บทที่ 533: บรรลุนิติภาวะ

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

สองสามวันก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเสร็จสิ้นการโปรยหินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนรอบนิกาย คนสองคนที่อยู่ห่างไปสองพันกิโลเมตรในสำนักหงส์สวรรค์ ซูหยินก็เข้าไปหาอาจารย์ของเธอ ไป่ลี่ฮัว และกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “อาจารย์ ข้าจักอายุ 16 ในอีกสองสามวันข้างหน้า และข้าต้องการที่จะฉลองวันเกิดของข้าและการบรรลุนิติภาวะกับพี่ชายที่รักของข้า”

 

“โอ ดูราวกับว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ปีเดียวนับตั้งแต่เจ้าเข้าร่วมกับสำนักหงส์สวรรค์เมื่อตอนอายุได้สิบปี เมื่อมาคิดดูมันก็ผ่านไปนานถึงหกปีแล้ว ข้ายังจำได้ว่าเจ้าครองอำนาจเหนือศิษย์นอกยังไงหลังจากที่เจ้าเข้าร่วม ยังไงก็ตามข้าก็ต้องขอแสดงความยินดีในวันเกิดของเจ้าและการเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเธอ

 

“ขอบคุณท่านอาจารย์” ซูหยิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

 

“เจ้าต้องการที่จะไปเยี่ยมนิกายกุุสุมาลย์พ้นพิสัยกับซูหยางใช่ไหม แม้ว่ามันจะมินานนับตั้งแต่การคัดเลือกศิษย์ของพวกเขาจบลง แต่ข้าก็ต้องการเห็นความก้าวหน้าของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นข้าก็จะติดตามเจ้าไปด้วย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว

 

ซูหยินและไป่ลี่ฮัวออกจากสำนักหงส์สวรรค์และเริ่มมุ่งหน้าเดินทางไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในวันนั้น

 

ในเวลาหลังจากนั้น ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากที่เหล่าศิษย์ได้โปรยหินวิญญาณทั้งหมดสามร้อยล้านก้อนแล้ว โหลวหลานจีก็ไปแจ้งให้กับซูหยางได้รู้

 

“พวกเราได้ติดตั้งหินวิญญาณทั้งสามร้อยล้านก้อนตามที่เจ้าขอเรียบร้อยแล้ว เจ้าสามารถสร้างค่ายกลเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ อย่างไรก็ตามข้าหวังว่าเจ้าควรจะรีบหน่อยในเมื่อทั้งนิกายเต็มไปด้วยหินวิญญาณจำนวนมากจนกระทั่งพวกเรามิสามารถกระทั่งเดินไปรอบๆโดยมิสะดุดพวกมัน” โหลวหลานจีกล่าวกับเขา

 

“ข้าเข้าใจ ข้าชื่นชมเหล่าศิษย์และการทำงานอย่างหนักของเจ้า ข้าจักเริ่มสร้างค่ายกลวันนี้หลังจากช่วงบ่าย”

 

“ช่วยบอกให้ข้ารู้ด้วยตอนที่เจ้าตัดสินใจสร้างค่ายกล ในเมื่อข้าต้องการที่จะเห็นด้วยตนเองว่าค่ายกลนั้นสร้างกันอย่างไร ในเมื่อเป็นการยากมากที่จะได้พบกับนักสร้างค่ายกล อย่าว่าแต่จะได้เห็นพวกเขาสร้างค่ายกล”

 

“มิต้องกังวล ข้าจักให้เจ้ารู้แน่นอน ตามความเป็นจริง ข้าจักให้ศิษย์ทุกคนได้รู้ด้วย”

 

หลังจากที่โหลวหลานจีออกไปจากห้อง ซูหยางก็ไปหาชิวเยว่

 

“การเตรียมการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ครั้นข้าสร้างค่ายกลชั้นเยี่ยมแล้ว ข้าจำเป็นให้เจ้าทำการสัมผัสครั้งสุดท้ายเพื่อกระตุ้นค่ายกลให้มันสมบูรณ์”

 

“ถึงแม้ว่าข้าจักอยู่ในเขตจอมเทพ นั่นก็จะทำให้ข้าหมดแรงในการกระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยม” เธอกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาของเธอเป็นประกายความคาดหวัง

 

ซูหยางยิ้มหลังจากที่สังเกตเห็นคำใบ้ในดวงตาของเธอ เขาพูดว่า “แน่นอน ข้ามิขอร้องเจ้าให้ทำเรื่องนี้ฟรี เจ้าต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทนรึ”

 

“ท่านคงมิพยายามที่จะหลอกข้าด้วยการใช้หนี้บุญคุญที่ท่านยังคงมีต่อข้ากับเรื่องนี้ ใช่ไหม” ชิวเยว่ถามเขาด้วยสายตาสงสัย

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางหัวเราะ แล้วเขาก็กล่าวว่า “ข้ามิทำอะไรแบบนั้นกับเจ้า”

 

ชิวเยว่พยักหน้าและหลังจากที่ยืนคิดอยู่ชั่วขณะ เธอก็กล่าวด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อยว่า “ท่านเก่งการใช้มือใช่ไหม ข้าต้องการให้ท่านนวดให้ข้านานๆหลังจากที่ช่วยท่าน”

 

“นวดรึ” ซูหยางมีสีหน้าประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินคำขอของเธอ ในเมื่อเขาไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้จริงๆ “งั้นก็ดี ข้าจักให้การนวดแก่เจ้าเป็นอย่างดีเพื่อที่มันจักทิ้งความประทับใจที่ดีไว้ตลอดไป

 

“เอ๋… ท่านต้องมิทำเกินไปท่านก็รู้… เพียงแค่การนวดธรรมดาก็เพียงพอ…” เป็นตาของชิวเยว่ที่ต้องประหลาดใจ ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าเขาจะถือคำร้องของเธออย่างจริงจังเช่นนั้น ซึ่งตามความเป็นจริงเธอก็กลัวที่จะสูญเสียการควบคุมอารมณ์และความปรารถนาของตัวเองเพราะการนวดนี้

 

“นั่นมิจำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แน่นอนว่าข้าจักทำให้มั่นใจว่าความเครียดทั้งหมดจากการกระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยมจักหายไปหลังจากการนวดแล้ว”

 

“แต่–”

 

ก่อนที่ชิวเยว่จะทันได้อ้าปากพูดต่อไป เสียงของโหลวหลานจีก็ดังขึ้นจากด้านนอก

 

“ซูหยาง ท่านเจ้าสำนัก ไป่ลี่ฮัว กับน้องสาวของเจ้า ซูหยิน มาหาเจ้าที่นี่”

 

“ข้าจักไปเดี๋ยวนี้” ซูหยางพูด

 

จากนั้นเขาก็กล่าวกับชิวเยว่ก่อนที่จะปล่อยเธอไว้ตามลำพังว่า “เอาล่ะ เจ้าสามารถตั้งตารอคอยได้เลย”

 

“ข้าขุดหลุมฝังตัวเองหรือเปล่ากับคำขอเช่นนั้น…” เธอพึมพัมด้วยเสียงสับสนหลังจากที่ซูหยางไปแล้ว

 

ในเวลานั้นผู้อาวุโสจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ต้อนรับไป่ลี่ฮัวและซูหยินเข้ามาในนิกาย

 

แต่ทว่าเมื่อทั้งสองสาวงามเริ่มเข้ามาในนิกายและเห็นหินวิญญาณที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งหนบนพื้นราวกับเป็นขยะ พวกเธอต่างก็พากันแตกตื่นมึนงง

 

“ก-เกิดบ้าอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ที่นี่กัน ทำไมจึงมีหินวิญญาณมากมายเช่นนี้บนพื้น พวกท่านถือโอกาสทำการบวงสรวงหรือทำอะไรกัน” ไป่ลี่ฮัวถามผู้อาวุโสนิกาย ซึ่งก็ได้ตอบด้วยรอยยิ้มแปลกพิกลบนใบหน้าเธอว่า “นี่เป็นความคิดของซูหยาง… เขาวางแผนที่จะสร้างค่ายกลให้กับนิกาย และนี่ก็คือการเตรียมการสำหรับเรื่องนั้น”

 

“ค่ายกลรึ นิกายหงส์สวรรค์ก็มีค่ายกลปกป้องสำนักอยู่เช่นกัน แต่พวกเรามิต้องทำอะไรเช่นนี้…” ไป่ลี่ฮัวกล่าว

 

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ผู้อาวุโสนิกายก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรและได้แต่เพียงส่ายหน้าของเธอ

 

เมื่อไป่ลี่ฮัวและซูหยินเข้าไปลึกภายในนิกายและเห็นหินวิญญาณมากกว่าเดิม ความตกใจของพวกเธอก็มากยิ่งขึ้น

 

“สวรรค์ หินวิญญาณมากมายเท่าไหร่กันที่พวกเขาต้องใช้จ่ายในการสร้างฉากยิ่งใหญ่เช่นนี้” ไป่ลี่ฮัวคิดสงสัยในใจ เธอยังคงไม่รู้ถึงจำนวนของหินวิญญาณที่ต้องใช้

 

ถึงแม้ว่าไป่ลี่ฮัวจะเป็นเจ้าสำนักนิกายระดับสูงชื่อดัง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะคันไม้คันมือหลังจากที่เห็นหินวิญญาณมากมายเช่นนี้กระจัดกระจายไปอย่างอิสระตรงหน้าเธอ ราวกับว่าพวกมันต่างพากันอ้อนวอนขอเธอให้เก็บมันขึ้นมา

 

เวลาหลังจากนั้น ซูหยางก็มาปรากฏตัวที่ตรงหน้าพวกเธอ

 

“พี่ชาย” ใบหน้าซูหยินพลันกระจ่างหลังจากที่เห็นเขา

 

เธอต้องการที่จะวิ่งไปที่ข้างกายและโอบกอดเขา แต่อนิจจา มีหินวิญญาณมากมายจนเกินไประหว่างทางเกินกว่าที่เธอจะวิ่งไปยังทิศทางใด

 

ดังนั้นเธอก็ได้แต่ค่อยๆตรงเข้าไปหาเขา

 

ครั้นเมื่อซูหยางอยู่ใกล้มือเอื้อมแล้ว ซูหยินก็โถมกายเข้าหาเขาเข้าไปกอดด้วยความเสน่หาทันที