กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 951
เยี่ยจิ่งหานหลับตาลงและไม่สนใจนางอีก
กู้ชูหน่วนเห็นว่าหมดสนุก จึงได้ยกขากางเกงและสอดมือเข้าไปแตะที่หัวเข่าของเขา
เยี่ยจิ่งหานตกตะลึงจนดีดขึ้นมาทันที “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
“เหตุใดต้องตกใจเช่นนั้น ข้าก็แค่ตรวจดูบาดแผลที่ขาของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“……”
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานบูดบึ้งและโกรธมาก
ผู้หญิงที่ไร้ยางอายคนนี้ มีเรื่องอะไรบ้างที่นางทำไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่านางต้องการทำอะไร
เมื่อเห็นว่าขาของตัวเองถูกนางลูบคลำไปมาโดยไม่พูดอะไร จึงทำให้เยี่ยจิ่งหานรู้สึกโมโหขึ้นมา
“เอามือสกปรกของเจ้าออกไป”
“รังเกียจที่มือของข้าสกปรกอย่างนั้นหรือ หากเจ้าคิดอยากจะยืนให้ได้อีกครั้ง ก้ยังจำเป็นต้องพึ่งมือสกปรกของข้า จะอายอะไรกัน”
กู้ชูหน่วนอ้าปากของเขาและยัดยาเข้าไปหนึ่งเม็ดจนเกือบทำให้เยี่ยจิ่งหานสำลัก
แววตาที่เปล่งรัศมีอาฆาตจับจ้องไปที่กู้ชูหน่วน เมื่อมองออกไปก็สามารถมองเห็นแผ่นอกที่เต้นแรงและเห็นได้ชัดว่าโมโหอย่างมาก
“ฟื้นตัวได้ไม่เลว น่าเสียดายที่ถูกโซ่เหล็กมัดไว้ ไม่เช่นนั้นก็สามารถขยับไปมาได้ ไหนลองลุกขึ้นเดินสิ”
แววตาของเยี่ยจิ่งหานเปล่งประกาย “เจ้าหมายความว่า ขาของข้าสามารถเดินได้แล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่รับปาก แต่หากต้องการยืนขึ้น จำเป็นต้องหมั่นออกกำลังกายเคลื่อนไหวไปมา ตอนนี้เจ้า……” กู้ชูหน่วนมองไปยังสองขาสองแขนที่ถูกมัดไว้และไม่พูดอะไร
“มีพลุไฟวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ นำมันออกไปจุด”
“อันนี้หรือ?”
“ใช่”
“เจ้าคิดจะขอกำลังเสริม? ไม่สิ หากเจ้าต้องการกำลังเสริมก็คงทำไปนานแล้ว พลุไฟเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องแอบซ่อนไว้ เจ้าไม่มีทางวางไว้บนโต๊ะ เสี่ยวเย่เย่ เจ้ามีข้อตกลงหรือความลับอะไรกับจักรพรรดินีอย่างนั้นหรือ”
“บอกให้เจ้าทำก็ทำเถอะ จะมัวพูดมากอะไร”
“เจ้าเป็นอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าต้องเชื่อฟังในสิ่งที่เจ้าพูด? ข้าได้ประโยชน์อะไรอย่างนั้นหรือ?”
“……”
“เจ้าสัญญากับข้าแล้วว่าเจ้าจะช่วยทำให้วรยุทธ์ของข้าเพิ่มไปถึงระดับห้า”
“เจ้าไม่กลัวตายเลยหรือ”
“ไม่กลัว เช่นนั้นเรามาเริ่มกันตอนนี้เลยเถอะ”
“……”
เยี่ยจิ่งหานหลับตาลงและยังคงหายใจแรงด้วยความโกรธ และเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะพูดอะไร “หากเจ้าไม่จุด เช่นนั้นจะต้องมีคนแย่งจุดอย่างแน่นอน”
“จุดพลุไฟเป็นแค่เรื่องเล็ก แต่ขาที่พิการของเจ้ายังจำเป็นต้องใช้ตัวยาของข้า เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่”
“หากอาหน่วนของข้าตื่นขึ้นมา นางจะต้องรักษาขาของข้าให้หายดีอย่างแน่นอน”
“เกรงว่าขาของเจ้าจะไม่หายดี และอาหน่วนของเจ้าจะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อีก”
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าคิดเช่นนั้นก็ตามใจ”
“ข้ารู้เบาะแสของเซี่ยวอวี่เซวียน”
แค่คำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำกลับทำให้รอยยิ้มของกู้ชูหน่วนหยุดนิ่งลง
“เขาอยู่ที่ใด?”
