ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 428 คิดรุมหรือ?

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่จับบัณฑิตวัยกลางคนและเกาฟ่างไว้ในมือ เหมือนกับพญาอินทรีหิ้วลูกเจี๊ยบน้อย

เยี่ยนจ้าวเกอนั่งบนเก้าอี้ เงยหน้ามองเพดาน ดวงตาทั้งสองไม่ได้ตั้งใจมองสิ่งใด ออกจะเหม่อลอยอยู่บ้าง

จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเล็กน้อย ‘อ้อ คนเยอะน่าดูนี่’

ในการรับรู้ของเยี่ยนจ้าวเกอ มีจอมยุทธ์จำนวนมากล้อมเรือนที่ตนเองพักอยู่ ขณะที่แสดงพลังอันยิ่งใหญ่ เขาก็ส่งความรู้สึกน่าเกรงขามมาออกไปด้วย

ชายหนุ่มเผลอยิ้มพลางส่ายศีรษะ “กองทัพ? นี่คิดจะจับพวกข้าเหมือนสัตว์ปีศาจหรือ”

พวกเฟิงอวิ๋นเซิงกับสวีเฟยมองหน้ากันเอง

ตอนนี้รู้แล้วว่าเพื่อรับมือกับจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจ และเพื่อตามล่าสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งสำหรับรับพลังสายเลือด จอมยุทธ์เลือดปีศาจจึงมักจะรวมพลกัน

ไม่เพียงแต่ประเทศฟู่หรานเท่านั้น แม้แต่ลูกศิษย์จากสำนักใหญ่ เช่น สำนักเมฆาโลหิต ก็ฝึกซ้อมรบเช่นกัน เพื่อรวมทัพกันสู้กับศัตรูในเวลาที่ต้องการ

สวีเฟยกล่าวอย่างเชื่องช้า “ถึงแม้มหาอำนาจแปดพิภพจะมีกองทัพเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนก่อตั้งขึ้นโดยพึ่งพาความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ไม่ค่อยมีคนสร้างกองรบเท่าไรนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยขึ้น “ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากวิธีการฝึกฝน คนที่นี่สร้างกองรบขึ้นเพราะส่วนใหญ่แล้วฝึกฝนสายเลือดสัตว์ปีศาจชนิดเดียวกัน หรือสายเลือดปีศาจที่ใกล้เคียงกัน พลังเช่นนี้ก่อให้เกิดการประสาน โดยมีกระบวนทัพเคอยชักนำ”

“อีกทั้งยังไม่เหมาะกับสถานที่ของพวกเรานัก ก่อนมหาภัยพิบัติมีกองรบแพร่หลายอยู่บ้าง แต่ว่าต่างมีความปรารถนาในการวางทัพเป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นจริงง่ายถึงเพียงนั้น”

“คิดจะได้มาซึ่งพลังที่เหนือกว่าปกติ มักมีราคาที่ต้องจ่าย และขีดจำกัดอยู่เล็กน้อย”

เขาครุ่นคิด ในใจรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ‘ข้ารู้เรื่องกองรบที่ไม่เลวอยู่บ้าง แต่ปัญหาคือสุดโต่งเกินไป’

อาหู่ถามขึ้น “คุณชาย อีกฝ่ายคิดจะใช้จำนวนเอาชนะกระมัง”

“ถอนขนไก่ติดไม้ปัดฝุ่น[1] คิดรุมหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ หันไปมองพวกเกาฟ่าง “ดูเหมือนในสายตาขององค์ชายรัชทายาท พวกท่านก็ไม่ได้สำคัญมากเหมือนกัน”

เจ้าสำนักปีอินทรีเกาฟ่างมีใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก ส่วนบัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้นรับรู้ได้ถึงพลังของกองทัพอันยิ่งใหญ่ เหมือนผลักภูเขาถมทะเลที่รวมตัวกันด้านนอก สีหน้าอดบิดเบี้ยวไม่ได้ “มิใช่องค์ชายรัชทายาทมา เป็นผู้บัญชาการทัพง้าวแดงนำทัพมา คนผู้นี้แต่ไหนแต่ไรชอบทำอะไรเด็ดขาด นิสัยน่ารังเกียจและแข็งกร้าว”

“เขาคงนึกว่าเจ้าอาละวาดในเมืองสินธุเสถียร การจับพวกข้าไว้เหมือนกับการยั่วยุประเทศฟู่หราน ดังนั้นจึงลงมือ”

เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างสนอกสนใจ “เหตุใดเขาถึงรวมกองทัพเองได้ ไม่ต้องขออนุญาตราชาและองค์รัชทายาทของพวกท่านหรือ”

บัณฑิตวัยกลางคนกับเกาฟ่างประดักประเดิดเล็กน้อย “องค์ราชากำลังเข้าฌาน พระองค์ไว้ใจคนผู้นี้ที่สุด…”

ชายหนุ่มพลันแยกเขี้ยว

จงรักภักดีต่อราชาพระองค์เดียว แต่ไม่สนใจองค์รัชทาบาท คนเช่นนี้…

เขายิ้มสดใส “ก็หมายความว่าคนผู้นี้มิได้สนใจความเป็นตายของพวกท่านใช่หรือไม่”

รอยยิ้มของพวกเกาฟ่างดูเจื่อนลงไปบ้าง บัณฑิตวัยกลางคนพยายามปลุกปลอบจิตใจ “ดังนั้นต่อให้เจ้าจับพวกข้าไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ปล่อยพวกข้าไปเจรจากับผู้บัญชาการทัพง้าวแดงแทนพวกเจ้าดีกว่า

“ผู้บัญชาการทัพง้าวแดงภักดีต่อองค์ราชา เพียงแต่ไม่ขยี้ทรายในตา[2] พวกเราสามารถทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เปลี่ยนเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีได้”

“เจ้ามีพลังโดดเด่น ผู้บัญชาการทัพง้าวแดงจะต้องไม่ยอมให้ประเทศฟู่หรานมีศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้แน่ การสู้กันที่เมืองสินธุเสถียรยิ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วน”

เยี่ยนจ้าวเกอมองคนทั้งสองคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพิ่งปล่อยพวกท่านได้ไม่ทันไร พวกท่านจะราดน้ำมันลงบนกองไฟต่อหน้าผู้บัญชาการทัพง้าวแดง เสี้ยมให้กองทัพโจมตีทันที ตามคำพูดของพวกท่าน เหมือนว่าผู้บัญชาการคนนี้จะไม่ค่อยถูกกับองค์รัชทายาทที่อยู่เบื้องหลังพวกท่านนัก”

“เขาจะสังหารข้าได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ถ้าข้าสังหารเขาได้ เหมือนจะเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับองค์รัชทายาทฟู่หรานมิใช่หรือ”

เกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนรีบร้อนพูดขึ้น “ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด!”

ด้านนอกมีบรรยากาศอันเคร่งขรึมที่จับตัวกันราวกับจับต้องได้ส่งมา บนหน้าผากของพวกเกาฟ่างเริ่มมีเหงื่อเย็นเยียบผุดออกมา

ชายหนุ่มยิ้มพลางโบกมือ “มิต้องวิตกไป ข้าแค่ประหลาดใจเท่านั้น ว่าตอนนี้องค์ชายรัชทายาทของพวกท่านไปอยู่ที่ใด ตามคำพูดของพวกท่าน พวกท่านน่าจะมีตำแหน่งสำคัญมากข้างกายพระองค์”

เกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้นมองหน้ากันแวบหนึ่ง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “บางทีองค์ชายรัชทายาทอาจจะต้อนรับผู้ส่งสาส์นของสำนักเมฆาโลหิตอยู่ก็ได้ จึงได้รับข่าวช้าไปบ้าง พระองค์เสียมารายาทต่อแขกไม่ได้”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ผู้บัญชาการทัพง้าวแดงกล้าลงมือ ไม่กลัวว่าจะเสียท่าพวกข้า ความจริงเพราะเกี่ยวข้องกับที่สำนักเมฆาโลหิตส่งคนมากระมัง”

พวกเกาฟ่างพยักหน้า

พวกเขาไม่อาจมองโลกในแง่ดีได้ ถึงอย่างไรก็ตกอยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอ ทั้งยังถูกฆ่าได้ตลอดเวลา ต่อให้ยอดฝีมือสำนักเมฆาโลหิตแก้แค้นให้ตนเองได้ แต่ใครจะอยากทิ้งชีวิตเล่า

“ข้าเคยได้ยินชื่อสามปีศาจสี่สำนักมาก่อน แต่ว่าสำนักเมฆาโลหิตแข็งแกร่งกว่าพวกท่านเพียงใดกัน ถึงทำให้ผู้บัญชาการทัพง้าวแดงไว้ใจถึงเพียงนี้” เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างสนใจ

