กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 952

“เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้ารู้เพียงว่าใต้เท้าไป่หนิงได้หายตัวไปอย่างลึกลับ เกรงว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับฝ่าบาทอย่างแน่นอน”

“เป็นไปไม่ได้ ใต้เท้าไป่หนิงเป็นคนที่ฝ่าบาทเชื่อใจมากที่สุด ฝ่าบาทไม่มีทางฆ่าใต้เท้าไป่หนิงเด็ดขาด”

“ฮึฮึ ใครจะไปรู้ หากฝ่าบาทให้ความสำคัญกับใต้เท้าไป่หนิงมากเช่นนั้นจริง เหตุใดตอนนี้ถึงยังไม่ออกราชโองการรับสั่งให้ออกไปค้นหาความจริงเรื่องที่ใต้เท้าไป่หนิงหายตัวไปล่ะ”

“อีกไม่กี่วันก็เป็นงานอภิเษกสมรสของฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรมานพระสวามีและคุณชายที่อยู่ในหอดาบดั่งเช่นชายหนุ่มรูปงามเหล่านั้นหรือไม่ก็ไม่รู้”

“เรื่องที่เราสองคนวิพากษ์วิจารณ์กันวันนี้ก็มากพอแล้ว อย่าได้พูดต่อไปอีกเลย หากถูกคนอื่นได้ยินเข้า เดี๋ยวจะถูกลงโทษประหารเก้าชั่วโคตรเอาเสีย”

“ใช่ๆ เจ้าพูดถูก”

กู้ชูหน่วนได้ยินสิ่งที่พวกเขาทั้งสองพูดทั้งหมด

นางเอนกลับไปนั่งข้างเยี่ยจิ่งหานและเอามือเท้าคางก่อนจะถามออกไป “เจ้าคิดว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจักรพรรดินีคนนี้จะเป็นตัวจริง”

“การจะปลอมตัวเป็นผู้นำของรัฐๆ หนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ”

“หากอีกฝ่ายเป็นผู้มีทักษะขั้นสูงในการปลอมตัว หรือเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์ขั้นสูงล่ะ?”

เยี่ยจิ่งหานนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สงสัยฝ่าบาทในตอนนี้ว่าเป็นคนเดิมหรือไม่

ไม่เช่นนั้นแล้วเหตุใดนิสัยถึงได้เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้?

ทว่าหากนางเป็นฝ่าบาทตัวปลอม เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทตัวจริงอยู่ที่ใดกัน?

และเหตุใดเวลาผ่านไปนานเช่นนี้แล้วกลับไม่มีใครสงสัยนางเลย?

หากนางเป็นฝ่าบาทตัวจริง เหตุใดนางถึงฆ่ามหาราชาจารย์ของตัวเองได้ลง?

บริเวณโดยรอบของหอดาบเต็มไปด้วยยอดฝีมือนับไม่ถ้วน แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ไม่มีทางบินเข้ามาได้

ทว่าสองคนนี้กลับกล้ามายืนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าจะพูดว่าพวกเขาช่างโง่เขลาเหลือเกิน หรือว่าจะพวกเขาจะถูกใครสั่งให้มายืนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ตรงนี้

ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด หลังจากที่องครักษ์ทั้งสองคนถูกสับเปลี่ยนไป พวกเขาก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย คาดว่าพวกเขาคงจะได้รับอันตรายอย่างแน่นอน

“หากคิดอยากให้จักรพรรดินียกเลิกการแต่งงานคงเป็นไปได้ยาก ข้าว่าทำเช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าก็ทำเป็นแต่งงานกับนางไปตามแผน เพื่อจะได้ตรวจสอบเบื้องหลังที่แท้จริงของนาง”

“นางเป็นจักรพรรดินีตัวจริงหรือตัวปลอมแล้วเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?”

“เกี่ยวสิ นางอยากแต่งงานกับเหวินเส่าอี๋ไม่ใช่หรือ? เจ้าต้องการกำจัดเหวินเส่าอี๋ไม่ใช่หรือ? นี่ถือเป็นโอกาสที่ดี เหวินเส่าอี๋มีกองกำลังจำนวนมากในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้ เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้ช่วยจักรพรรดินีกำจัดกองกำลังของเขา จากนั้นจึงค่อยจัดการเขาในภายหลัง”

เยี่ยจิ่งหานไม่คิดเช่นนั้น ดูออกว่าแผนการนี้ไม่เป็นที่ดึงดูดใจของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

กู้ชูหน่วนกลอกตาไปมา

นางขยับเข้าหาเยี่ยจิ่งหานและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ มีความเป็นไปได้ว่าดวงวิญญาณดวงหนึ่งของภรรยาเจ้าอาจจะอยู่ในมือของเหวินเส่าอี๋”

แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเช่นนี้เข้า แววตาของเยี่ยจิ่งหานก็เปล่งประกายแวววาวขึ้นมา

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

“เหวินเส่าอี๋เคยลักพาตัวข้าไปครั้งหนึ่ง ข้ามีความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่ามีดวงวิญญาณดวงหนึ่งอยู่ใกล้ๆ แต่พลังของดวงวิญญาณดวงนั้นอ่อนแอเกินไป ข้าไม่แน่ใจว่าใช่อาหน่วนของเจ้าหรือไม่”

“พลังของดวงวิญญาณอ่อนแอเกินไป?”

