หลังจากครุ่นคิดไปอีกชั่วขณะ โหลวหลานจีก็นวดขมับและถอนหายใจอย่างแรง “ถ้าเจ้าเชื่อจริงๆว่าเราต้องการที่จะใช้หินวิญญาณมากมายขนาดนั้น เช่นนั้นข้าก็มิโต้แย้ง ตั้งแต่แรกหินวิญญาณทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นของเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ควรสามารถใช้มันได้ตามที่เจ้าต้องการ”
ซูหยางพยักหน้าและยื่นส่งแผนที่ของทั้งนิกายที่แสดงถึงพื้นที่ทั้งหมดที่ต้องการวางหินวิญญาณ
หลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เรียกผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทั้งหมด แม้กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ภายในสำนัก
“เกิดอะไรขึ้น ท่านผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสซุนถามเธอหลังจากที่ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว
เธอพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเกือบทั้งหมดยุ่งอยู่กับการฝึกฝนตนเอง แต่ว่าข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งหมดช่วยอะไรบางอย่าง ในเมื่อมันไม่ได้เป็นอะไรที่คนสองสามคนจะสามารถทำได้ และนี่เป็นคำขอร้องส่วนตัวจากผู้นำนิกายซู”
“อะไรที่ท่านผู้นำนิกายต้องการ แน่นอนว่าพวกเรายินดีที่จะช่วยเขาอย่างดีที่สุดที่ความสามารถของเราจะทำได้” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์กล่าว
“ซูหยางต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรางั้นรึ นี่มิได้เป็นอะไรที่สามารถเห็นได้บ่อยนัก…” ผู้อาวุโสซุนพึมพัม ในเมื่อเขาคุ้นเคยกับการที่ซูหยางทำทุกสิ่งด้วยตัวเขาเอง
จากนั้นเขาก็พูดว่า “อะไรที่ผู้นำนิกายต้องการให้พวกเราทำ”
“ข้าดีใจที่ท่านถาม” รอยยิ้มพิกลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโหลวหลานจี ก่อนที่เธอจะยื่นส่งถุงมิติหลายร้อยถุงให้กับพวกเขา
“…”
เหล่าศิษย์จ้องมองกองถุงมิติด้วยสีหน้างุนงง จะให้พวกเขาไปซื้อของหรืออย่างไร
“ถุงมิติทั้งหมดนี้มีไว้ทำอะไร ท่านต้องการให้พวกเราไปซื้ออะไรรึ ท่านผู้นำนิกาย” ซุนจิงจิงถาม
“มิได้เป็นเช่นนั้น” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ทั้งหมดนี้มีทั้งหมด สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ ในถุงมิติเหล่านี้”
“อะไรนะ หินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนรึ”
เมื่อโหลวหลานจีเปิดเผยให้พวกเขารู้ถึงความร่ำรวยที่เก็บซ่อนไว้ ผู้อาวุโสนิกายและเหล่าศิษย์ทั้งหมดต่างพากันกระโดดถอยหลังด้วยท่าทางตกใจ
“ท-ท่านล้อพวกเราเล่นรึ ท่านผู้นำนิกาย ที่ไหนในโลกนี้กันที่พวกเราอยู่ดีๆก็พลันร่ำรวยมหาศาลเช่นนั้น ต่อให้พวกเราขายนิกายนี้ทั้งหมด มันก็ยังมิมีความร่ำรวยได้ครึ่งหนึ่งของเท่านี้ อย่าว่าแต่สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ” ผู้อาวุโสซุตกล่าวกับเธอด้วยสีหน้าสับสน เห็นชัดว่าไม่อยากเชื่อ
“ท่านสามารถตรวจสอบถุงมิติพวกนี้ได้ด้วยตนเอง ท่านผู้อาวุโสซุน ข้ามิมีเหตุผลที่จะโกหกท่าน ตามจริงหินวิญญาณเหล่านี้มิได้ขึ้นกับข้า เป็นซูหยางที่นำมันมา”
“ซูหยาง…”
ผู้อาวุโสซุนยังคงงงงันแม้ว่ามันจะสมเหตุผลมากหากว่าเป็นซูหยางที่อยู่เบื้องหลังความร่ำรวยนี้ มันก็ยังไม่ได้อธิบายอยู่ดีว่าเขาได้มันมาอย่างไร
“เปรียบเทียบกับความร่ำรวยของเขา กระทั่งตระกูลซุน หนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปตะวันออกก็ยังมิมีค่าให้กล่าวถึง” ผู้อาวุโสซุนร่ำร้องในใจ
โหลวหลานจียิ้ม หลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเหล่าศิษย์
“พวกเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าพวกเขารู้ว่าหินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนนี้เป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของที่พวกเรามีในตอนนี้ ข้าสงสัยเหลือเกิน” เธอถามตนเอง
สองสามอึดใจให้หลัง ยามเมื่อความตกใจของพวกเขาเจือจางลงไปแล้ว ฟางซีหลานก็ถามว่า “พวกเราจะต้องไปทำอะไรกับหินวิญญาณมากมายปานนี้ ท่านผู้นำนิกาย”
“อย่าตกใจตายเมื่อทุกคนได้ยินเรื่องนี้ แต่ด้วยหินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนนี้ พวกเรามีหน้าที่นำพวกมันไปโปรยรอบๆนิกาย” โหลวหลานจีพูด
“ป-โปรยพวกมันรอบนิกายรึ…. ข้าตามมิทัน…” ฟางซีหลานเลิกคิ้วด้วยใบหน้าสับสน
ไม่เพียงแค่ฟางซีหลาน ในเมื่อทุกคนที่นั่นต่างพากันงงงันว่าทำไมพวกเขาจะต้องทำอะไรแบบนั้น
“ซูหยางกำลังจะสร้างค่ายกลรอบนิกาย และต้องการหินวิญญาณจำนวนมาก แต่ข้าก็มิมีประสบการณ์ด้านค่ายกล ดังนั้นนี่จึงเกิดขอบเขตความรู้ของข้า” โหลวหลานจีกล่าว
“แม้ว่าจะเพื่อความปลอดภัยของนิกาย แต่การใช้หินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนเพื่อค่ายกล… ข้ามิสามารถพูดได้ว่าข้าเห็นด้วยกับการถลุงหินวิญญาณมากมายปานนี้…” ผู้อาวุโสซุนถอนใจ รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองแก่ไปหลายปีภายในไม่กี่อึดใจ
“ข้าพอจะพยายามหว่านล้อมเขาให้เปลี่ยนใจได้หรือไม่” เขาถาม
“ข้าได้พยายามแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาได้ตัดสินใจไปแล้วที่จะสร้างค่ายกลนี้”
“เก็บลมปากของท่านไว้ ท่านปู่ หากว่าซูหยางได้ตัดสินใจไปในเรื่องใดแล้ว เขาก็จักมิยอมเลิกล้ม และถ้าเขาเชื่อว่าค่ายกลนี้มีค่าถึงสามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณ เช่นนั้นข้าก็จักเชื่อตามเขาด้วยเช่นกัน”
“ฮ้าาาาาา…” ผู้อาวุโสซุนถอนใจอีกครั้ง แต่เขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธคำพูดของซุนจิงจิงได้ ในเมื่อเขาเองก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนใจเลยหลังจากที่ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
หลังจากนั้นผู้อาวุโสซุนก็พูดขึ้นว่า “ข้าเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่ว่าพวกเราจะโปรยพวกมันไปรอบๆนิกายอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา โหลวหลานจีก็หยิบถุงมิติขึ้นมาและหยิบหินวิญญาณขึ้นมาหนึ่งกำก่อนที่จะโปรยมันลงไปบนพื้นราวกับว่ามันเป็นอาหารนก
“…”
เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันมองพร้อมกับทำตาโต ราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุดที่พวกเขาเคยเห็นมา คำว่า “สูญเปล่า” ยังไม่สามารถที่จะอธิบายสถานการณ์นี้ได้อย่างเต็มที่
“เพียงแค่โยนมันไปรอบๆนิกายราวกับว่าพวกเจ้าป้อนอาหารนกในสวน แต่เน้นในบริเวณเหล่านี้มากเป็นพิเศษ” โหลวหลานจีแสดงให้พวกเขาเห็นแผนที่แสดงตำแหน่งที่มีเครื่องหมายเอาไว้
“มันต้องทำให้เสร็จภายในสองสัปดาห์ก่อนที่ซูหยางจะเสร็จสิ้นการเตรียมการสำหรับค่ายกลนี้”
เวลาหลังจากนั้น ศิษย์แต่ละคนก็หยิบถุงมิติและเริ่มโปรยหินวิญญาณไปทั่วทุกแห่งหน
แม้ว่าเหล่าศิษย์จะรู้สึกลังเลที่จะโปรยหินวิญญาณไปรอบนิกายราวกับว่ามันเป็นขยะ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะไม่เชื่อฟังคำขอร้องของผู้นำนิกายได้ ส่วนสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานยากจนมาก่อนที่จะเข้านิกาย พวกเขาต่างก็พากันร้องไห้กันอย่างหนักขณะที่หินวิญญาณหลุดไปจากมือและทิ้งอยู่เกลื่อนพื้น
อย่างไรก็ตามก็มีศิษย์อีกสองสามคนที่มีความสุขอย่างแท้จริง ในเมื่อนี่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขานั้นกำลังโอ้อวดความมั่งคั่งของตนเอง
หินวิญญาณถูกทิ้งเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งนิกายอย่างรวดเร็ว จนเหมือนกับว่าเป็นขุมทรัพย์ และมันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปนิกายโดยไม่เหยียบไปบนหินวิญญาณบ้าง
สองสัปดาห์ให้หลัง หินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนก็ถูกทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วทั้งนิกาย จนทำให้ที่แห่งนั้นปลดปล่อยพลังปราณไร้ลักษณ์ออกมาจำนวนมาก