เกาฟ่างกับบัณฑิตวัยกลางคนต่างมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความประหลาดใจ

เขายิ้มอย่างราบเรียบ “ตอนที่บรรพบุรุษของข้าแสดงแสนยานุภาพ ยังไม่มีสามปีศาจสี่สำนัก เพียงแต่อดีตเฉกเช่นควันผ่านตา อย่าพูดถึงเลย ข้าให้ความสำคัญกับปัจจุบันและอนาคตมากกว่า”

เกาฟ่างถอนใจ “ถ้าหากบอกว่าองค์ราชาสามารถทำลายสำนักปีกอินทรีของข้าได้ในวันเดียวเพราะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เช่นนั้นถ้าสำนักเมฆาโลหิตต่อสู้กับประเทศฟู่หราน ก็น่าจะมีจุดจบเช่นเดียวกัน หรืออาจจะสาหัสกว่าด้วยซ้ำ”

บัณฑิตวัยกลางคนเอ่ยขึ้น “ประเทศทั้งหมดสามสิบหกประเทศที่อยู่รอบๆ รวมถึงประเทศฟู่หรานล้วนเป็นดินแดนที่อยู่ในการปกครองของสำนักเมฆาโลหิตทั้งสิ้น”

“ครั้งนี้สำนักเมฆาโลหิตเปิดประชุมที่ประเทศฟู่หรานเพื่อรวบรวมลูกศิษย์ ความจริงงานประชุมเช่นนี้ยังจัดในสถานที่อื่นอีกห้าแห่ง รวมประเทศฟู่หรานเป็นประเทศที่หก

“สัตว์ปีศาจมีเก้าชั้น สายเลือดของสัตว์ปีศาจสามชั้นสูง ต้องเป็นสี่สำนักเช่นสำนักเมฆาโลหิตถึงจะมี สำหรับประเทศฟู่หราน สายเลือดสัตว์ปีศาจสามชั้นกลางถือว่าล้ำค่าเหมือนกับสมบัติของชาติ แต่ในสำนักเมฆาโลหิตเป็นแค่ของธรรมดาเท่านั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอฟังอย่างออกรส พอฟังถึงตรงนี้ เขาก็พลันถามขึ้น “เสือดาวสายฟ้าหกขาของที่นี่เป็นชั้นไหน?”

เกาฟ่างตอบ “ชั้นที่สามในสามชั้นสูง”

ชายหนุ่มถามเหมือนไม่ตั้งใจ “มีจอมยุทธ์ชื่อดังที่ฝึกฝนสายเลือดเสือดาวสายฟ้าหกขาหรือไม่”

พวกเกาฟ่างมองหน้ากันแวบหนึ่ง “มีแต่สำนักเมฆาโลหิตเท่านั้นที่มีสายเลือดเสือดาวสายฟ้าหกขา ยอดฝีมือที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมีด้วยกันสองคน คนหนึ่งเป็นผู้อาวุโสในสำนัก ‘ราชันเสือดาว’ หวังหลิงกัง ยังมีลูกศิษย์ของเขาอีกคน ‘ราชันเสือดาวน้อย’ เหอไท่เฉิง”

บัณฑิตวัยกลางคนมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างเหลือเชื่อ “พวกเจ้าคงไม่ได้มีเรื่องกับหลิงกังและเหอไท่เฉิง ศิษย์อาจารย์คู่นี้กระมัง เหอไท่เฉิงเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงมาหลายปี ต่อให้พวกเจ้าเอาชนะเขาได้ แต่ก็ล่วงเกินหลิงกังอาจารย์ของเขา ย่อมต้องเผชิญความยากลำบากแน่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสำนักเมฆาโลหิตทั้งสำนักที่ยืนอยู่เบื้องหลังพวกเขา!”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย คล้ายคิดอะไรบางอย่างอยู่

ขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากัน กองรบของทัพง้าวแดงก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ถึงแม้จะไม่ได้บุกเข้ามา แต่พลังปีศาจที่เหมือนกระแสน้ำทำให้ตัวเรือนพังทลายจากด้านนอกเข้ามาด้านใน

………………………………………

[1] ถอนขนไก่ติดไม้ปัดฝุ่น สุภาษิตจีน หมายถึงเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ใช้ได้ทันที

[2] ไม่ขยี้ทรายในตา สุภาษิตจีน ไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาด