กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 953
เมื่อเสด็จอาเสด็จมาเข้าเฝ้าจักรพรรดินี ทุกคนต่างไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน รู้เพียงแค่ข้างในมีเสียงทะเลาะวิวาทที่ดังออกมาถึงข้างนอก ราวกับการพูดคุยเป็นไปอย่างไม่น่าพึงพอใจนัก
จากนั้นไม่นานก็มีคนกล่าวโทษเสด็จอา โดยกล่าวว่าเสด็จอาสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูภายนอก ขายชาติบ้านเมืองเพื่อเกียรติและอำนาจของตัวเอง และถึงขั้นพยายามจะแย่งชิงบัลลังก์โดยมีหลักฐานครบถ้วน
จักรพรรดินีออกราชโองการให้ทำการรื้อค้นและทำลายจวน เสด็จอารู้เรื่องก่อนจึงพาคนในจวนอพยพหนีออกไป
ระหว่างการติดตามไล่ล่านั้น ลูกน้องคนสนิทของเสด็จอาได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดกับกองกำลังรักษาพระองค์ จนทำให้คนของจวนท่านอ๋องพากันล้มตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
จากนั้นเสด็จอาก็ได้ทิ้งคนในครอบครัวและหลบหนีไปเพียงลำพัง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเบาะแสอะไร
ไม่นานเรื่องนี้ก็ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งอาณาจักรรัฐปิง
มีคนจำนวนมากต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เสด็จอา ไม่คิดเลยว่าเขาที่ดูเป็นคนดีเช่นนั้นจะคิดทรยศต่อรัฐและเห็นประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่และพยายามแย่งชิงราชบัลลังก์
คนในราชสำนักจำนวนมากเชื่อว่าเสด็จอาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน และพยายามพูดแก้ต่างแทนเสด็จอา ทำให้จักรพรรดินีกริ้วจัดและได้ประหารชีวิตขุนนางไปจำนวนมาก จนถึงขั้นรื้อค้นและบุกยึดบ้านของพวกเขา จากนั้นทำการประหารคนในเรือนทั้งหมด
ทำให้ทุกคนในราชสำนักต่างพากันหวาดกลัว แม้รู้ว่าเสด็จอาอาจจะถูกใส่ร้าย ทว่าก็ไม่กล้าอธิบายแก้ต่างแทนเขาอีก และรู้สึกหมดหวังต่อจักรพรรดินีโดยสิ้นเชิง
กู้ชูหน่วนกลับไม่เชื่อเลยสักนิด
หากอยากลงโทษหรือเล่นงานใคร ย่อมมีเหตุผลหรือหาข้ออ้างได้เสมอ
เพียงแค่ใช้สมองคิดสักนิดก็รู้ได้ว่าเสด็จอาถูกจักรพรรดินีทำร้าย
บริเวณโดยรอบของหอดาบเต็มไปด้วยยอดฝีมือนับไม่ถ้วน และมีคนอีกจำนวนมากที่แอบจับตามองนางอยู่ลับๆ
กู้ชูหน่วนใช้พลังงานอย่างมาก สุดท้ายก็หลุดพ้นมาจากผู้ที่แอบจับตามองนางเอาไว้ได้
นางใช้การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของวิชาตัวเบา รวมไปถึงความคุ้นเคยในสถานที่ เพื่อคิดอยากเข้าไปสำรวจห้องตำราหลวง
ทั้งวังแห่งนี้ มีเพียงห้องตำราหลวงเท่านั้นที่เข้าไปได้ยากที่สุด
แม้แต่บรรดาสัตว์ร้ายของนางก็ยากที่จะเข้าไปได้
องครักษ์ที่นี่คุ้มกันแน่นหนาอย่างมาก แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ไม่อาจบินเข้าไปได้
ความฝักใฝ่ในกามของจักรพรรดินีนั้น โดยปกติหากไม่มีอะไรกับคนนี้ ก็จะมีอะไรกับคนนั้น
และที่น่าแปลกก็คือ หลังจากที่มีอะไรกันแล้ว สถานที่แรกที่พระนางจะไปทุกครั้งก็คือห้องตำราหลวง หากจะบอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรผิดปกติ นางไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
เมื่อสังเกตมองไปรอบๆ มีองครักษ์ยืนประจำการอยู่หนึ่งคนทุกห้าก้าว และทุกสิบก้าวจะมีจุดตรวจตระเวน อีกทั้งยังมียอดฝีมือจำนวนมากทั้งที่ปรากฏให้เห็นและที่แอบซุ่มประจำการอยู่
ไม่ว่านางจะใช้วิธีการใดก็ไม่สามารถเข้าไปยังห้องตำราหลวงได้เลย
กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นว่ามีองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลาดตระเวนเข้ามา ทำให้กู้ชูหน่วนผลักประตูห้องๆ หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากห้องตำราหลวงโดยปริยาย
ภายในห้องมืดมาก กู้ชูหน่วนไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่นาน เพียงรอให้องครักษ์เดินลาดตระเวนเสร็จก็จะออกไปจากที่นี่
เมื่อแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา กลับทำให้มีแสงหักเหไปที่ภาพๆ หนึ่งบนผนัง
ขาของกู้ชูหน่วนที่กำลังเตรียมเดินออกไปก็ได้หยุดชะงักลง และมองตรงไปยังม้วนภาพวาดนั้น
บนม้วนกระดาษภาพวาดนั้นเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังกินขนมเปี๊ยะดอกไม้
มือข้างหนึ่งของหญิงสาวผู้นั้นกำลังถือขนมเปี๊ยะดอกไม้ และมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังแจกันที่อยู่ทางขวามือ
และสิ่งที่ทำให้กู้ชูหน่วนหยุดชะงักลงก็คือขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่อยู่ในมือของนาง
ขนมเปี๊ยะดอกไม้นั้นเหมือนกับขนมเปี๊ยะดอกไม้ที่อยู่ในวงแหวนอวกาศอย่างมาก
เดิมทีเป็นแค่เพียงม้วนภาพวาดภาพหนึ่งที่ไม่มีอะไร เพียงแต่นางกลับรู้สึกว่าแววตาของผู้หญิงที่อยู่ในภาพวาดนี้มีบางอย่างผิดแปลกไป
นางค่อยๆ หันตามไปทางที่นิ้วมือของหญิงสาวคนนี้ชี้ไปที่แจกัน
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น
นางหันเช่นนั้นอยู่ครั้ง ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
กู้ชูหน่วนหัวเราะออกมา “ข้ากำลังคิดอะไรของข้านะ ก็แค่เพียงภาพวาดหญิงงามคนหนึ่งก็เท่านั้น”
นางชี้นิ้วชี้ของไปยังแจกันโดยบังเอิญ และหลังจากที่แจกันหมุนอยู่หลายครั้ง มันก็ส่งเสียงก้องกังวานขึ้น
จากนั้น……
ประตูลับบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง
แววตาของกู้ชูหน่วนเปล่งประกายแวววาว “เช่นนี้ก็ได้หรือ?”
มองไปแล้วแจกันนั้นดูสะอาดสะอ้านอย่างมาก ทว่าบริเวณก้นรองกลับเต็มไปด้วยฝุ่นที่ไม่รู้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดมานานมากเพียงใด และไม่รู้ว่าจักรพรรดินีรู้หรือไม่ว่าขวดแจกันนี้มีความลับอื่นที่ซ่อนอยู่
กู้ชูหน่วนเดินเข้าไปในประตูลับนั้นอย่างไม่ลังเลใจ จากนั้นหันไปทำการปิดประตูลง
ภายในมืดสนิท นางได้จุดฟืนขึ้น ทำให้ค้นพบว่ายังมีทางเดินที่ลึกเข้าไปข้างใน
หลังจากที่เดินไปตามเส้นทางเดินอยู่เป็นเวลา กู้ชูหน่วนค้นพบว่าข้างหน้าเป็นกำแพงหินที่ขวางกั้นและไม่สามารถเดินต่อไปได้
นางไม่มีทางเชื่อว่าในตำแหน่งที่ลึกลับซับซ้อนของวังหลวงแห่งนี้ จะสร้างทางเดินลับขึ้นมาโดยไม่มีอะไรแอบซ่อน
เมื่อทำการตรวจค้นหาอยู่นาน และไม่ว่าจะผลักดันกำแพงหินอย่างไรก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ทำให้นางเหนื่อยล้าและทรุดตัวลงกับพื้นด้วยอาหารเหนื่อยหอบ
“ช่างน่าแปลก เหตุใดถึงไม่มีรอยแตกร้าวอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด”
กู้ชูหน่วนไม่เชื่อในความเลวร้ายนี้ และแหงนหน้าขึ้นมองไปยังผนังหินผิวเรียบและพยายามจ้องมองดูว่ามีค่ายกลพิเศษอะไรแอบซ่อนอยู่หรือไม่
ทว่านางกลับพ่ายแพ้ลงอีกครั้ง
ไม่ง่ายเลยที่นางจะสลัดหลุดออกมาได้จากผู้คนที่แอบจ้องจับตาดูนางอยู่และหลบหนีเข้ามาถึงที่นี่ และตอนนี้นางก็เสียเวลาอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งคืนแล้ว นางไม่รู้ว่าตอนนี้เซี่ยวอวี่เซวียนเป็นตายร้ายดีอย่างไร กู้ชูหน่วนหงุดหงิดจึงได้ออกกำปั้นไปยังผนังหินอย่างแรง
การต่อยครั้งนี้แรงมาก ทำให้บนหินเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของนาง และสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือกำแพงหินกลับเปิดขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์