“ใช่”

เยี่ยจิ่งหานครุ่นคิดในคำพูดของกู้ชูหน่วนอย่างตั้งใจ

เขาไม่รู้ว่าที่นางพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก

ทว่าเหวินเส่าอี๋โกรธแค้นที่อาหน่วนกำจัดทำลายเผ่าเพลิงฟ้า เขาออกตามหาดวงวิญญาณของอาหน่วนมาโดยตลอด และต้องการให้อาหน่วนฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อจะได้ลงมือฆ่านางด้วยตัวเองอีกครั้ง

จากอำนาจและความสามารถของเหวินเส่าอี๋ในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งนี้แล้ว การที่เหวินเส่าอี๋จะหาดวงวิญญาณของอาหน่วนเจอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

การที่ดวงวิญญาณของอาหน่วนตกไปอยู่ในมือของเหวินเส่าอี๋นั้นจะต้องไม่ส่งผลดีอะไรอย่างแน่นอน

ถูกเขาทำให้พลังอ่อนแอลงหรืออาจจะนำไปวางไว้ในตำแหน่งที่ไกลออกไป เพื่อจะได้ยากต่อการรับรู้

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”

“เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า อย่างไรเสียข้าก็ไม่แน่ใจว่าดวงวิญญาณดวงนั้นเป็นดวงวิญญาณของอาหน่วนหรือไม่ เพราะดวงวิญญาณนั้นมีพลังที่อ่อนแออย่างมาก”

“ข้าคิดว่าหากไม่รีบตามหาดวงวิญญาณดวงนั้นกลับคืนมา เกรงว่าดวงวิญญาณดวงนั้นคงต้องดับสลายและสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน”

“เหวินเส่าอี๋ไม่มีทางปล่อยให้ดวงวิญญาณดวงนั้นต้องดับสลายไปเช่นนั้นอย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดออกไป อย่างไรเสียนั่นก็เป็นอาหน่วนของเจ้า ไม่ใช่อาหน่วนของข้า”

เยี่ยจิ่งหานไม่อยากเชื่อคำพูดของนาง

เพราะอย่างไรเสียผู้หญิงคนนี้ก็มักพูดแต่เรื่องโกหก ใครจะไปรู้ว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริง เรื่องไหนคือเรื่องโกหก

ทว่าเมื่อเกี่ยวข้องกับอาหน่วน เขาจึงจำเป็นต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

หากเป็นเรื่องจริงล่ะ?

“เจ้าต้องการหาขวานผานกู่มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? ขวานผานกู่ด้ามนั้นตกอยู่ในมือในเหวินเส่าอี๋ไปแล้ว”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรนะ?”

“ข้าได้ยินเสี่ยวหูเตี๋ยกล่าวว่า เขาต้องการใช้ขวานผานกู่ในการเปิดช่องว่างมิติเวลาอะไรบางอย่าง และตอนนี้ก็หาช่องว่างมิติเวลาที่มีรอยแยกเจอแล้ว และมีวิธีกลับไปยังดินแดนเยี่ยอวี่ได้แล้ว แต่ว่ายังรวบรวมดวงวิญญาณอาหน่วนของเจ้าไม่ครบ ดังนั้นเขาจึงยังไม่กลับไปเสียที”

เดิมทีเยี่ยจิ่งหานยังคงลังเลถึงสิ่งที่กู้ชูหน่วนพูดมาว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก และตอนนี้คำพูดเมื่อสักครู่ของนางทำให้เยี่ยจิ่งหานไม่มีทางเชื่อนางอย่างเด็ดขาด

“หากช่องว่างมิติเวลาสามารถแยกออกจากกันได้จริง เหวินเส่าอี๋ก็คงกลับไปแก้แค้นนานแล้ว”

“เจ้าไม่รู้อะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเหวินเส่าอี๋ถึงต้องการแต่งงานกับจักรพรรดินี? เพราะการกลับไปดินแดนเยี่ยอวี่ด้วยรอยแยกของช่องว่างมิติเวลาจำเป็นต้องใช้สิ่งของอย่างหนึ่งในมือของจักรพรรดินี ฉะนั้นแล้ว……จากตำแหน่งและฐานะของเหวินเส่าอี๋แล้ว หากเขาไม่ต้องการแต่งงาน ใครจะบีบบังคับเขาได้”

“อ้อ……ต้องการอะไรจากในมือของจักรพรรดินี?”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร หากข้ารู้ไปหมดทุกเรื่อง ข้าคงกลายเป็นผู้รอบรู้ในปฐพีไปแล้ว”

ผู้รอบรู้ในปฐพีคือใคร

กู้ชูหน่วนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

ผู้รอบรู้คือใคร?

นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นใคร นางก็แค่พูดออกไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง

“ตามใจเจ้าเถอะ เจ้าจะยอมทำตามแผนเพื่อเปิดโปงความลับเบื้องหลังของจักรพรรดินี หรือควบคุมจักรพรรดินี ไม่แน่เจ้าอาจจะหาหนึ่งในดวงวิญญาณของอาหน่วนเจอก็ได้ และไม่แน่ก็อาจจะหาวิธีจัดการกับรอยแยกของช่องว่างมิติเวลาก็ได้”

กู้ชูหน่วนพูดออกมาล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น

ทว่านางคงคาดไม่ถึงว่าเรื่องเหลวไหลของนางกลับเป็นเรื่องจริงไปได้

เยี่ยจิ่งหานมองไปยังใบหน้าที่ดูจริงจังของกู้ชูหน่วน และหัวใจของเขาราวกับภูเขาที่แตกหักลงสู่มหาสมุทร

แม้ว่าจะเป็นเพียงแผนการ ทว่าเขาก็ไม่อยากแต่งงานกับจักรพรรดินีเลย

ทว่าเมื่ออยู่ในหอดาบมาเป็นเวลานานเช่นนี้ เขาเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าจักรพรรดินีผู้นี้ไม่ธรรมดา

“ครั้งนี้ข้าจะเชื่อเจ้า”

“ทำถูกแล้ว ต่อให้ข้าทำร้ายคนอื่น ข้าก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้าหรอก”

เยี่ยจิ่งหานกลอกตาขาวใส่นาง “ขาของข้าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะกลับมาเดินได้”

“เจ้านอนอยู่บนเตียงตลอด แถมยังไม่ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย จะหายเร็วได้อย่างไร”

“ประเดี๋ยวจะมีคนเข้ามาปลดโซ่เหล็กออก”

เยี่ยจิ่งหานเพิ่งจะพูดจบ ทันใดนั้นขันทีก็เดินเข้ามาและปลดโซ่เหล็กพันปีออกจากร่างกายของเขาอย่างนอบน้อม

เมื่อมองไปยังเหล่าขันทีที่เดินนำโซ่เหล็กเดินกลับออกไป และเมื่อประตูถูกปิดลงอีกครั้ง กู้ชูหน่วนจึงได้ลูบคางไปมา “ดูไปแล้วเจ้าก็เหลือทางหนีทีไล่ไม่น้อยเลยทีเดียว”

อยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานเกินไปทำให้ขาและแขนของเยี่ยจิ่งหานชาไปหมด เมื่อขยับเพียงนิดเดียว เสมือนราวกับมีมดนับหมื่นนับแสนกำลังกัด ชาจนเขาไม่สามารถขยับได้เลย

เมื่อเห็นกู้ชูหน่วนกำลังหัวเราะขบขันเขา เยี่ยจิ่งหานจึงได้อดทนกับอาการชาและฝืนพยุงร่างกายเพื่อลุกขึ้นนั่ง แม้เพียงการเคลื่อนไหวอันน้อยนิด แต่กลับทำให้เขาใช้แรงทั้งหมดที่มี

“ปากแข็ง ขยับไม่ได้ก็ไม่ต้องขยับ”

“ใครบอกว่าข้าขยับไม่ได้”

ด้วยสายตาดูถูกของนางทำให้เขารู้สึกโกรธ เยี่ยจิ่งหานจึงฝืนพยุงร่างกายของตัวเองเพื่อจะลุกขึ้นยืน

“ควับ……”

หากไม่ใช่เพราะเขามือไวและคว้าโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ได้ทัน เกรงว่าเขาคงจะล้มลงที่เตียงไปแล้ว

“รีบร้อนไม่ได้ แม้ว่าเจ้าอยากจะหายเร็วเป็นปกติมากเพียงใดก็จำเป็นต้องใช้เวลา จะรีบไปเพื่ออะไร”

“เจ้าก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเพิ่มระดับวรยุทธ์ไปถึงระดับขั้นกลาง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรีบไปเพื่ออะไร”

“แค้นของตระกูลมู่จำเป็นต้องเป็นข้าในการแก้แค้น เซี่ยวอวี่เซวียนก็ต้องการให้ข้าไปช่วย”

“เจ้า……ชอบเซี่ยวอวี่เซวียนจริงๆ หรือ?”

เยี่ยจิ่งหานถามไปอย่างลองใจ และไม่รู้ว่าเพราะอะไรในใจของเขากลับคาดหวังว่านางจะตอบปฏิเสธ

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า นอนลงไปที่เตียงแล้วค่อยๆ ฝึกยกขาขึ้นช้าๆ ”