ฮือ กโยซึลส่งเสียงทุกข์ใจออกมาทางจมูก แม้จะเป็นแม่นมที่อยู่ดูแลกโยซึลมาเนิ่นนาน กโยซึลกลับได้มอบหัวใจที่หนักอึ้งของตนให้กับคนอื่นไปแล้ว กโยซึลไม่อาจทนให้ดอกไม้หนึ่งดอกนั้นร่วงหล่นลงบนพื้น มากกว่าการทำร้ายจิตใจของแม่นมให้เจ็บช้ำ ถึงแม้จะแค่หยิบดอกไม้ขึ้นมาเสียบใหม่ได้ง่ายๆ ก็ตาม ว่ากันว่าหากเป็นเรื่องของหัวใจแล้วนั้นมันทั้งไร้น้ำใจและเห็นแก่ตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้เหตุผลจะเป็นอย่างไร กโยซึลเองก็ไม่อาจเข้าใจหัวใจที่อ่อนไหวและหวาดหวั่นเป็นพิเศษของตนได้ จิตใจช่างกระสับกระส่ายผิดธรรมชาติเกินกว่าจะคิดว่าสาเหตุนั้นมาจากการเฝ้ารอการกลับมาของรูแฮเพียงอย่างเดียว
ทำไมกันนะ
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้กัน กโยซึลที่นอนขดตัวกลมอยู่บนเตียงพูดคำเดิมไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประหนึ่งร่ายเวทย์มนต์คาถา
ทำไมกันนะ ทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้
และแล้วบ่ายวันหนึ่ง เสียงเคาะประตูที่ไม่คาดฝันดังขึ้น สำหรับกโยซึลนั้นไม่มีเสียงใดน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ก๊อกๆ
แม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบา กโยซึลกลับได้ยินมันชัดเจนกว่าเสียงใด ไม่มีแม้แต่ความเคลือบแคลงใจว่าตนอาจหูฝาดไปเอง อากัปกิริยาของกโยซึลที่ลุกพรวดออกจากเตียงอย่างรวดเร็วประหนึ่งโผบินนั้นเป็นธรรมชาติและรวดเร็วดั่งสายน้ำที่หลั่งไหล หลังจากกระโดดลงจากเตียง วางเท้าข้างหนึ่งลงและวิ่งกระแทกพื้นไปเปิดหน้าต่างออกอย่างรวดเร็ว กโยซึลโผตัวออกมานอกหน้าต่าง
“รูแฮ!”
พ้นขอบหน้าต่างต่ำลงไปที่ฐานใต้ตำหนัก มีใบหน้าของคนที่เฝ้าคิดถึงแล้วคิดถึงเล่ายืนอยู่ บนใบหน้าของเขาที่ทั้งเกลี้ยงเกลาและคมสันกว่าที่กโยซึลวาดเอาไว้ในความคิดมีรอยยิ้มอบอุ่นพาดอยู่ ผมสีน้ำตาลอุ่นที่ยาวและนุ่มสลวยของเขาพัดเบาๆ ไปตามสายลมที่เงียบงัน ไม่มีใครเฝ้ามองกโยซึลด้วยสายตาที่อบอุ่นและหยาดเยิ้มไปกว่านี้อีกแล้ว
ไม่มีคำทักทาย อ้อมกอด หรืออิริยาบทใดๆ จำเป็นอีกต่อไป กโยซึลรับรู้ได้ถึงความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลออกมาจากสายตาของเขาที่จ้องมองมา
เป็นเขา เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา เขาคือรูแฮ ไม่ใช่ใครอื่นใด
วินาทีที่เห็นหน้ารูแฮ กโยซึลลืมความอึดอัดที่ซึมซาบอยู่ในซอกหลืบของหัวใจของตนไปสนิท ความเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นมีความสุขที่ในที่สุดก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ขอบปากของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างสดใส
ทันทีที่หน้าต่างถูกเปิดออก รูแฮที่รับตัวของกโยซึลที่โผตัวออกมานอกหน้าต่างไว้ได้อย่างหวุดหวิด ยิ้มกว้างด้วยความยินดีปนงุนงง
“ถ้าไม่ใช่ข้าจะทำอย่างไร จะรีบพรวดพราดออกมาอย่างนี้หรือไม่”
“จะบอกว่าท่านไม่ใช่รูแฮอย่างนั้นหรือ”
“ใช่สิ”
“ถ้าใช่ก็ดีแล้ว”
กโยซึลพูดด้วยน้ำเสียงตลกน่าหัวเราะต่างจากปกติ อาจเป็นเพราะได้พบกันหลังจากการรอคอยที่ยาวนาน กโยซึลจึงออดอ้อนเป็นเด็กเล็กๆ รูแฮลูบหลังของกโยซึลอย่างอ่อนโยน เขาลูบหัวนางและกระซิบด้วยความรัก
“ขอบคุณที่รอกัน มันเป็นปัญหาในอดีตจึงรุนแรงนัก ต้องใช้เวลาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงใช้เวลานานขึ้น”
แม้เป็นคำแก้ตัวที่ช้าไปนัก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นน้ำเสียงที่ค่อยๆ ลบล้างความอ่อนเพลียและความเบื่อหน่ายทั้งหมดทิ้งไป
“แต่แค่กโยซึลมาอยู่ที่ตำหนักกงรีมก ความเหนื่อยยากของข้าก็เหมือนถูกชะล้างหายไปเป็นปลิดทิ้ง”
“เราไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย” กโยซึลพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงซุกซน
“เรายังคงทุกข์ทรมานใจจากการรอรูแฮอยู่เลย ปวดเมื่อยไปทั้งตัวไม่พอยังปวดหัวด้วย”
กโยซึลลูบไหล่ของตัวเองขึ้นลงด้วยกำปั้นเล็กๆ และวางหลังมือลงบนหน้าผาก กระนั้นไม่พอหางตายังลู่ตกลง พลางทำใบหน้าน่าสงสาร
“ไปลงหลักปักฐานไว้ที่ไหนหรือเปล่า เราคิดว่ารูแฮจะหาทางกลับมาวังหลวงไม่ได้เสียแล้ว คอเราไม่ดูเหมือนว่ามันยาวขึ้นหรอกหรือ เราไม่รู้ว่าจะมารูแฮจะมาเมื่อไร ได้แต่ชะเง้อคอมองเฝ้ารอรูแฮกลับมา ปวดเมื่อยหลังคอไปหมดแล้ว”
“อยากทำให้ข้ารู้สึกผิดขึ้นไปอีกหรือ ต้องให้คุกเข่าลงบนเสื่อฟางรอรับโทษหลวงดีหรือไม่ พระชายา
กโยซึลถึงจะยกโทษให้กัน”
“โถ่ คุกเข่าอะไรกันเล่า”
“ข้าเอาจริงนะ คุกเข่ามันลงตรงนี้เลยดีไหม”
รูแฮพูดช่างพูดมากกว่าปกติ ความทะเล้นของเขาทำให้กโยซึลหลุดขำออกมา ภาพของรูแฮที่พูดเล่นออกมาด้วยใบหน้าที่ทั้งอ่อนโยนและเคร่งขรึมนั้นช่างน่ามอง บรรยากาศรอบตัวเขาที่ทั้งเบาสบายและหนักแน่นนั้นทำให้กโยซึลรู้สึกดี ในที่สุดกโยซึลก็ยกมือสองข้างขึ้นพร้อมพูดความจริงออกมา
“ที่จริงแล้ว ทันที่ที่เห็นหน้ารูแฮเราก็หายโกรธแล้ว”
“นั่นประไร แกล้งข้าจริงๆ ด้วย”
“คิดเสียว่าโดนเราเอาแต่ใจใส่เพราะรูแฮกลับมาช้าก็แล้วกัน”
“ถ้าเป็นการเอาแต่ใจของเจ้า ข้าพร้อมที่จะรับไว้เสมอ”
รูแฮสอดมือเขาไปใต้วงแขนทั้งสองข้างของกโยซึลพร้อมกับอุ้มนางขึ้นเต็มแรง พละกำลังของชายหนุ่มนั้นทั้งสุขุมและแข็งแกร่ง หากแต่กโยซึลที่ท่อนล่างพาดกรอบหน้าต่างพร้อมห้อยตัวลงมาอย่างหมิ่นเหม่นั้น หล่นกลับเข้าไปในห้องโดยไม่รู้ตัว รูแฮใช้แขนทั้งสองข้างพาดกับกรอบหน้าต่างและทับซ้อนกัน พร้อมกับวางคางลงไป รูแฮในท่าทีที่ห้อยอยู่กับกรอบหน้าต่าง ใช้นัยน์ตาทั้งสองข้างเหลือบขึ้นมองกโยซึล กโยซึลอยู่ในห้อง ส่วนรูแฮนั้นอยู่ด้านล่างหน้าต่าง ทั้งสองคนใช้สายตาจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ชั่วครู่ ไม่มีแม่แต่คำพูดหรือการสัมผัส เพียงสายตาก็ทำให้ทั้งครู่เริ่มหายใจติดขัด ความประหม่าอันน่าประหลาดใจนี้รู้สึกได้จากทั้งสองฝั่งหน้าต่าง วินาทีที่หน้าต่างที่ถูกปิดไว้แน่นสนิททุกวันเปิดออกนั้น มันเป็นไปตามที่คาดไว้ ถึงแม้ทั้งคู่จะตั้งตาคอยและเคยวาดภาพเหตุการณ์นี้ในหัวมาก่อน สัญญาที่ว่าหากรอคอยกันก็มีนัยว่าจะกลับมาหากัน ไม่มีการพูดกันตรงๆ แม้แต่ครั้งเดียว เพราะเช่นนั้นยิ่งทำให้ประหม่ามากขึ้นไปอีก
“มีใครอื่นอยู่ในห้องหรือไม่”
“ไม่มี มีแค่เรา”
คำถามที่ระมัดระวังกับคำตอบที่เรียบง่าย
คำถามแรกถูกถามออกไป ความเงียบที่ยาวนานตามมาระหว่างรอคอยคำถามที่สอง รูแฮไม่ได้รีบร้อนและกโยซึลก็ไม่ได้เร่งเร้า ทั้งคู่เพียงแค่จ้องมองกันและกันและรอให้ความเงียบงันนี้ผ่านไปอย่างสงบ รูแฮถามออกไปอย่างระมัดระวังกว่าครั้งแรก
“ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
รูแฮอิงกรอบหน้าต่างด้วยความประหม่า เขาใช้สายตาที่วิงวอนต้องการคำตอบแหงนมองกโยซึล
กโยซึลเหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากสวย
ถึงแม้จะเป็นรูแฮที่เจอกันอยู่บ่อยๆ ทว่าที่นี่คือตำหนักนอก และเขาอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ทำให้การที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องนอนสร้างความประหม่าที่ไม่คุ้นเคยขึ้น หลังจากความเงียบพักใหญ่ ริมฝีปาก
ของกโยซึลเปิดออกอีกครั้ง
“ได้สิ”
วินาทีที่คำตอบสั้นๆ คำเดียวนั้นหลุดออกมา รูแฮก็เข้าไปอยู่ในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว