เธอถือกาแฟมา เขารับไปแล้วจิบเบาๆ นอกจากอัลบั้มรูปแล้ว บนโต๊ะชานั้นยังมีหนังสือวางอยู่สองสามเล่ม ทั้งหมดล้วนแต่เป็นพวกสถาปัตยกรรมทั้งสิ้น ปลายนิ้วยกขึ้นด้านบน ด้านในมีร่องรอยของการใช้ปากกาขีดเขียนเอาไว้ ทั้งสีแดงสีน้ำเงิน และด้านข้างก็ยังมีมาตรฐานเอาไว้ เธอมีความตั้งใจมาก
“กำลังเรียนอยู่เหรอครับ?” ฉันทัชเปิดดูสองสามหน้า รสชาติของกาแฟก็ไม่เลวเลยอีกด้วย
“ใช่ค่ะ ก็อย่างวิชาความรู้บ้าๆบอๆอย่างฉัน ถ้าไม่เรียนอีก ก็คงจะอับอายขายหน้าแย่เลย”มุมปากของยู่ยี่กระตุกขึ้น นึกไปถึงรายงานที่ทำอยู่ที่บริษัท
มุมปากของเขาขยับเล็กน้อย จิบกาแฟแล้วเปิดพลิกหนังสือของเธอ โดยไม่ได้เอ่ยพูดขึ้นอีก
ยู่ยี่นั่งอยู่บนโซฟา บิดตัวไปมา เขาไม่ได้ส่งเสียงออกมา และเธอเองก็ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมาด้วยเช่นกัน จึงปล่อยให้เงียบกันอยู่แบบนั้น
“การเรียนแบบนี้ไม่มีประสิทธิภาพมากนักหรอกครับ สิ่งที่คุณเรียนรู้ก็ไม่ได้มากไปกว่าทฤษฎี การปฏิบัติจะเป็นการได้รู้จริงๆ เดินไปบนถนน สิ่งก่อสร้างในทุกๆตึกจะเป็นสิ่งที่คุณสามารถศึกษาเรียนรู้ได้…..” ฉันทัชเงยหน้าขึ้นมามองเธอ
ยู่ยี่ยิ้มและรู้สึกว่าเขาพูดถูกมาก และยิ่งคิดขึ้นมาได้ในทันที : “จริงค่ะ”
วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะชา ฉันทัชยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา แล้วลุกขึ้น : “ผมต้องไปแล้ว”
เธอไม่ได้ออกปากรั้งเขาเอาไว้ เก้าโมงครึ่งแล้ว รู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงรีบลุกขึ้นตามแล้วกำชับเขา : “ฝนตกแรง ระวังตัวด้วยนะคะ”
เดินมาถึงข้างลิฟต์ ฉันทัชหยุดชะงักเท้าลง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง : “รูปถ่ายดูดีเหมือนกันนะครับ”
ยู่ยี่รู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วกลับออกไป เธอไม่ได้ไปส่งข้างล่าง ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เห็นเขาจากไปได้อย่างชัดเจน
กลับมาบนโซฟา เธอพลิกอัลบั้มรูป รูปถ่ายในอัลบั้มรูปนั้นล้วนมีแต่เธอ นาโนและเชอร์รีน เพื่อนเธอมีไม่มาก ก็มีพวกเธอสองคน แล้วพลิกไปข้างหลังอีก หน้าสุดท้ายเป็นรูปแต่งงานของเธอกับหัสดิน
เธอจำได้ว่าตัวเองฉีกทิ้งไปหมดแล้ว แต่นี่ทำไมถึงยังมีเหลืออยู่รูปหนึ่งกัน?
มองรูปถ่ายนั้นอย่างใจลอย หลังจากนั้น เธอก็ฉีกรูปถ่ายใบนั้นอย่างละเอียด ไม่มีความจำเป็นที่จะเก็บเอาไว้อีกแล้ว
รูปถ่ายใบนั้น เธอฉีกแม้แต่ตัวเองและหัสดินจนละเอียด แล้วทิ้งลงในถังขยะไป
เธอตัดขาดก็ตัดขาดจนถึงที่สุดเช่นกัน ตอนที่จากมานั้น สิ่งที่เกี่ยวกับหัสดินเธอก็ไม่ได้เอามาด้วยเหมือนกัน
จนกระทั่งถึงตอนนี้แล้ว หัวใจเธอยังเจ็บอยู่ไหม? จะบอกว่าไม่เจ็บเลยนั่นก็คงเป็นการโกหก ความรู้สึก7ปี บอกว่าจะลืมแล้วจะลืมเลยได้อย่างไรกัน?
เพียงแต่ความเจ็บปวดไม่ใช่เป็นความเจ็บปวดแทบขาดใจแบบนั้นอีกแล้ว แต่เป็นความเจ็บจากการโดนปลายเข็มทิ่มแทง เบาและคลายลงมาก
เมื่อก่อนเธอมักจะคิดว่าไม่มีหัสดินแล้ว ชีวิตของเธอจะต้องเละเทะ ไม่มีทิศทาง ไม่มีจุดหมายอย่างแน่นอน และชีวิตก็จะยิ่งไม่มีพลังและความสุข
เดินมาถึงก้าวนี้แล้วเธอถึงได้พบว่า ไม่มีหัสดิน เธอก็ยังคงใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่ายสงบสุขได้ ไม่ได้แย่เหมือนกับที่คิดเอาไว้
คนเราจะต้องเรียนรู้ที่จะเติบโต เรียนรู้ที่อยู่คนเดียว เรียนรู้ที่จะเข้มแข็งให้เป็น
ขณะที่ยู่ยี่กำลังพิมพ์เอกสารอยู่นั้น เรนบีจ้องมองเธอด้วยอารมณ์ที่แปลกประหลาด ถือกาแฟเข้ามาด้วยมือที่แกว่งไปมาเล็กน้อย กาแฟหกลงบนเอกสารที่อยู่ในมือเธอ : “ขอโทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
คนที่มีตาดูก็รู้แล้วว่าเธอตั้งใจ…..
เธอหยิบเอกสารขึ้นมา แล้วสะบัดกาแฟที่หกรดลงบนเอกสาร โดนกระโปรงของเธอพอดี ยู่ยี่เงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด : “ขอโทษนะคะ”
เธอได้ยินมีคนพูดมาว่าเรนบีกับผู้จัดการนั้นเบื้องหลังเป็นชู้กัน เพียงแต่นี่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอ
บนกระโปรงนั้นมีคราบกาแฟอยู่ เรนบีจ้องมองเธอด้วยความโมโห ยู่ยี่มองเธอ ดังนั้นแล้วเธอไม่มีอะไรก็มักจะมาหาเรื่องยั่วเธอทำไมกัน?
ช่วงนี้ทางเบื้องบนกำลังยุ่งเรื่องแผนงานหนึ่งอยู่ นั่นก็คือทางรัฐบาลต้องการสร้างมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองs บริเวณรอบๆล้อมรอบไปด้วยโรงพยาบาลและซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งนี่นับเป็นงานใหญ่มากงานหนึ่ง ถ้าหากบริษัทได้มาอยู่ในมือ ผลประโยชน์ก็จะเป็นไปตามสภาพความเป็นจริง
ตอนนี้ บริษัททั้งหมดกำลังแย่งงานนี้กันอยู่ ถ้าหากสามารถเอามาอยู่ในมือได้ เพียงแค่ดึงมาได้สำเร็จก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย
ยู่ยี่กำลังดูเอกสารอย่างขะมักขะเม้น ผู้จัดการเข้ามา แล้วยื่นเอกสารส่งให้เธอ : “ต่อไปคุณเป็นคนรับผิดชอบรายการนี้ พยายามเอามาให้ได้”
ถูกทุบจนรู้สึกวิงเวียนศีรษะและตาลาย ยู่ยี่ไม่สามารถดึงสติกลับมาได้อยู่เป็นเวลานาน แม้แต่จิตใจของเธอนั้นก็ล้วนแต่ใจลอยออกไปด้วย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าอำนาจจะมาอยู่ในมือเธอ
และในเวลานี้สิ่งเดียวที่เธอนึกถึงก็คือ อำนาจนี้มาอยู่ในมือเธอ มือเธอมีกลิ่นคาวเลือดติดมาแล้ว
สายตาของทุกคนในออฟฟิศมองมาที่ร่างของเธอ ล้วนแต่เป็นสายตาที่แปลกๆไปอยู่บ้าง ประสบการณ์และคุณสมบัติของเธอน้อยที่สุด แล้วก็ทำงานแย่ที่สุดด้วย ทำไมถึงมอบให้เธอ?
ขณะที่ยู่ยี่กำลังวิงเวียนอยู่นั้น ผู้จัดการก็ออกไปแล้ว เรนบีก็เดินไปแล้วด้วยเช่นกัน
ในออฟฟิศ ผู้จัดการนั่งอยู่บนเก้าอี้หนัง เรนบีนั่งลงบนขาของเขา สองมือโอบรอบคอเขา : “ทำไมให้พนักงานทำความสะอาดนั่นรับผิดชอบล่ะคะ ให้ฉันนะ ให้ฉันทำได้ไหม ที่รัก….”
“คุณแน่ใจว่าจะเอางานนี้มาได้ไหม?”มือของผู้จัดการอยู่บนหน้าอกของเธอ
ร่างของเธอนั้นขดอยู่ในอ้อมกอดของเขาเหมือนกับงูเลยอย่างไรอย่างนั้น เรนบีรู้สึกไม่พอใจ : “แล้วเธอสามารถเอามาได้หรอคะ?”
“เธอรู้จักกับคุณฉันทัช”เหตุผลที่เลือกเธอไม่มีเรื่องอื่นเลย มีเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น
เรนบีขมวดคิ้วขึ้น : “คุณฉันทัช?”
“ตอนนี้แต่ละบริษัทก็ล้วนแต่พากันเอาใจคุณฉันทัชทั้งนั้น รัฐบาลเอางานนี้มอบให้กับคุณฉันทัชแล้ว ให้บริษัทนั้นทำ ก็ไม่ใช่เพียงเพราะแค่ประโยคเดียวของคุณฉันทัช”
เบื้องหลังภายในออฟฟิศมีคำพูดประชดประชันไม่ขาดและไม่จริงใจ ยู่ยี่ได้ยินซ้ำๆเสียจนรำคาญมากแล้ว ความจริงแล้วเธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถรับหน้าที่นี้ได้เลย
เธอไปที่ออฟฟิศ เพื่อจะไปปฏิเสธกับผู้จัดการ เธอเป็นคนใหม่ ความสามารถในการทำงานก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ ทั้งยังเป็นครั้งแรกด้วย กลัวว่าจะทำพังเอาได้
ผู้จัดการโบกมือ เพื่อให้เธอออกไป และตอนท้ายก็โยนเอกสารให้เธอ ให้เธอไปเปิดดู และตอนกลางคืนจะพาเธอไปเจอคนหนึ่งคน
ตอนอาหารกลางวัน เชอร์รีนโทรมาหาเธอ ให้เธอไปเดินช้อปปิ้ง อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าตรงข้ามที่อยู่ไม่ไกล ยู่ยี่ชั่งน้ำหนัก 52.5กิโลกรัม
ตอนที่ตั้งครรภ์หนัก57.5กิโลกรัม จนสุดท้ายผ่านเรื่องนั้นมา ในช่วงนั้นเธอไม่กินไม่ดื่ม ซูบลงไปไม่น้อย และน้ำหนักก็ลดลงตลอดอีกด้วย
เชอร์รีนให้เธอมองดูหน้าของเธอ จุดด่างบนใบหน้าในช่วงตั้งครรภ์หายไปหมดแล้ว ในช่วงการอยู่เดือน เพียงแค่ผู้หญิงบำรุงรักษาดูแลดี ก็เหมือนกับเป็นการไปเกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง
ตอนนี้เธอแท้งลูกแล้ว ก็เหมือนกับเป็นการอยู่เดือน กินได้ นอนหลับ ผลจะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน
ช่วงนี้ยู่ยี่ยุ่งมาก ยุ่งเสียจนไม่มีเวลาดูแลใบหน้าตัวเอง ตอนทำความสะอาด เธอกับน้านาโนไม่มีอะไรทำทั้งสองคนก็สามารถดื่มน้ำอุ่นได้ถึงเจ็ดแปดแก้วในหนึ่งวัน
และนี่เมื่อได้มามองดูหน้าตัวเองอีกครั้ง ไม่เพียงแค่จุดด่างบนใบหน้าในช่วงตั้งครรภ์หายไปเพียงเท่านั้น แม้แต่ผิวพรรณก็กระจ่างใสกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย เพียงแต่เธอกลับไม่รู้สึกได้ซักเท่าไรนัก ถ้าหากสามารถเอาลูกไว้ได้ เธอยอมที่จะให้ใบหน้าของตัวเองเต็มไปด้วยจุดด่างตอนที่ตั้งครรภ์ดีกว่า
หลังจากเลิกงานแล้ว ผู้จัดการก็พาเธอขึ้นรถไป ให้คนขับรถพาเธอไป
สถานที่ที่พาเธอไปนั้นเป็นคลับที่มีระดับแห่งหนึ่ง สภาพแวดล้อมเงียบและดูดีมาก เดินเข้าไปในห้องวีไอพีด้านในสุด เธอผลักประตูเข้าไป ด้านในมีคนนั่งอยู่เต็มแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการนำโดยฉันทัช
เขาใส่เสื้อลายทางสีดำ กางเกงสแล็คสีดำ นั่งไขว่ห้าง บนไหล่มีชุดสูทพาดเอาไว้ โดดเด่นจากท่ามกลางผู้คนเป็นอย่างมาก
เธอรู้สึกอึ้งไป ยืนงงๆอยู่ตรงนั้น โลกใบนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จำนวนครั้งที่เธอกับเขาเจอกันดูเหมือนจะเกินความคาดหมาย….บ่อยมาก…..
ได้ยินเสียงแล้ว สายตาของทุกคนก็มองมา ยู่ยี่ปิดประตูพลางก้มตัวลงเป็นการขอโทษด้วย : “ขอโทษนะคะ ขอโทษค่ะ พวกคุณต่อกันเลย ต่อเลยค่ะ”
ฉันทัชเองก็รู้สึกประหลาดใจที่เห็นเธอเช่นกัน ดวงตาลึกซึ้งหรี่ลง ริมฝีปากบางขยับ : “นั่งสิ”
ยู่ยี่พยักหน้าให้เขา แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด คนพวกนั้นล้วนแต่แย่งกันพูดถึงข้อได้เปรียบและแผนการของตัวเอง แข่งกันพูดจนเสียงดัง
มือซ้ายยกขึ้นมาเล็กน้อย ทำเป็นสัญญาณว่าให้หยุด ฉันทัชจิบน้ำชา : “ผมมีเวลาหนึ่งชั่วโมง พวกคุณมีทั้งหมดสิบคน คนละหกนาที ควบคุมเวลากันเอง ใครเตรียมตัวก่อนก็มาก่อนเลย เริ่มเลยนะครับ….”
ลักษณะอันน่าเกรงขามและกลิ่นอายของพระราชาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของเขา ทุกคนเงียบลง แล้วปฏิบัติตามกฎ คนละหกนาที ถึงเวลาแล้ว ไม่ว่าจะพูดไม่จบ ก็ล้วนแต่หยุดลงโดยอัตโนมัติ
เดิมทียู่ยี่รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง หลังจากที่ผ่านไปซักพักหนึ่งแล้ว ก็เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านี้ขึ้นมา งานนั้น อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือของเขา
คิดถึงตรงจุดนี้แล้ว เรื่องอื่นๆก็คิดออกขึ้นมาด้วยอย่างรวดเร็ว รวมทั้งทำไมผู้จัดการถึงได้มอบงานใหญ่ขนาดนี้ให้เธอ และทำไมถึงได้ย้ายเธอจากพนักงานทำความสะอาดมาอยู่ในออฟฟิศ
ตอนที่ผู้จัดการย้ายเธอจากพนักงานทำความสะอาดมาอยู่ในออฟฟิศ เอ่ยถามเธอเพียงแค่ประโยคเดียวว่ารู้จักฉันทัชหรือเปล่า
ขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น คนข้างๆก็กระทุ้งแขนเธอเบาๆ เตือนเธอ : “ถึงตาเธอแล้ว”
จู่ๆยู่ยี่ก็ดึงสติกลับมาได้ เธอส่ายหน้า : “ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวค่ะ”
ทุกคนมองเธอ โอกาสดีขนาดนี้ไม่คิดว่าเธอจะปล่อยให้เสียเปล่าไปแบบนี้ ขาที่ไขว้กันอยู่นั้นแยกลง แล้วเขาก็สวมชดสูท : “ผมมีธุระต้องขอตัวก่อน เชิญทุกคนตามสบาย”
ได้ยินแล้ว ทุกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาต่างก็ลุกขึ้นมา ฉันทัชมีความเย็นชา ห่างเหิน อีกทั้งพยักหน้าลงอย่างมีมารยาทให้กับทุกคน เดินก้าวออกไปอย่างมั่นคง ตอนที่ผ่านยู่ยี่ไปนั้นก็ไม่ได้หยุดลงด้วยเช่นกัน เพียงแต่ทิ้งกลิ่นแอมเบอร์กริสที่จางๆไว้เพียงเท่านั้น
และทุกคนก็เริ่มเดินออกไปจากห้องวีไอพี ในนั้นยังมีเด็กผู้หญิงอยู่สองคน ทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ อายุยังไม่มาก เสียงร้องจีๆจาๆพูดคุยกันไม่หยุด
“งานอะไรกัน ได้มาเห็นผู้ชายที่สุขุมสง่างามแบบนี้ ถึงตายฉันก็ไม่เสียดายแล้ว!”
“เธอว่า เมื่อกี้พอเขามองฉัน ก็เหมือนกับฟ้าแลบลงมา หัวใจของฉันชาไปหมด พอเรียกชื่อฉันอีก ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองหลับไม่ตื่นแบบนั้นเลย!”
“อ๊า อ๊า! หัวใจของฉันจะหยุดเต้นอยู่แล้ว!”
หนึ่งในเด็กผู้หญิงนั้นยื่นมือออกมาดึงแขนของยู่ยี่ : “ตอนที่เขาพูดกับเธอ เธอรู้สึกชาไหม?”
“เขาไม่ได้พูดกับฉันนี่”ยู่ยี่เอ่ยขึ้น เธอตื่นเต้นมากเกินไป หยิกแขนเสียจนยู่ยี่รู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้างแล้ว
“เขาพูดกับเธอนี่ เขาบอกเธอให้นั่งลง!แล้วก็มองเธอด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะยิ้มให้เธอด้วยนะ!”
ยู่ยี่เงียบไป : “…….”
เธอรู้สึกว่า พวกหล่อนนั้นคิดเชื่อมโยงไปได้มากจริงๆ จินตนาการมากมายหลากหลายเหลือเกิน
ขอร้องผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว ยู่ยี่เดินออกมาจากคลับ รู้สึกว่าหูโล่งสบายขึ้นมาแล้ว