ตอนที่ 738 กลายเป็นตัวประกัน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 738 กลายเป็นตัวประกัน

ตอนนี้ฟางหลิงซู่บังเกิดความลังเลเล็กน้อย เขามิอยากปล่อยมู่จวินฮานไป แต่เขาก็มิอยากสูญเสียอันหลิงเกอด้วย ในเมื่อนางมาอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็รู้ดีว่านางไม่มีทางหนีไปได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อเสนอนี้

แต่ขณะที่ฟางหลิงซู่กำลังรู้สึกผ่อนคลายเพราะคิดว่าอันหลิงเกอไม่สามารถหนีไปได้ เขาก็เห็นอันหลิงเกอถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วหยิบมีดสั้นออกจากกระเป๋าอกเสื้อพร้อมนำมันจ่อไว้ที่หน้าอกพลางมองฟางหลิงซู่ด้วยสายตาเย็นชา

“เจ้าต้องปล่อยเขาไปแล้วให้ข้าอยู่ที่นี่แทน หากเจ้าไม่ตกลง ข้าก็จะไปพร้อมเขา คือตายอยู่ที่นี่ด้วยกัน ! ” มิว่าผู้ใดเห็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดของนางก็ต้องตกตะลึง ส่วนมู่จวินฮานที่อยากห้ามก็ไม่เหลือแรงให้ทำ

“อย่า…” มู่จวินฮานกัดฟันกล่าวออกมา

ฟางหลิงซู่หลับตาลงแล้วลืมตามองมีดสั้นในมือของอันหลิงเกออีกครั้ง เขารู้ว่าด้วยนิสัยของนางแล้วต้องทำมันแน่นอน ทันใดนั้นสีหน้าของฟางหลิงซู่ก็ดูเย็นชาขึ้นทันที ที่แท้นางก็สามารถทำเพื่อมู่จวินฮานได้มากเหลือเกิน

“ข้ายอมแล้ว” มิรู้ว่าตนเงียบไปนานเท่าไรถึงได้เห็นว่าบัดนี้บริเวณหน้าอกของอันหลิงเกอมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

ฟางหลิงซู่รู้ดีว่าหากเขามิตอบตกลง นางจะต้องทำเรื่องที่ร้ายแรงกว่าการทำร้ายตัวเองแน่นอน

อันหลิงเกอได้ยินฟางหลิงซู่กล่าวเยี่ยงนี้ก็ยังไม่วางมีดในมือแต่หันไปส่งสายตาให้ฟางหลิงซู่มาปล่อยมู่จวินฮานไปก่อน

เวลานี้ชิงเฟิงที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างก็ได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอ เขาจึงรีบเข้ามาในคุกใต้ดินทันที

“ฟางหลิงซู่ เจ้าคงรู้ดีว่าควรทำเช่นไร” ขณะมองทหารยามและองครักษ์ที่เริ่มเข้ามาใกล้ อันหลิงเกอก็ไม่รู้ว่าคราวนี้พนันได้ถูกต้องหรือไม่ ฝ่ามือของนางเริ่มมีเหงื่อไหลแต่ก็ยังมิยอมปล่อยมีด

“ขอเพียงเจ้ายอมอยู่กับข้า จักให้ข้าทำสิ่งใดก็ยอมทั้งนั้น” เมื่อพูดจบประโยคนี้ฟางหลิงซู่ก็ยกมือขึ้นโบกเพื่อส่งสัญญาณให้ทหารถอยออกไป

ทันใดนั้นในคุกใต้ดินก็เหลือเพียงคนทั้งสี่

ชิงเฟิงเหลือบไปมองมู่จวินฮานครู่หนึ่งจากนั้นก็นำตัวมาแบกไว้บนหลัง ขณะเดียวกันชิงเฟิงก็หันไปมองอันหลิงเกอเพราะมิอยากทิ้งนางไว้ที่นี่

“พาเขาไปเถิด” เสียงของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความเย็นชาจนยากที่จะปฏิเสธ พอชิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี

มู่จวินฮานและอันหลิงเกอต่างฝ่ายอยากช่วยกันและกันโดยไม่สนใจชีวิตของตน พวกเขาช่างหัวรั้นและคล้ายกันยิ่งนัก

แต่ชิงเฟิงก็รู้ว่าสถานการณ์ในคุกครั้งนี้ไม่เหลือเวลาให้คิดมากนัก ด้วยความหมดหนทางก็ได้แต่ช่วยคนใดคนหนึ่งออกไป หากมิได้เป็นเพราะเตรียมการล่วงหน้าของอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานก็คงหนีออกมามิได้เลย

“เกอเอ๋อ อย่า…” เสียงของมู่จวินฮานดังก้องอยู่ในหูแต่อันหลิงเกอมิได้หันไปมองเพราะกลัวว่าเมื่อหันกลับไปแล้วจะละสายตาไปจากเขามิได้

แม้นางไม่อยากจากเขาไปไหนอีก เพราะมิง่ายเลยกว่าพวกนางจะสะสางเรื่องที่เข้าใจผิดกันได้ แต่ก็ต้องแยกจากกันอีกครั้ง เมื่อคิดได้เช่นนี้อันหลิงเกอก็เศร้าใจขึ้นมา นางตัวสั่นสะท้านและมิทันระวังทำให้มีดสั้นแทงเข้าไปอีกครั้ง

คราวนี้ทำให้บุรุษทั้งสามตกใจมาก พวกเขาเป็นห่วงอันหลิงเกอ ทว่าความรู้สึกของแต่ละคนแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น

ชิงเฟิงไม่ได้ลังเลอีก เขารู้ว่าถ้ายังลังเลต่อไปก็จะทำให้อันหลิงเกอทำร้ายตัวเองไปโดยเปล่าประโยชน์ พอแบกมู่จวินฮานไว้บนหลังอย่างดีแล้ว เขาก็หันไปมองอันหลิงเกอและฟางหลิงซู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งออกจากคุกใต้ดินทันที

ขณะมองชิงเฟิงพาตัวมู่จวินฮานออกไปและเห็นพวกเขาหายลับไปจากแสงจันทร์แล้ว อันหลิงเกอก็รู้สึกวางใจได้ในที่สุด แต่ยังมิทันให้ฟางหลิงซู่ได้ทำอันใด นางก็กระอักโลหิตออกมาและล้มลงเสียแล้ว

“เกอเอ๋อ ! ” ฟางหลิงซู่กรีดร้องออกมาเสียงดังแล้วรีบลุกขึ้นจากพื้นทันที

บัดนี้อันหลิงเกอหมดสติไปแล้ว ร่างของนางตกสู่อ้อมกอดของฟางหลิงซู่พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปม

ตอนนี้ฟางหลิงซู่มิรู้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร แต่ที่แน่ ๆ เขารู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของนางเกิดจากฝ่ามือในวันนั้น

ฟางหลิงซู่จึงรีบอุ้มนางออกจากคุกใต้ดินและมิสนใจที่จะสั่งให้ทหารตามล่ามู่จวินฮานกับชิงเฟิง ส่วนอันหลิงเกอก็นอนอยู่ในอ้อมกอดเขาและบริเวณหน้าอกมีเลือดไหลออกมามิหยุด

ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไรแล้ว ชิงเฟิงก็วางตัวมู่จวินฮานบนหลังลง เมื่อสังเกตว่าไม่มีคนตามมา ชิงเฟิงจึงรู้สึกผ่อนคลายบ้าง

แต่พอคิดว่าบัดนี้อันหลิงเกอตกอยู่ในมือฟางหลิงซู่ ทั้งสองคนก็เกิดความกังวลทันทีและตอนนี้สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมสุด ๆ

มู่จวินฮานไม่สนบาดแผลบนร่างกายแม้แต่น้อย เขาเอาแต่ยืนกรานจะกลับไปช่วยอันหลิงเกอท่าเดียว