กู้ชูหน่วนมองดูเลือดของตัวเอง และไม่เข้าใจว่าเหตุใดเลือดของนางเองสามารถเปิดผนังกำแพงหินนี้ได้
หรือเป็นเพราะกำแพงหินนี้จำเป็นต้องใช้เลือดสดในการเปิด
นางถือคบไฟเดินเข้าไปโดยไม่สนใจคิดเรื่องเหล่านี้
ภายในของเส้นทางลับนี้เหมือนกับเขาวงกต มีทางแยกและเส้นทางที่คดเคี้ยวเป็นจำนวนมาก กู้ชูหน่วนกลัวว่าจะหลงทางจึงได้ทำสัญลักษณ์ไว้ทุกทางแยก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และกู้ชูหน่วนก็คิดหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
นางเดินอยู่ภายในนี้มากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าก็มองไม่เห็นสัญลักษณ์ที่นางทำไว้ หากไม่ใช่เป็นเพราะนางเดินย้อนกลับไปดู นางคงคิดว่าสัญลักษณ์เหล่านั้นที่นางทำไว้ได้ถูกลบเลือนไปหมดแล้ว
หากยังเดินลึกเข้าไปอีกก็เกรงว่าตอนที่ออกมาจะเป็นเวลาเช้า หากเป็นเช่นนั้นคงไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของคนของจักรพรรดินีที่จับตามองนางได้อย่างแน่นอน
ไม่เดินลึกเข้าไป……และหากเซี่ยวอวี่เซวียนถูกกักขังไว้ที่นี่จะทำเช่นไร?
กู้ชูหน่วนตกอยู่ในภาวะที่ตัดสินใจลำบาก
และทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงหายใจเหนื่อยหอบและอ่อนล้าบริเวณเบื้องหน้า
กู้ชูหน่วนค่อยๆ เดินเข้าไป
ท่ามกลางความมืดมัว นางได้มองเห็นหญิงผมหงอกคนหนึ่งได้ถูกโซ่เหล็กตรวนขนาดใหญ่มัดร่างกายเอาไว้
บนเรือนร่างของหญิงคนนั้นส่งกลิ่นเหม็นและยากจะสูดดม และร่างกายของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผลจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถูกทรมานอย่างหนักหนา
จากการสังเกตเสื้อผ้าที่เสื่อมโทรมสึกหรอของนางก็ทำให้รู้ว่าถูกกักขังอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายปี
และเพราะระยะห่างยิ่งใกล้เข้าไป ทำให้ในที่สุดกู้ชูหน่วนก็มองเห็นใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
นางอดไม่ได้ที่จะแสดงทีท่าตกใจและคิดอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ แม้แต่คบไฟในมือก็เกือบจะดับลง
จักรพรรดินี……
นางคือจักรพรรดินี……
“แอ่ม……”
ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงไอกระแอมด้วยความเจ็บปวด กู้ชูหน่วนหันหลังกลับหลังจากอาการตกใจ และได้หยิบดาบอ่อนออกมา จากนั้นยกเส้นผมของหญิงคนนั้นขึ้น
จากแสงที่มีอันน้อยนิด กู้ชูหน่วนมั่นใจได้ว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาเหมือนกับจักรพรรดินีอย่างแยกไม่ออก
เพียงแต่ดวงตาของจักรพรรดินีเสมือนงูพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรง และทุกการเคลื่อนไหวของพระนางล้วนทำให้รู้สึกขนหัวลุกตลอดเวลา ราวกับตกอยู่ในนรก
ทว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ากลับมีสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแตกแห้ง สติเชื่องช้าและแววตาของนางก็ไม่เปล่งประกายสดใสเลยสักนิด แม้แต่การหายใจก็อ่อนแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้ใช้เรี่ยวแรงไปหมดแล้ว แต่เพียงแค่ยังฝืนทนต่อไปก็เท่านั้น
กู้ชูหน่วนถาม “เจ้าคือใคร? ใครนำตัวเจ้ามากักขังไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หญิงคนนั้นก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และหลังจากที่พยายามมองไปยังกู้ชูหน่วน และได้หันไปทางอื่นเพื่อดูว่ามีคนอื่นอีกหรือไม่
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่น ร่างกายที่วิตกกังวลอย่างมากก็ผ่อนคลายลง
แม้จะเป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ทว่ากู้ชูหน่วนรู้ดีว่านางกำลังหวาดกลัวอย่างมาก หวาดกลัวว่าจะมีใครมาที่นี่