรื่องแย่ที่คนที่มีพรสวรรค์ที่ดีแบบนั้นตายไว สวรรค์ต้องการทําลายสาขาขัดเกลาร่างกายอย่างงั้นหรือ?”

 

ในเวลานี้เอง โจวเหรินหลงอกที่จะเสียใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงความจริงที่เขาเคยคาดไว้กับจางเฉิน เขารู้สึกผิด เนื่องจากว่าเขาลืมที่จะนึกถึงสิ่งที่ขาดไปของจางเฉินและตัดสินเขาไปแบบผิดๆ

ถ้าเขาย้อนเวลาได้ เขาจะรับจางเฉินเป็นลูกศิษย์ของเขา

เมื่อได้ยินคําพูดของโจวเหรินหลงแล้ว หยวนฉิงเทียนรู้สึกแย่มากเขาหันกลับไปและคํานับเก้าครั้งยังสํานักอู๋ซิน

เขาร้องไห้และตะโกนออกมา “ศิษย์พี่พักผ่อนให้สงบนะครับ!ในชั่วชีวิตนี้ท่านคือศิษย์พี่คนเดียวที่ข้ายอมรับ!”