ชิงเฟิงจึงได้แต่สกัดจุดให้มู่จวินฮานหมดสติไป

ขณะมองเจ้านายหมดสติ ชิงเฟิงก็ได้แต่แบกเขาขึ้นหลังและวิ่งตรงมาที่ค่ายพักแรม เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของอันหลิงเกอแล้วก็คิดว่าทั้งสองสามีภรรยาช่างเหมือนกันยิ่งนัก

แม้ชิงเฟิงรู้ว่าตอนนี้อันหลิงเกอตกอยู่ในมือฟางหลิงซู่แล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็คิดได้ว่าฟางหลิงซู่ไม่มีทางทำร้ายนาง แต่นางคงถูกควบคุมการเคลื่อนไหวชั่วคราว สูญเสียอิสรภาพแต่มิได้มีอันตรายถึงชีวิต

แต่มู่จวินฮานต่างออกไป ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของฟางหลิงซู่อีกก็เชื่อว่าฟางหลิงซู่จะมิยอมปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน ฟางหลิงซู่จะเอาชีวิตท่านอ๋องให้ได้ !

ชิงเฟิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาจึงแบกมู่จวินฮานกลับมาที่ค่ายพักแรมทันที

ทว่ายังเดินทางไม่ถึงจุดหมาย ทหารที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ก็ออกมารับพวกตน เมื่อรับรู้ได้ว่าหลุดพ้นจากอันตรายแล้ว ชิงเฟิงก็วางใจได้ในที่สุด

เมื่อเข้าไปในค่ายแล้ว เขาก็เห็นบาดแผลบนตัวมู่จวินฮานที่ใกล้จะเน่าเต็มทน

ทำให้ชิงเฟิงแทบทนมองไม่ไหว เขามิเคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครปฏิบัติต่อผู้อื่นโหดร้ายเพียงนี้ เมื่อครู่ตอนเห็นทุกสิ่งที่ฟางหลิงซู่ทำก็อดตัวสั่นมิได้

ต่อจากนั้นท่านหมอก็เข้ามาดูแลบาดแผลของมู่จวินฮาน แต่อาจเพราะมู่จวินฮานเหนื่อยล้าเกินไปหรือเพราะความเจ็บปวดจึงมิได้สติ

มู่จวินฮานนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่บาดแผลน่าสยดสยองยังเผยออกมาให้เห็นและรอให้ท่านหมอรักษา

พอเห็นมู่จวินฮานบาดเจ็บหนักเพียงนี้ ชิงเฟิงก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาจนต้องหันหน้าไปทางอื่น มิหันมามองบาดแผลนั้นอีก

พอนึกถึงตอนที่มู่จวินฮานบอกให้พาอันหลิงเกอออกมา ท่านอ๋องก็น่าจะรู้ว่าต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรือน่าอนาถยิ่งกว่านี้

แต่ท่านอ๋องก็ยังให้พาอันหลิงเกอออกมา ความรักที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาช่างมากมายยิ่งนัก แม้แต่ฟ้าดินก็ยังเป็นพยานได้

บัดนี้ชิงเฟิงรู้สึกโทษตัวเอง เพราะท้ายที่สุดเขาก็ยังปล่อยให้อันหลิงเกอตกอยู่ในเงื้อมมือฟางหลิงซู่

มู่จวินฮานอยากให้อันหลิงเกอปลอดภัยหรือให้นางมีความสุขและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระจนสละตนเองเพื่อช่วยอันหลิงเกอ แต่ชิงเฟิงกลับไร้ความสามารถได้แต่มองอันหลิงเกอตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วชิงเฟิงก็กำหมัดทุบโต๊ะอย่างแรงจนทำให้ท่านหมอตกใจ

ตอนนี้ชิงเฟิงเอาแต่โทษตัวเองที่ไร้ความสามารถจึงมิอาจช่วยพระชายาออกจากอันตรายได้