“ข้าได้คาดหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจในวันนี้ แต่ข้ามิคาดคิดว่าจะได้รับความประหลาดใจถึงเพียงนี้ เจ้าทำได้เหนือกว่าเดิมจริงๆในคราวนี้ ซูหยาง” ไป่ลี่ฮัวกล่าวกับเขา สายตาของเธอยังคงอ้อยอิ่งอยู่กับหินวิญญาณที่อยู่เต็มพื้นที่
“เพียงแต่ว่าหินวิญาณกี่ก้อนกัน” เธอพลันถามเขาด้วยความอยากรู้
“สามร้อยล้านก้อน” เขาตอบอย่างเรียบเฉย
“อะไ—” ไป่ลี่ฮัวมองดูเขาด้วยดวงตาที่โตราวกับจานรองถ้วยชา
“จ-เจ้าต้องพูดเล่นแน่ใช่ไหม… สามร้อยล้านก้อนหินวิญญาณรึ เจ้าไปเอาหินวิญญาณมากมายมาจากไหนในโลกนี้กัน การแข่งขันระดับภูมิภาคให้เจ้าเพียงแค่สิบล้านก้อนหินวิญญาณ…”
“งานอดิเรกของข้า” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“…”
งานอดิเรกประเภทไหนกันที่เป็นไปได้ที่สามารถนำเอาหินวิญญาณนับร้อยล้านก้อนออกมางั้นรึ ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
“เจ้าสนใจรึ” ซูหยางสังเกตเห็นความอยากรู้ในดวงตาของเธอจึงถามขึ้น
“ม-ไม่เสียทีเดียว… ว่าไปแล้วมันฟังดูน่าสงสัยเป็นอย่างมาก” เธอรีบตอบ “ใครจะรู้ว่าข้าต้องทำอะไร บางทีนั่นอาจจะต้องยอมสังเวยร่างกายของตัวเอง”
“พี่ชาย ท่านมิควรจะยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่อันตราย…” ซูหยินก็แสดงความเป็นห่วงของเธอที่มีต่อเขาออกมาเช่นกัน
ซูหยางหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของพวกเธอ จึงกล่าวว่า “อย่ากังวล มันมิได้น่าสงสัยหรือมีอันตรายใด”
“ว่าแต่ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ข้าสงสัยว่าท่านเดินทางมาที่นี่เฉพาะเจาะจงเพียงเพื่อจะพบกับข้า”
“จริงแล้วคนที่ต้องการที่จะพบกับเจ้าก็คือซูหยิน และข้าเองก็แค่สนใจในความก้าวหน้าของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
ซูหยินพลันกล่าวขึ้น “พี่ชายที่รัก ท่านรู้ไหมว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”
“วันพรุ่งนี้รึ…” ซูหยางเลิกคิ้ว
เมื่อเขาเห็นความคาดหวังในดวงตาของซูหยิน เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้านึกดูก่อน… สุดท้ายเจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้วใช่ใหม”
“ใช่แล้ว ข้าจักบรรลุนิติภาวะในวันพรุ่งนี้ และข้าต้องการที่จะฉลองกับท่าน” เธอกล่าวด้วยสีหน้าสดใส
“เป็นวันเกิดของเจ้า แต่ข้าก็ยังมิได้เตรียมของขวัญอะไรเลย ดูเหมือนว่าข้าล้มเหลวในการเป็นพี่ชายเสียแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขออภัย
“อย่าพูดอะไรแบบนั้น พี่ชาย ท่านเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ใครๆก็ถามหา และข้าก็มิต้องการของขวัญใดๆสำหรับวันเกิดของข้า ในเมื่อการใช้เวลากับท่านนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”
ซูหยางเผยรอยยิ้มหวานอมขมกลืนหลังจากที่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเธอ
ตามความเป็นจริงพี่ชายที่ซูหยินรักจริงๆแล้วก็คือซูหยางจากก่อนหน้าที่เขาจะฟื้นคืนความทรงจำในฐานะของเซียน นับตั้งแต่เขาได้คืนความทรงจำมานอกจากการซื้อสมบัติให้เธอหนึ่งชิ้นที่เมืองหิมะโปรย เขาก็ไม่เคยที่จะได้ทำอะไรที่สามารถถือว่าเป็น “พี่ชาย” ได้อย่างแท้จริง
เขาสามารถที่จะเปิดเผยความจริงให้กับเธอ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะทำลายความรู้สึกจากการที่รู้ว่าพี่ชายที่เธอรักนั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วอีกต่อไป
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะกล่าวว่าเจ้ามิต้องการของขวัญ แต่ในเมื่อนี่เป็นวันเกิดของเจ้า และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าเรื่องหนึ่งนั้น ข้าควรจะให้อะไรแก่เจ้าสักอย่าง มีอะไรบ้างที่เจ้าต้องการเป็นพิเศษหรือไม่” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“ให้ข้าใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เธอกล่าวหลังจากนั้น
เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ากำลังจะสร้างค่ายกล พวกท่านต้องการที่จะดูการสร้างมันขึ้นมาหรือไม่ มันมิได้เป็นอะไรที่พวกท่านจักเห็นได้บ่อยนักอีกต่อไป”
“มันก็เป็นเพียงแค่ค่ายกลใช่ไหม แม้ว่าจริงแล้วพวกมันอาจจะมิได้เห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มิใช่ว่ามิมีนักสร้างค่ายกลคนอื่นเหลืออยู่นอกจากนี้…” ไป่ลี่ฮัวพูด
ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านจักเข้าใจครั้นเมื่อท่านได้เห็นมัน”
หลังจากนั้นซูหยางก็เรียกศิษย์ทุกคนมารวมตัวกันที่กลางนิกาย
ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว เขาก็กล่าวว่า “อันดับแรกข้าควรจะขอบคุณพวกเจ้าทั้งหมดสำหรับความพยายามในช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มิเช่นนั้นการตระเตรียมก็จะใช้เวลาไปมากกว่านี้ ตอนนี้ข้าจักให้พวกเจ้าได้เป็นพยานถึงผลของการลงแรงของพวกเจ้า”
จากนั้นเขาก็นำเอาม้วนคัมภีร์ที่มีลวดลายที่ซับซ้อนถึงที่สุดเขียนอยู่บนนั้นออกมาและวางพวกมันลงบนพื้น ตรงกึ่งกลางของทั้งสำนัก
หลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ตรงหน้าพวกมันในท่าขัดสมาธิดอกบัวและหลับตาลง
ความเงียบปกคลุมที่แห่งนั้น และผู้คนที่นั่นต่างก็พากันมองด้วยความคาดหวังอย่างสูง
สองสามนาทีให้หลัง รัศมีพลังอันมากมายมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากร่างของซูหยาง และม้วนคัมภีร์ทั้งสามเล่มต่างก็เปล่งประกายแสงสีทองตอบสนองกับรัศมีพลังนั้น
สองสามอึดใจถัดไปหลังจากนั้น ซูหยางก็ลืมตาขึ้น และเขาก็ตะโกนออกด้วยเสียงที่สะท้อนสะท้านไปทั่วทั้งนิกาย “ยอดค่ายกลกระบี่ทอง”
บูม
ม้วนคัมภีร์สีทองทั้งสามม้วนพลันพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนที่จะตกลงมายังนิกาย เกิดเป็นเสาสีทองขนาดมหึมาสามเสารายล้อมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาไว้
เหล่าศิษย์ต่างพากันมองด้วยความหวาดหวั่น ดวงตาและปากของเขาล้วนเปิดกว้าง
สองสามอึดใจให้หลัง ซูหยางก็ตบลงไปบนพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง จนทำให้ทั่วทั้งนิกายสั่นสะเทือนและหินวิญญาณที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งนิกายนั้นก็พากันกระดอนขึ้น
เมื่อหินวิญญาณกลับคืนสู่ผืนดิน พวกมันทั้งหมดต่างพากันเปล่งแสงสว่าง และปราณไร้ลักษณ์ทั้งหมดที่เก็บไว้ภายในหินวิญญาณสามร้อยล้านก้อนที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งนิกายนั้นก็พากันพุ่งเข้าสู่เสาสีทองทั้งสาม จนทำให้พวกมันยิ่งเปล่งแสงจ้ายิ่งกว่าเดิม
ครั้นเมื่อเสาสีทองทั้งสามเสร็จสิ้นการดูดซับปราณไร้ลักษณ์จากหินวิญญาณทั้งหมดแล้ว หินวิญญาณต่าก็พากันกลายเป็นฝุ่นก่อนที่จะถูกพัดไปด้วยกระแสลมรุนแรงที่ปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แวว
“ชิวเยว่ กระตุ้นค่ายกลชั้นเยี่ยม” ซูหยางพลันตะโกนขึ้น
ทันทีที่เสียงของซูหยางขาดหายไป พลังวิญญาณอันมหาศาลอีกสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในนิกาย
“พลังวิญญาณนี้มาจากไหนกัน” ผู้คนที่นั่นต่างพากันมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างลึกล้ำหลังจากที่รับรู้ถึงพลังวิญญาณที่กดดันของชิวเยว่ เมื่อมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนกับอะไรเลยที่พวกเขาได้รับรู้มาก่อน
ในเวลานั้นเสาแสงสีทองทั้งสามต่างก็มีปฏิกิริยากับพลังวิญญาณของชิวเยว่ด้วยการระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กๆนับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละชิ้นมีความยาวประมาณสามสิบนิ้วและกว้างสามนิ้ว และถ้าหากมองดูอย่างใกล้ชิด ชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนมีหน้าตาเป็นรูปกระบี่
ครั้นเมื่อเสาแสงสีทองทั้งสามหายไปแล้ว กระบี่สีทองนับหมื่นแสนที่ล่องล่อยอยู่บนท้องฟ้าก็เริ่มเคลื่อนไหว
สองสามนาทีให้หลัง กระบี่สีทองก็รายล้อมทั่วทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในลักษณะที่เหมือนกับเป็นกำแพงโล่สีทองขนาดยักษ์ที่ปกป้องทุกตารางนิ้วของนิกาย
ครั้นเมื่อค่ายกลชั้นเยี่ยมสำเร็จลงแล้ว กระบี่สีทองในท้องฟ้าก็พลันเปลี่ยนสภาพเป็นมองไม่เห็นราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ภาพมายา