“นำพลุไฟไปจุดก่อน”
“ปัง……”
กู้ชูหน่วนหยิบพลุไฟขึ้นมาและนำไปจุดที่นอกหน้าต่าง สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ บนท้องฟ้ากลับไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติขึ้นหลังจากที่จุดพลุเสร็จ
นางนึกว่าทำไม่สำเร็จจึงลองอยู่อีกหลายครั้ง ทว่ากลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“พอได้แล้ว พลุไฟได้ถูกปล่อยออกไปแล้ว”
“ดูไปแล้ว พลุไฟนี้ไม่ได้เป็นข้อตกลงระหว่างเจ้ากับจักรพรรดินี แต่จักรพรรดินีกลับคาดหวังว่าเจ้าจะจุดออกไปใช่หรือไม่? ช่างเถอะ ข้าก็ไม่อยากจะสนใจเรื่องไร้สาระของเจ้านักหรอก เซี่ยวอวี่เซวียนอยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ?”
“วังหลวง ถูกจักรพรรดินีกักขังเอาไว้อย่างลับๆ จากความโหดเหี้ยมของจักรพรรดินีแล้วนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไร เขาจะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
กู้ชูหน่วนครุ่นคิดในคำบอกเล่าของเยี่ยจิ่งหาน
เขาถูกขังไว้ที่นี่ เช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงทราบเรื่องนี้ได้?
ทว่าเยี่ยจิ่งหานก็ไม่มีความจำเป็นอะไรในการจะโกหกนาง
หากนางตายไปก็จะส่งร้ายต่อเยี่ยจิ่งหานเท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
“รู้หรือไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของวังหลวง?”
“ตอนนี้ไม่อาจรู้ได้”
กู้ชูหน่วนใช้เวลาตลอดทั้งคืนเพื่อคิดหาวิธีจัดการกับจักรพรรดินี หรือเพื่อให้จักรพรรดินียกเลิกงานแต่งงานลง
นางเรียกเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และเจ้าเสือน้อยเข้ามา และสั่งให้บรรดาสัตว์ร้ายพากันค้นหาเบาะแสของเซี่ยวอวี่เซวียนในวังหลวง
เวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ไม่สามารถค้นหาเบาะแสของเซี่ยวอวี่เซวียนได้เลยสักนิด
เมื่อนึกถึงสภาพการตายของหลินซือหย่วน กู้ชูหน่วนก็เริ่มวิตกกังวลว่าเซี่ยวอวี่เซวียนจะถูกดูดพลังและวรยุทธ์ไปหมดทั้งตัว และสุดท้ายจะหลงเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น
ไม่ แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่สมประกอบ
เมื่อหันกลับมาและมองออกไป กลับเห็นเยี่ยจิ่งหานหลับตาด้วยจังหวะการหายใจที่มั่นคง ราวกับได้นอนหลับไปแล้ว
ทว่ารอบๆ ตัวเขากลับมีพลังงานเคลื่อนไหวไปมารอบๆ ผู้ที่มีวรยุทธ์ต่างรู้ดีว่า สองมือและสองขาของเขากำลังกระตุ้นกำลังภายใน
แสงพระอาทิตย์ในเช้าวันรุ่งขึ้นได้ส่องประกายเจิดจ้า
กู้ชูหน่วนลุกขึ้นด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย และเตรียมจะจัดยาให้กับเยี่ยจิ่งหาน เพื่อช่วยให้เขาฟื้นคืนพละกำลัง
ยังไม่ทันที่จะผลักประตูออกไปก็ได้ยินเสียงบรรดาคนใช้ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่าง
“รู้แล้วใช่หรือไม่? เมื่อคืนฝ่าบาทได้เสวยสุขกับบรรดาชายหนุ่มรูปหล่อกว่าหนึ่งร้อยคนเชียว”
“หนึ่งร้อยกว่าคน? ฝ่าบาทช่างมีพละกำลังมากเหลือเกิน ชายหนุ่มรูปงามเหล่านั้นคงได้เพลิดเพลินกันทุกคนเลยล่ะสิ”
“ก็คงเป็นเช่นนั้น มีเสียงกรีดร้องดังทั้งคืน แถมยังดังออกไปไกลมากนักเชียว ช่างน่าสงสารชายหนุ่มรูปงามเหล่านั้นเหลือเกิน ได้ยินมาว่าหนึ่งร้อยกว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นในดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง มีทั้งชายชนชั้นสูงจากสำนักต่างๆ ลูกศิษย์ชื่อดังจากตระกูลสูงส่ง รวมไปถึง……รวมไปถึงราชวงศ์ ชายหนุ่มอายุน้อยที่มีวรยุทธ์เก่งกล้าของดินแดนวิญญาณเยือกแข็งล้วนต่างก็หายสาบสูญไป”
“มีคนในราชวงศ์ด้วยหรือ? เช่นนั้นก็แสดงว่าฝ่าบาท……”
“ก็ใช่น่ะสิ บรรดาเสด็จอาได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกันหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่าบาทจะฆ่าเสด็จอาทิ้งเลยหรือไม่”
“คงไม่เป็นเช่นนั้นกระมัง เสด็จอาเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และถือเป็นผู้มีเกียรติอย่างมากในดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง ฝ่าบาทจะฆ่าเขาทิ้งได้อย่างไร”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อไม่กี่วันมานี้ฝ่าบาทก็ฆ่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปหลายคนเลยไม่ใช่หรือ? แม้แต่มหาราชาจารย์ก็ถูกบังคับให้ออกจากราชการ พูดถึงมหาราชาจารย์แล้ว เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าตอนที่มหาราชาจารย์อยู่ที่บ้านเกิด เขาได้ถูกคนบาดคอ”
“อะไรนะ……มหาราชาจารย์เป็นถึงผู้อาวุโสมากว่าสี่ราชวงศ์ ใครกันเหตุใดถึงกล้าลอบทำร้ายมหาราชาจารย์ได้เช่นนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะทำการลงโทษฆ่าเก้าชั่วโคตรอย่างนั้นหรือ?”
“ชู่ว เบาๆ หน่อย หากคนอื่นได้ยินที่เราสองคนแอบวิพากษ์วิจารย์เรื่องนี้เข้า เกรงว่าเราสองคนต้องถูกตัดศีรษะอย่างแน่นอน”
“ขอโทษด้วย ข้าตกใจมากเกินไปหน่อย มหาราชาจารย์เป็นคนดีเช่นนั้น ใครกันช่างโหดร้ายฆ่าเขาได้ลงคอ กระทำเช่นนี้มีโทษถึงประหารศีรษะเก้าชั่วโคตรเชียวนะ”
องครักษ์มองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครจึงได้กล่าวกระซิบ “ได้ยินมาว่า คนที่ฆ่ามหาราชาจารย์ก็คือฝ่าบาทนั่นเอง”
“อ๋า……”
“ชู่ว เจ้าดูเจ้าสิ พอแล้ว ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว จะได้ไม่ถูกตัดหัวเสียบประจาน”
“อย่าสิๆ ข้าระวังให้มากกว่านี้ก็ได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีคน เจ้าเล่าให้ข้าฟังอีกสิ มหาราชาจารย์เป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของฝ่าบาท และมหาราชาจารย์ก็สั่งสอนฝ่าบาทมาตั้งแต่เด็ก การที่ฝ่าบาทได้ขึ้นครองตำแหน่งจักรพรรดินีก็ถือเป็นพระคุณของมหาราชาจารย์ทั้งสิ้น ใครๆ ก็รู้ว่าฝ่าบาทให้ความเคารพต่อมหาราชาจารย์มากที่สุด ฝ่าบาทจะฆ่ามหาราชาจารย์ได้อย่างไรกัน?”
“เมื่อก่อนฝ่าบาทก็เคารพต่อมหาราชาจารย์ แต่หลายปีมานี้นิสัยของฝ่าบาทได้เปลี่ยนไป และก็มีปัญหากับมหาราชาจารย์มาตั้งนานแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไม่มีหลักฐานว่าฝ่าบาทได้ส่งคนไปฆ่าเขานี่นา”
“เจ้าไม่รู้อะไร ก่อนที่มหาราชาจารย์จะกลับบ้านเกิดไปได้เขียนจดหมายลับฉบับหนึ่งให้กับเสด็จอา ใจความว่าหากเขาถูกลอบทำร้ายระหว่างทาง เช่นนั้นแล้วคนร้ายก็คือฝ่าบาท เพราะมหาราชาจารย์ต้องการให้เสด็จอาเฝ้าระวังฝ่าบาทเอาไว้”
“เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวมากมายเช่นนี้ เจ้าไม่ได้แต่งเรื่องไร้สาระใช่หรือไม่”
“เรื่องใหญ่ออกเช่นนี้ ข้าจะกล้าพูดพล่อยๆ ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพี่สาวของข้าเป็นคนใช้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง”
“อ้อ……ใช่ ข้าลืมไปสนิทเลย เช่นนั้นวันนี้ท่านอ๋องเสด็จมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถามไถ่ ฝ่าบาทคงไม่ทำร้ายเขาไปด้วยอีกคนหรอกหรือ”