ตอนที่ 73-2 หลบซ่อน

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ฮือ กโยซึลส่งเสียงทุกข์ใจออกมาทางจมูก แม้จะเป็นแม่นมที่อยู่ดูแลกโยซึลมาเนิ่นนาน กโยซึลกลับได้มอบหัวใจที่หนักอึ้งของตนให้กับคนอื่นไปแล้ว กโยซึลไม่อาจทนให้ดอกไม้หนึ่งดอกนั้นร่วงหล่นลงบนพื้น มากกว่าการทำร้ายจิตใจของแม่นมให้เจ็บช้ำ ถึงแม้จะแค่หยิบดอกไม้ขึ้นมาเสียบใหม่ได้ง่ายๆ ก็ตาม ว่ากันว่าหากเป็นเรื่องของหัวใจแล้วนั้นมันทั้งไร้น้ำใจและเห็นแก่ตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้เหตุผลจะเป็นอย่างไร กโยซึลเองก็ไม่อาจเข้าใจหัวใจที่อ่อนไหวและหวาดหวั่นเป็นพิเศษของตนได้ จิตใจช่างกระสับกระส่ายผิดธรรมชาติเกินกว่าจะคิดว่าสาเหตุนั้นมาจากการเฝ้ารอการกลับมาของรูแฮเพียงอย่างเดียว 

 

 

ทำไมกันนะ 

 

 

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้กัน กโยซึลที่นอนขดตัวกลมอยู่บนเตียงพูดคำเดิมไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประหนึ่งร่ายเวทย์มนต์คาถา 

 

 

ทำไมกันนะ ทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ 

 

 

และแล้วบ่ายวันหนึ่ง เสียงเคาะประตูที่ไม่คาดฝันดังขึ้น สำหรับกโยซึลนั้นไม่มีเสียงใดน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว 

 

 

ก๊อกๆ 

 

 

แม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบา กโยซึลกลับได้ยินมันชัดเจนกว่าเสียงใด ไม่มีแม้แต่ความเคลือบแคลงใจว่าตนอาจหูฝาดไปเอง อากัปกิริยาของกโยซึลที่ลุกพรวดออกจากเตียงอย่างรวดเร็วประหนึ่งโผบินนั้นเป็นธรรมชาติและรวดเร็วดั่งสายน้ำที่หลั่งไหล หลังจากกระโดดลงจากเตียง วางเท้าข้างหนึ่งลงและวิ่งกระแทกพื้นไปเปิดหน้าต่างออกอย่างรวดเร็ว กโยซึลโผตัวออกมานอกหน้าต่าง 

 

 

“รูแฮ!” 

 

 

พ้นขอบหน้าต่างต่ำลงไปที่ฐานใต้ตำหนัก มีใบหน้าของคนที่เฝ้าคิดถึงแล้วคิดถึงเล่ายืนอยู่ บนใบหน้าของเขาที่ทั้งเกลี้ยงเกลาและคมสันกว่าที่กโยซึลวาดเอาไว้ในความคิดมีรอยยิ้มอบอุ่นพาดอยู่ ผมสีน้ำตาลอุ่นที่ยาวและนุ่มสลวยของเขาพัดเบาๆ ไปตามสายลมที่เงียบงัน ไม่มีใครเฝ้ามองกโยซึลด้วยสายตาที่อบอุ่นและหยาดเยิ้มไปกว่านี้อีกแล้ว 

 

 

ไม่มีคำทักทาย อ้อมกอด หรืออิริยาบทใดๆ จำเป็นอีกต่อไป กโยซึลรับรู้ได้ถึงความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลออกมาจากสายตาของเขาที่จ้องมองมา 

 

 

เป็นเขา เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา เขาคือรูแฮ ไม่ใช่ใครอื่นใด 

 

 

วินาทีที่เห็นหน้ารูแฮ กโยซึลลืมความอึดอัดที่ซึมซาบอยู่ในซอกหลืบของหัวใจของตนไปสนิท ความเศร้าแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นมีความสุขที่ในที่สุดก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ขอบปากของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างสดใส 

 

 

ทันทีที่หน้าต่างถูกเปิดออก รูแฮที่รับตัวของกโยซึลที่โผตัวออกมานอกหน้าต่างไว้ได้อย่างหวุดหวิด ยิ้มกว้างด้วยความยินดีปนงุนงง 

 

 

“ถ้าไม่ใช่ข้าจะทำอย่างไร จะรีบพรวดพราดออกมาอย่างนี้หรือไม่” 

 

 

“จะบอกว่าท่านไม่ใช่รูแฮอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ใช่สิ” 

 

 

“ถ้าใช่ก็ดีแล้ว” 

 

 

กโยซึลพูดด้วยน้ำเสียงตลกน่าหัวเราะต่างจากปกติ อาจเป็นเพราะได้พบกันหลังจากการรอคอยที่ยาวนาน กโยซึลจึงออดอ้อนเป็นเด็กเล็กๆ รูแฮลูบหลังของกโยซึลอย่างอ่อนโยน เขาลูบหัวนางและกระซิบด้วยความรัก 

 

 

“ขอบคุณที่รอกัน มันเป็นปัญหาในอดีตจึงรุนแรงนัก ต้องใช้เวลาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงใช้เวลานานขึ้น” 

 

 

แม้เป็นคำแก้ตัวที่ช้าไปนัก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นน้ำเสียงที่ค่อยๆ ลบล้างความอ่อนเพลียและความเบื่อหน่ายทั้งหมดทิ้งไป 

 

 

“แต่แค่กโยซึลมาอยู่ที่ตำหนักกงรีมก ความเหนื่อยยากของข้าก็เหมือนถูกชะล้างหายไปเป็นปลิดทิ้ง” 

 

 

“เราไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย” กโยซึลพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงซุกซน 

 

 

 “เรายังคงทุกข์ทรมานใจจากการรอรูแฮอยู่เลย ปวดเมื่อยไปทั้งตัวไม่พอยังปวดหัวด้วย” 

 

 

กโยซึลลูบไหล่ของตัวเองขึ้นลงด้วยกำปั้นเล็กๆ และวางหลังมือลงบนหน้าผาก กระนั้นไม่พอหางตายังลู่ตกลง พลางทำใบหน้าน่าสงสาร 

 

 

“ไปลงหลักปักฐานไว้ที่ไหนหรือเปล่า เราคิดว่ารูแฮจะหาทางกลับมาวังหลวงไม่ได้เสียแล้ว คอเราไม่ดูเหมือนว่ามันยาวขึ้นหรอกหรือ เราไม่รู้ว่าจะมารูแฮจะมาเมื่อไร ได้แต่ชะเง้อคอมองเฝ้ารอรูแฮกลับมา ปวดเมื่อยหลังคอไปหมดแล้ว” 

 

 

“อยากทำให้ข้ารู้สึกผิดขึ้นไปอีกหรือ ต้องให้คุกเข่าลงบนเสื่อฟางรอรับโทษหลวงดีหรือไม่ พระชายา 

 

 

กโยซึลถึงจะยกโทษให้กัน” 

 

 

“โถ่ คุกเข่าอะไรกันเล่า” 

 

 

“ข้าเอาจริงนะ คุกเข่ามันลงตรงนี้เลยดีไหม” 

 

 

รูแฮพูดช่างพูดมากกว่าปกติ ความทะเล้นของเขาทำให้กโยซึลหลุดขำออกมา ภาพของรูแฮที่พูดเล่นออกมาด้วยใบหน้าที่ทั้งอ่อนโยนและเคร่งขรึมนั้นช่างน่ามอง บรรยากาศรอบตัวเขาที่ทั้งเบาสบายและหนักแน่นนั้นทำให้กโยซึลรู้สึกดี ในที่สุดกโยซึลก็ยกมือสองข้างขึ้นพร้อมพูดความจริงออกมา 

 

 

“ที่จริงแล้ว ทันที่ที่เห็นหน้ารูแฮเราก็หายโกรธแล้ว” 

 

 

           “นั่นประไร แกล้งข้าจริงๆ ด้วย” 

 

 

“คิดเสียว่าโดนเราเอาแต่ใจใส่เพราะรูแฮกลับมาช้าก็แล้วกัน” 

 

 

 “ถ้าเป็นการเอาแต่ใจของเจ้า ข้าพร้อมที่จะรับไว้เสมอ” 

 

 

รูแฮสอดมือเขาไปใต้วงแขนทั้งสองข้างของกโยซึลพร้อมกับอุ้มนางขึ้นเต็มแรง พละกำลังของชายหนุ่มนั้นทั้งสุขุมและแข็งแกร่ง หากแต่กโยซึลที่ท่อนล่างพาดกรอบหน้าต่างพร้อมห้อยตัวลงมาอย่างหมิ่นเหม่นั้น หล่นกลับเข้าไปในห้องโดยไม่รู้ตัว รูแฮใช้แขนทั้งสองข้างพาดกับกรอบหน้าต่างและทับซ้อนกัน พร้อมกับวางคางลงไป รูแฮในท่าทีที่ห้อยอยู่กับกรอบหน้าต่าง ใช้นัยน์ตาทั้งสองข้างเหลือบขึ้นมองกโยซึล กโยซึลอยู่ในห้อง ส่วนรูแฮนั้นอยู่ด้านล่างหน้าต่าง ทั้งสองคนใช้สายตาจ้องมองซึ่งกันและกันอยู่ชั่วครู่ ไม่มีแม่แต่คำพูดหรือการสัมผัส เพียงสายตาก็ทำให้ทั้งครู่เริ่มหายใจติดขัด ความประหม่าอันน่าประหลาดใจนี้รู้สึกได้จากทั้งสองฝั่งหน้าต่าง วินาทีที่หน้าต่างที่ถูกปิดไว้แน่นสนิททุกวันเปิดออกนั้น มันเป็นไปตามที่คาดไว้ ถึงแม้ทั้งคู่จะตั้งตาคอยและเคยวาดภาพเหตุการณ์นี้ในหัวมาก่อน สัญญาที่ว่าหากรอคอยกันก็มีนัยว่าจะกลับมาหากัน ไม่มีการพูดกันตรงๆ แม้แต่ครั้งเดียว เพราะเช่นนั้นยิ่งทำให้ประหม่ามากขึ้นไปอีก 

 

 

“มีใครอื่นอยู่ในห้องหรือไม่” 

 

 

“ไม่มี มีแค่เรา” 

 

 

คำถามที่ระมัดระวังกับคำตอบที่เรียบง่าย 

 

 

คำถามแรกถูกถามออกไป ความเงียบที่ยาวนานตามมาระหว่างรอคอยคำถามที่สอง รูแฮไม่ได้รีบร้อนและกโยซึลก็ไม่ได้เร่งเร้า ทั้งคู่เพียงแค่จ้องมองกันและกันและรอให้ความเงียบงันนี้ผ่านไปอย่างสงบ รูแฮถามออกไปอย่างระมัดระวังกว่าครั้งแรก 

 

 

“ข้าเข้าไปได้หรือไม่” 

 

 

รูแฮอิงกรอบหน้าต่างด้วยความประหม่า เขาใช้สายตาที่วิงวอนต้องการคำตอบแหงนมองกโยซึล 

 

 

กโยซึลเหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากสวย 

 

 

ถึงแม้จะเป็นรูแฮที่เจอกันอยู่บ่อยๆ ทว่าที่นี่คือตำหนักนอก และเขาอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ทำให้การที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้องนอนสร้างความประหม่าที่ไม่คุ้นเคยขึ้น หลังจากความเงียบพักใหญ่ ริมฝีปาก 

 

 

ของกโยซึลเปิดออกอีกครั้ง 

 

 

“ได้สิ” 

 

 

วินาทีที่คำตอบสั้นๆ คำเดียวนั้นหลุดออกมา รูแฮก็เข้าไปอยู่ในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว