“ได้สิ”
คำตอบรับสั้นๆ คำเดียวของกโยซึลส่งเสียงสะท้อนดังสนั่น ทันทีที่น้ำเสียงเขินอายดังขึ้น มือของรูแฮที่วางไว้บนกรอบหน้าต่างก็มีพละกำลังขึ้นมา เขากางแขนออกพร้อมๆ กับค้ำตัวไว้กรอบหน้าต่างอย่างเต็มแรง ไม่ต้องมีการช่วยเหลือใดๆ ร่างกายส่วนบนของเขาแข็งแกร่งพอที่จะยกตัวขึ้นเองได้อย่างง่ายดาย ทันที่ที่ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศ รูแฮส่งขาข้างหนึ่งข้ามกรอบหน้าต่างไป
พรวด
ร่างกายของรูแฮข้ามหน้าต่างไปอย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว เขาเข้ามาในห้องได้ก่อนที่คำตอบของ
กโยซึลจะลอยหายไปกับอากาศ กโยซึลไม่มีแม้แต่เวลาจะขยับถอยหลัง เขาประชิดตัวนางที่ยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง รูแฮปรากฏตัวขึ้น ณ ช่องว่างเล็กๆ ระหว่างกโยซึลกับบานหน้าต่าง กโยซึลไม่ได้ถอยหลังหากแต่โดนลำตัวรูแฮดันไป พอเป็นเช่นนั้นลำตัวของทั้งคู่ก็แนบกันสนิทไร้ซึ่งช่องว่างใดๆ
พรึ่บ การแทรกตัวเข้ามาอย่างกะทันหันของรูแฮดันกโยซึลไปด้านหลังจนเสียสมดุลโซเซไปมา มือที่ว่องไวพันไปรอบเอวของนางที่เอียงเอน
“อ่า”
ฝ่ามือที่พันรอบเอวเรียวบาง สัมผัสที่พันรอบเอวอย่างนุ่มนวลทำให้กโยซึลรู้สึกร้อนวูบขึ้นมา เป็นเพราะนึกถึงช่วงเวลาที่คิดว่าลืมไปแล้ว ไม่สิ ช่วงเวลาที่พยายามจะลืมไปขึ้นมา ค่ำคืนโล่งแจ้งที่เต็มไปด้วยแสงจันทร์ชุ่มฉ่ำที่แสนเศร้า มือที่อบอุ่นจนร้อนรวบตัวนางไว้ กิริยาท่าทาง การเคลื่อนไหวที่ทั้งแข็งกระด้าง หนักแน่น หากแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง
การแนบชิด
กโยซึลหลับตาลงแน่น ก้มหัวลงพร้อมกับห่อไหล่เล็ก
ไม่นะ ไม่นะ ไม่ จะนึกถึงไม่ได้
นางพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวนับครั้งไม่ถ้วน ต้องลืมเหตุการณ์ที่โดนสัมผัสวันนั้นให้หมด อย่าได้นึกถึงมันขึ้นมาอีก ไม่ว่าจะความทรงจำใดก็ไม่อยากหวนนึกถึงทั้งสิ้น สู้ยอมไม่คิดอะไรเลยเสียยังดีกว่า ถ้าไม่ทำอะไรและไม่เห็นอะไรสักอย่างก็คงไม่ต้องคิดอะไรขึ้นมา นางย้ำตัวเองอยู่อย่างนั้น น่าเศร้าที่ช่วงเวลาอันเงียบงันนั้นมีเพียงสิ่งเร้าเล็กน้อยก็กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้นกโยซึลกลับนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมาเพราะสัมผัสของรูแฮ เป็นความรู้สึกผิดบาปที่ทั้งน่าละอายใจและน่าอับอายในเวลาเดียวกัน
ความผิดบาป
ใช่แล้ว นี่คือความผิดบาป การนึกถึงชายอื่นในอ้อมกอดของชายอีกคน ยิ่งไปกว่านั้นเขาคือคนที่
กโยซึลหลงรักด้วย กโยซึลจับปลายแขนเสื้อของรูแฮไว้แน่น ข้อต่อกระดูกที่นูนขึ้นมาบนหลังมือที่สั่นระริกเป็นภาพที่น่าสลดใจ
“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
สีหน้าของกโยซึลแปลกออกไป รูแฮเอียงคอมองท่าทีของกโยซึลที่เกร็งตัวด้วยความตึงเครียด เพื่อสังเกตสีหน้าของนางที่ก้มหน้าอยู่ หากแต่ยิ่งสายตาของรูแฮเลื่อนต่ำลง กโยซึลก็ยิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมไม่เหลือที่ให้แทรกเข้าไปได้
“เราไม่เป็นอะไร” ในที่สุดกโยซึลก็ส่งเสียงออกมา “ไม่มีอะไรหรอก เราสบายดี”
ถึงแม้จะพูดออกมาอย่างนั้น กโยซึลกลับอิงตัวลงไปในอ้อมกอดของรูแฮ นางผายมือออกโอบเอวรูแฮเอาไว้ แม้ลำตัวจะแนบกันสนิทไม่มีช่องว่างเหลืออยู่แล้ว เช่นเดียวกับที่รูแฮพันรอบเอวของนางไว้ กโยซึลเองก็โอบเอวรูแฮไว้เช่นกัน
เพราะครั้งนี้ต่างคนต่างโอบกันไว้
ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่ทั้งคู่ต่างเอื้อมมือมาจับกันและกันไว้ เป็นการสัมผัสที่เต็มไปด้วยความรักระหว่างกัน ไม่ใช่การสัมผัสฝ่ายเดียว
มันต่างกัน มันช่างต่างกับค่ำคืนที่เปียกปอนคืนนั้น กโยซึลพูดซ้ำไปมาในหัวพร้อมกับสงบจิตใจลง ซุกหน้าลงกับอ้อมอกของรูแฮ สูดกลิ่นกายของเขาดื่มด่ำลึกเข้าไปในปอด พร้อมกับออกแรงดึงเขาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น อยากรู้สึกถึงตัวตนของเขาอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ หวังให้คนที่อ่อนโยนสัมผัสกันด้วยความนุ่มนวล
“ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าคงจะคิดถึงข้ามาก”
รูแฮวิเคราะห์ท่าทีของกโยซึล มันไม่ได้ผิดไปเสียทีเดียว กโยซึลพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับเป็นเด็ก เป็นท่าทางที่ทั้งน่ารักและงดงาม จนรูแฮต้องลูบหัวนางขึ้นลงโดยอัตโนมัติ
ใช่แล้ว มันเป็นเพราะความคิดถึง เป็นเพราะความเหงาเศร้าใจจากการคิดถึงคนๆ นี้เพียงเท่านั้น
กโยซึลคิดทบทวนคำพูดของรูแฮพลางจัดการกับใจที่สับสนวุ่นวาย
เพราะตอนนี้ได้พบเขาอีกครั้ง มันจะไม่เป็นไร เราจะไม่เป็นอะไร
ทั้งคู่ใช้เวลาในการพบกันอีกครั้งที่ยาวนานนี้ไปกับการคิดถึงกันและกัน และวิตกกังวลใจ รูแฮก็เป็นเช่นเดียวกับกโยซึล ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ทั้งคู่ดึงกันและกันมากอดไว้แน่น และปลดปล่อยความปรารถนาหน้าบานหน้าต่างที่ถูกเปิดค้างไว้
“พระชายากโยซึล เสด็จเข้าบรรทมหรือยังเพคะ” เสียงของแม่นมดังผ่านบานประตูเข้ามา
เฮือก! กโยซึลลืมตาขึ้นพรึ่บทันใดพลางเงยหน้าขึ้น รูแฮที่มีสีหน้าไม่ต่างกันยืนตัวแข็งมองกโยซึลอยู่
เป็นแม่นมที่ปกติจะเข้ามาในห้องโดยไม่ลังเล หากแต่ช่วงนี้หลังจากที่กโยซึลตะโกนเสียงกร้าวออกไปว่าอยากอยู่คนเดียว แม่นมก็ไม่เคยพรวดพราดเข้ามาในห้องตามอำเภอใจอีก นางจะก้าวเท้าเข้ามาก็ต่อเมื่อได้รับคำอนุญาตจากกโยซึล
ไม่มีสัญญานตอบรับจากด้านใน แม่นมจึงส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“พระชายาเพคะ”
“อย่าเข้ามา!”
อา กโยซึลเผลอขึ้นเสียงออกไปอีกครั้งด้วยความตระหนก เรื่องที่ทำให้รู้สึกผิดต่อแม่นมมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากแต่เพื่อที่จะแอบซ่อนรูแฮไว้ และเพื่อที่จะได้อยู่กับเขาแล้วนั้น มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่มีคำตอบใดล่อนผ่านบานประตูมาอีก แต่ว่าความเงียบก็เปรียบเสมือนคำตอบ กโยซึลที่รู้สึกได้ถึงบาดแผลในใจของแม่นมก็เจ็บปวดใจไม่แพ้กัน นางแตะชายเสื้อของรูแฮซ้ำๆ ก่อนจะรีบเดินไปยังบานประตู นางเห็นเงาของแม่นมที่อีกฟากของบานประตู กโยซึลไม่ได้เปิดประตู แต่กลับวางมือลงกับบานประตูช้าๆ
“ขอโทษที่เราขึ้นเสียงใส่”
“ไม่หรอกเพคะ มันเป็นหน้าที่ของหม่อมชั้นที่จะต้องเข้าใจความรู้สึกของพระชายา หม่อมชั้นต้องขอประทานอภัยที่ช่วงนี้อ่านพระทัยพระองค์ไม่ออก”
แม้แม่นมจะเข้าอกเข้าใจและปลอบโยนกัน คำพูดที่นอบน้อมนั้นช่างเจ็บปวดใจนัก กโยซึลหันกลับไปมองรูแฮอีกครั้ง พลางปิดปากแน่นสนิท นางหันกลับไปที่บานประตูอีกครั้งพร้อมกับพูดเบาๆ ว่า
“เราไม่ต้องการอะไร วันนี้เราอยากอยู่คนเดียวซักพัก ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาในห้อง”
“พระชายา ฮึก…” แม่นมปิดปากแน่นสนิท ไม่มีคำพูดใดออกมา