ตอนที่ 739 โรคเรื้อรัง
ตอนนี้คงได้แต่รอให้บาดแผลของมู่จวินฮานหายดีหรือฟื้นขึ้นมาเสียก่อนค่อยหารือกันต่อ
เนื่องจากกำแพงวังหลวงของประมุขเผ่าปิงชวนได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา บัดนี้ฟางหลิงซู่ก็ได้ตัวอันหลิงเกอไปแล้ว ดังนั้นคงเพิ่มเวรยามเพื่อมิให้พวกเขามีโอกาสช่วยเหลือนางแน่นอน
“ท่านอ๋องปลอดภัยแล้ว” เมื่อกล่าวจบ ท่านหมอผู้นั้นก็ถอยออกไปทันที
…
สิ่งที่ชิงเฟิงและมู่จวินฮานมิรู้ก็คือตอนนี้อันหลิงเกอก็กำลังนอนอยู่บนเตียงและมิได้สติเช่นกัน
ฟางหลิงซู่เฝ้าอยู่ข้างเตียงนางตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ช่วยเช็ดเหงื่อให้ด้วย
ส่วนหมอหลวงที่มองการกระทำของฟางหลิงซู่อยู่ทางด้านข้างก็อดเหงื่อตกมิได้ การที่ประมุขเผ่าทำเช่นนี้กับสตรีบนเตียง ทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก
“ทูลท่านประมุขเผ่า กู่เหนียงมีเลือดสะสมในปอดเนื่องจากโดนทำร้ายจากภายนอก กอปรกับมิดูแลตนเองให้ดีจึงเกรงว่าตอนนี้จะเข้าขั้นอันตรายแล้ว” ท่านหมอหยุดพูดขณะมองท่าทางเป็นห่วงของฟางหลิงซู่ ทำให้เขามิกล้าพูดความจริงออกมา
“ตอนนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง ? ” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้วพลางมองท่านหมอ เมื่อเห็นแววตาของฟางหลิงซู่แล้ว ท่านหมอก็คุกเข่าลงทันที เขาตัวสั่นและมิกล้ากล่าวอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“พูดมา ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าแน่นอน” ฟางหลิงซู่ก็รู้ว่าบัดนี้ทุกคนในเผ่าปิงชวนล้วนเกรงกลัวเขามากจึงเลือกจะไม่แสดงท่าทีโมโหออกมา เพราะตอนนี้อาการป่วยของอันหลิงเกอสำคัญกว่า เขาจึงส่งสัญญาณให้ท่านหมอกล่าวต่อ
“ทะ ที่จริงก็มิได้มีปัญหาใหญ่อันใด เพียงแต่เกรงว่าต่อไปนางจะมีปัญหาที่ปอด เมื่อเป็นโรคเรื้อรังเช่นนี้ก็เกรงว่ามันจะกำเริบบ่อยครั้ง” หลังเห็นท่าทีของฟางหลิงซู่เปลี่ยนไป ท่านหมอก็แสร้งทำเป็นใจกล้าแล้วกล่าวออกมาจนจบ ส่วนฟางหลิงซู่ที่ได้ยินก็ค่อย ๆ หรี่ตามอง
“โรคเรื้อรังอย่างนั้นหรือ ? ” ขณะมองอันหลิงเกอที่นอนอยู่บนเตียง ฟางหลิงซู่ก็ส่ายศีรษะไปมา เขาจะปล่อยให้นางต้องทนทุกข์อีกมิได้
“ทะ ท่านประมุขเผ่า การฟื้นตัวจากอาการนี้ต้องขึ้นอยู่กับร่างกายของนางด้วย” ท่านหมอกล่าวออกมาด้วยเสียงสั่นเครือและเหงื่อชุ่มทั้งกาย เขาได้แต่พูดทีละประโยคสองประโยคที่คลุมเครือเพราะกลัวว่าจะโดนฟางหลิงซู่ลงโทษ
“เจ้าออกไปก่อน” ฟางหลิงซู่โบกมือไล่ ท่าทางหงุดหงิดพอสมควร ต่อจากนั้นก็มิได้กล่าวอันใดอีก เพียงส่งสัญญาณให้ท่านหมอออกไป
“ขอบพระทัยท่านประมุขเผ่า” ท่านหมอโค้งคำนับฟางหลิงซู่จากนั้นก็ถอยออกไปทันที
ฟางหลิงซู่ลุกไปหยิบถ้วยยาบนโต๊ะ โชคดีที่แม้อันหลิงเกอยังมิได้สติแต่ร่างกายของนางก็ให้ความร่วมมือ แม้ยาจะขมขนาดนี้นางก็ยังกลืนมันลงไปอย่างต่อเนื่อง
“เกอเอ๋อ” ฟางหลิงซู่ถอนหายใจพร้อมห่มผ้าให้นาง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป เพราะรู้ดีว่าเมื่ออันหลิงเกอฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเขาเป็นคนแรก นางจะต้องตื่นตระหนกและไม่ดีต่ออาการป่วยของนาง
วันถัดมา อันหลิงเกอลืมตาตื่นขึ้นมาและความรู้สึกเจ็บตรงหน้าอกยังมิจางหาย นางรู้สึกว่าหัวใจเหมือนถูกหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้และมิว่าทำเยี่ยงไรก็หายใจไม่ออก
อันหลิงเกอเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วก็คลี่ยิ้มอย่างขมขื่น สุดท้ายนางก็ต้องกลับมาอยู่ในกรงของเผ่าปิงชวน แต่มู่จวินฮานคงหนีไปได้และมิน่าจะเป็นอันใด
พออันหลิงเกอคิดถึงมู่จวินฮานก็รู้สึกปวดใจกว่าเดิม นางได้แต่ย้ำกับตัวเองว่ามิให้กังวล แต่เวลาเดียวกันนั้นฟางหลิงซู่ก็เปิดประตูเข้ามา อันหลิงเกอจึงตัวสั่นทันที
“เจ้าตื่นแล้ว” หลังมองสาวใช้ที่กำลังยกอาหารเข้ามาด้านหลัง อันหลิงเกอก็เงยหน้าขึ้นและมองฟางหลิงซู่ด้วยสายตามึนงง
“ข้าเป็นแค่นักโทษ ไม่จำเป็นต้องทานอาหารดีขนาดนั้น” อันหลิงเกอพูดถากถางออกไป บัดนี้นางมิต่างอันใดกับนักโทษเพราะกลายเป็นคนที่สูญเสียอิสรภาพเหมือนกัน
“พูดอันใดของท่านเจ้าคะ ? พระชายาประมุขเผ่า” สาวใช้เงยหน้ามองอันหลิงเกอด้วยแววตาประหลาดใจ ส่วนฟางหลิงซู่ก็ยังมิได้กล่าวอันใดออกมา สาวใช้ผู้นั้นก็เริ่มพูดต่อด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้อันหลิงเกอกลายเป็นตำนานของเผ่าปิงชวน เนื่องจากฟางหลิงซู่ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าเขาควบคุมตัวนางไว้จึงเอาชนะต้าโจวได้ ทำให้การแต่งตั้งอันหลิงเกอเป็นพระชายาก็สมเหตุสมผล
และฟางหลิงซู่อยากบอกทุกคนว่ามิต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับภูมิหลังของอันหลิงเกอ อีกทั้งต้องการใช้โอกาสนี้ลบความคิดของตระกูลสูงศักดิ์ที่จะมอบบุตรสาวให้เขา !
อันหลิงเกอตกตะลึง แต่ในขณะที่นางอยากถามอันใดอีกครั้ง สาวใช้ก็ถอยออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงนางกับฟางหลิงซู่ อันหลิงเกอจึงมิพูดออกมา
“ทานสักหน่อยเถิด” ฟางหลิงซู่มองอันหลิงเกอ ตอนนี้เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมิได้พูดอันใดออกมาอีก เพียงทำตัวเหมือนเมื่อก่อนคือมองนางทานข้าวอยู่แบบนั้น
มีชั่วขณะหนึ่งที่อันหลิงเกอคิดว่าแค่ฝันไปเพราะทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่มีอันใดต่างไปจากตอนที่นางยังอยู่ในหอพิษกู่และฟางหลิงซู่ก็ยังเป็นคนเดิม
แต่ท้ายที่สุดนางก็ได้สติคืนมาอย่างรวดเร็ว ขณะมองฟางหลิงซู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและตอนนี้เขามิใช่ฟางหลิงซู่ที่ดีต่อนางจากใจจริงอีกแล้ว
ตัวเขามิเพียงเป็นประมุขเผ่าปิงชวนแต่ยังเป็นศัตรูของนางด้วย
อันหลิงเกอมิอยากทำร้ายตัวเองจึงค่อย ๆ ลุกจากเตียงแล้วนั่งบนเก้าอี้ เพราะนางรู้ดีว่าหากทำร้ายตัวเองก็มิเกิดประโยชน์อันใด
จากนั้นอันหลิงเกอก็ทานอาหารตรงหน้าคำโต ส่วนฟางหลิงซู่ก็ตักน้ำแกงให้นางหนึ่งถ้วย เมื่ออันหลิงเกอเห็นอาหารและน้ำแกงที่ฟางหลิงซู่ตักให้แล้วก็ผลักมันออกทันที
ฟางหลิงซู่เห็นอันหลิงเกอยังต่อต้านอยู่ก็มิได้กล่าวอันใด เพราะเขารู้ตั้งนานแล้วว่าหากนางทราบความจริงทั้งหมดจะต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
“เจ้าทานไปเถิด ข้าขอตัวก่อน” เมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงเกอแล้ว ฟางหลิงซู่มิได้วางอำนาจเพราะรู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือสุขภาพของนาง หากเขาทำให้นางอึดอัด นางก็จะฟื้นตัวได้ช้า
เมื่อฟางหลิงซู่เดินออกไปแล้ว อันหลิงเกอก็หมดความอดทน นางก้มหน้าแล้วร้องไห้ออกมาทันที
เพราะเมื่อครู่นางต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เมื่อนางได้กลับมาอยู่ข้างกายฟางหลิงซู่อีกครั้งถึงได้รู้ว่ามันยากที่จะรับไหว
…
ห้าวันผ่านไป อาการบาดเจ็บของอันหลิงเกอจึงคงที่และเวลานี้มู่จวินฮานก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว บาดแผลของเขาฟื้นตัวเร็วมาก ในวันที่สามก็สามารถลุกจากเตียงได้แล้ว
ส่วนอันหลิงเกอยังถูกขังอยู่ในตำหนักแห่งนั้น แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะนางจะได้มิต้องพบฟางหลิงซู่และมิต้องเจอกับคนแปลกหน้าพวกนั้น ก็ถือว่ามิเลวเลย
ตั้งแต่ฟางหลิงซู่มาหาอันหลิงเกอครั้งก่อน เขาก็มิได้มาที่นี่อีกเลย
อันหลิงเกอก็เข้าใจดีว่าตอนนี้เขามิอยากกระตุ้นนาง ดังนั้นนางก็จะอ้างว่าป่วยและปฏิเสธทุกการเยี่ยมเยือน
ช่วงหลายวันมานี้พวกขุนนางชั้นสูงของเผ่าปิงชวนอยากมาที่ตำหนักของนาง แต่นางมิเคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้าพบ นางไม่อยากรับมือกับเรื่องพรรค์นี้และไม่อยากเป็นพระชายาประมุขเผ่า นางแค่อยากกลับเมืองจิงเท่านั้น