รถมูซานสีบรอนด์จอดอยู่ตรงหน้าเธอ กระจกรถเปิดลง เป็นฉันทัชนั่นเอง : “ขึ้นรถสิ”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณฉันทัชมีธุระต้องไปทำ ฉันนั่งแท็กซี่ไปได้ค่ะ ตรงนี้เรียกแท็กซี่ได้ง่ายมาก”ยู่ยี่ยังกำลังคิดถึงเรื่องงาน
“รู้สึกว่านั่งรถผมแล้วไม่สะดวกอย่างนั้นหรือครับ?”
ยู่ยี่ส่ายหน้า : “ไม่ใช่จริงๆค่ะ คุณฉันทัชงานยุ่งมาก ฉันไม่อยากรบกวน”
เขาเอ่ยขึ้น : “ผมไม่ยุ่งหรอกครับ มีมากที่สุดก็คือเวลานี่แหล่ะ…..”
“เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่ามีเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ตอนที่อยู่ในห้องวีไอพีนั่น”เธอจำได้อย่างชัดเจน
“ข้ออ้างน่ะครับ….”เสียงของเขาทุ้มต่ำ และไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองนั้นไม่เหมาะสมอะไร
ยู่ยี่ : “…….”
เธอไม่มีวิธีปฏิเสธ ขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วหยิบเอกสารออกมาพลิกดูซ้ำๆ คิด อ่าน หลังจากนั้นก็คิดต่อ
“กำลังคิดอะไรอยู่ครับ?”
“ผู้จัดการให้ฉันรับโครงการนี้เดิมทีก็มีจุดประสงค์แฝง เขารู้ว่าฉันรู้จักคุณ ก็เลยมอบหมายงานใหญ่แบบนี้ให้กับฉัน ให้ฉันได้มาอยู่ใกล้สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยก็เพื่อจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ ฉันรู้สึกไม่ชอบเลย”ยู่ยี่พูดความจริงออกมา ไม่ได้ปกปิด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเขาด้วยเช่นกัน เขาช่วยเธอมาหลายครั้ง เธอไม่ควรที่จะโกหกเขาเรื่องนี้
“ปกติมากครับ….” มือใหญ่ที่เห็นข้ออย่างชัดเจนของฉันทัชนวดตรงหว่างคิ้วเล็กน้อย
“ปกติ?”
“ในเมื่อมีความสัมพันธ์วางอยู่ตรงนั้น ไม่มีทางเลือกที่จะไม่ไปหรอกครับ แล้วก็ยิ่งไม่มีใครสนใจด้วยว่าคุณจะใช้วิธีการอะไร สิ่งที่สนใจก็คือผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น กฎเกณฑ์ของสังคมในตอนนี้….”เสียงของเขาหนักแน่นมาก และยิ่งมีพลังที่แทรกซึมไปด้วยความสุขุมแบบนั้น : “ไปทานอาหารเย็นหรือครับ?”
มื้อเย็นเธอยังไม่ได้กินจริงๆ ยู่ยี่พยักหน้าลง เธอรู้ว่าที่เขาพูดมานั้นก็ไม่ผิด : “แต่ เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าเขามองความสัมพันธ์ของพวกเราผิดไป”
โดยเฉพาะวันนั้นตอนที่อยู่โรงแรม เขาช่วยเธอแก้หน้าให้ จึงได้พูดออกไปอย่างคลุมเครืออยู่บ้าง และยังพาคิดไปไกล ถึงได้ทำให้ผู้จัดการคิดบิดเบือนไป….
“คิดผิดกับความสัมพันธ์ของพวกเรา?”
“วันนั้นตอนที่คุณช่วยฉันแก้ต่างให้ พูดคำพูดที่ทำให้คิดไปไกล ผู้จัดการจะต้องคิดไปอย่างคลุมเครือแน่ๆค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นมา : “ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกเราธรรมดามาก…..”
ฉันทัชเอ่ยถามเธอ : “คุณนิยามความสัมพันธ์ธรรมดานี้เอาไว้ยังไง?”
“ความสัมพันธ์แบบเพื่อนทั่วๆไป”เธอชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยพูดแบบนี้ เจอหน้ากันหลายครั้งขนาดนี้ ก็สามารถเรียกว่าเพื่อนได้จริงๆ
“ผมรู้สึกดีกับคุณ…..”เขาหลับตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่ลึกซึ้งมองอยู่ที่ร่างของเธอ หลังจากนั้นก็เอ่ยพูดแบบนี้ออกมา
ยู่ยี่ตกตะลึง หน้าแดง หัวใจเต้น ความจริงแล้วเธอมีปฏิกิริยาแบบนี้เป็นเรื่องที่ปกติมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนที่มาได้ยินคำพูดแบบนี้จากผู้ชายที่ดีเลิศแบบนี้พูดกับตัวเอง ไม่มีทางที่จะใจจะสงบนิ่งได้เหมือนกับน้ำ นิ่งโดยไม่ไหวติงได้อยู่แล้ว
เพียงแต่ผ่านไปไม่กี่วินาที เธอก็กลับมาสงบนิ่งได้เหมือนเดิม เมื่อครู่นี้ที่เธอมีปฏิกิริยาแบบนั้นเป็นเพราะน้ำที่เขาสาดมานั้นแรงเกินไป ทำให้เธอไม่สามารถที่จะต้านทานได้
แล้วอีกอย่าง เขาเองก็พูดแค่ว่ารู้สึกดี มีความรู้สึกดีก็เป็นเรื่องธรรมดา ก็เหมือนกับเธอ ที่รู้สึกดีกับเขาเหมือนกัน เป็นเรื่องปกติมาก
“ฉันเองก็รู้สึกดีกับคุณฉันทัชเหมือนกันค่ะ…..”เธอตอบกลับด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบมาก แล้วเก็บเอกสารที่วางอยู่บนขาขึ้นมา
ดวงตาที่ลึกซึ้งของฉันทัชมืดลงเล็กน้อย แต่สีหน้าที่เคร่งขรึมบนใบหน้ากลับไม่มีความผันผวนมากนัก นิ่งและเป็นธรรมชาติมาก
เขาเจอคนมาจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ติดต่อคบหากันก็ยิ่งมีหลากหลาย สิ่งที่ในใจของพวกเขาต้องการ ไม่ต้องให้พวกเขาเอ่ยปาก เพียงแค่มองผ่านสายตา เขาก็เดาออกแล้ว
ความคิดของเธอไม่ลึกซึ้ง สามารถพูดได้ว่าเบาบางมาก ประโยคนั้นที่เธอพูดออกมาต้องการจะสื่อความหมายอะไร เขามองออกอยู่แล้ว
“มีอุดมการณ์ บุคลิกสง่างาม จะพูดจะทำก็เหมาะสมกับกาลเทศะ สุขุมเป็นผู้ใหญ่ ผู้ชายเหมือนกับคุณฉันทัชแบบนี้ ไม่มีใครที่จะเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาได้หรอกค่ะ!”ยู่ยี่ชื่นชม คำพูดทั้งหมดล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น เพียงแค่เห็นปฏิกิริยาของเด็กผู้หญิงสองคนนั้นก็รู้ว่าเขาเป็นที่สนใจแล้วเช่นกัน
ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย ฉันทัชยิ้ม….
สุดท้ายแล้วเขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงที่แหบพร่าทุ้มต่ำนั้นเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง : “ความรู้สึกดีนี้ไม่ใช่ความรู้สึกดีแบบนั้น…..”
ได้ยินแล้ว ยู่ยี่ก็ตกตะลึงไป มือที่วางอยู่บนกระโปรงนั้นทั้งสองข้างพันกันไปหมด รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
เธอไม่ใช่คนโง่ ล้วนแต่เป็นหญิงชายที่โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ความหมายประโยคนี้ของเขา เธอเข้าใจ ความไม่สบายใจนี้ของเธอ มากกว่านั้นก็คือความประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ สับสน
แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกร้อน ยื่นมือออกมา ลดหน้าต่างลง
คืนฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาว ลมหนาวพัดโชยมา ยู่ยี่รู้สึกหนาวเข้ากระดูกอีกครั้ง ลมพัดเส้นผมยุ่งไปหมด เธอเอาเส้นผมทัดที่หลังใบหู
แล้วซักพักหนึ่ง หัวใจของเธอก็สงบขึ้นมาอีกครั้ง นิ่งสงบราวกับเหมือนกับทะเลสาบ : “ทำไมคุณฉันทัชถึงรู้สึกดีกับฉันล่ะคะ?”
เธอรู้สึกว่าตัวเองในเวลานี้ถึงแม้จะพูดได้ว่าไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถเรียกว่าแย่ได้อยู่เหมือนกัน ไม่มีประสบการณ์ใดๆ เขียนรายงานหนึ่งฉบับก็ถูกคนทั้งบริษัทมองเป็นเรื่องตลกแล้ว
เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้หญิงอย่างเธอจะทำให้ผู้ชายแบบเขาเกิดความรู้สึกดีได้อย่างไร เธอรู้สึกว่าช่างเหลวไหลเสียจริงๆ
ร่างสูงเรียวของฉันทัชโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย นิ้วมือเรียวยาวของเขา สะอาด และข้อต่อที่เห็นชัดเจน ร่างกายมีกลิ่นอายของผู้ชายที่สุขุมเป็นผู้ใหญ่ วนเวียนอยู่ตรงปลายจมูกของยู่ยี่ หน้าต่างรถที่เธอเปิดไว้ถูกปิดลง
รอยยิ้มปรากฏขึ้น เขาหมุนพวงมาลัยไปทางขวาแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาไม่พูด ยู่ยี่เองก็ไม่ได้เอ่ยพูดอีกด้วยเช่นกัน ถ้าหากเอ่ยพูดขึ้นมาอีก อาจจะดูเหมือนไม่ได้คาดคิดเท่าไหร่นัก
ในรถไม่มีคนพูดอะไรอีก บรรยากาศให้ความรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วดูเคอะเขินขึ้นมาอีกหลายเท่า เนื่องจากประโยคนั้น
ตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงใต้ตึกอาคารบ้านพัก ยู่ยี่นั่งตัวตรง สูดหายใจเข้าลึกๆ พลางเอ่ยขึ้น : “ขอโทษนะคะ!”
นี่หมายความว่ากำลังปฏิเสธ….
“คนที่ควรจะขอโทษคือผมต่างหาก ข้างนอกฝนยังตกอยู่ ผมคิดว่าคุณจำเป็นต้องมีร่ม….”เขาเอนตัว แล้วหยิบร่มจากเบาะหลังส่งให้เธอ ดวงตาที่เคร่งขรึม อ่อนโยน ราวกับว่าการปฏิเสธของเธอเมื่อครู่นี้ไม่ได้ส่งผลกับเขาเลย
นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างผู้ชายทั่วๆไปกับผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้ว่าจะถูกปฏิเสธ ก็ยังคงเป็นสุภาพบุรุษ มีบุคลิกที่งดงาม…
เธอรับร่มมา ลงจากรถ ปิดประตู กำชับเขาให้ขับรถดีๆ กางร่ม แล้วเดินจากไป
กลับมาถึงคอนโตแล้วนั้น ยู่ยี่ถือน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง นั่งลงบนโซฟาด้วยความรู้สึกลังเล เหม่อลอย
เธอคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าผู้ชายที่โดดเด่นงดงามละเอียดอ่อนแบบเขา ทำไมถึงได้มาเกิดความรู้สึกดีกับผู้หญิงที่หย่าร้างแล้วแบบเธอ
เขาไม่ได้กำลังล้อเล่น แต่เธอคิดไม่ออกถึงสาเหตุที่เขาเป็นแบบนี้…..
เธอลุกขึ้นแล้วยืนอยู่ตรงหน้ากระจกมองพิจารณาตัวเอง รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่นับว่าสวย และดูธรรมดาจริงๆอีกด้วยเช่นกัน
ยู่ยี่ส่ายหน้าแล้วไม่ได้คิดมากอีก เธอหันกลับเดินเข้าไปในห้องนอน
เขาเปล่งประกาย โดดเด่น ละลานตา เป็นจุดสนใจของทุกคนคอยจ้องมองเสมอ ส่วนเธอนั้นรู้ตัวเองดี แล้วอีกอย่างเธอยังไม่ได้วางแผนกับการเริ่มต้นความรักครั้งใหม่อีกด้วย
7ปีกับความมุ่งมั่น 7ปีกับความทุ่มเท 7ปีกับความรักความผูกพัน แลกมาด้วยการหักหลัง ไม่น่าเชื่อใจแบบนี้
ผ่านเรื่องนี้มา เธอจะกล้าเชื่อในความรักได้อย่างไร?
ทุ่มเทมากเกินไป ก็เจ็บหนักเหมือนกัน เธอชอกช้ำ หมดเรี่ยวแรง กับเรื่องของความรัก เธอรู้สึกกลัวแล้ว
จนถึงตอนนี้ บางครั้งเธอยังฝันร้ายอยู่เลยด้วยซ้ำ
……..
วันรุ่งขึ้น ยู่ยี่ไปยังออฟฟิศของผู้จัดการ แผนงานฉบับนี้ เธอไม่มั่นใจเลยจริงๆ แล้วอีกอย่างเธอก็ไม่มีความสามารถด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ได้ยินเจตนาที่เธอเข้ามาแล้ว ปฏิกิริยายังคงเหมือนกับเมื่อวานนี้ โบกมือเป็นการบ่งบอกให้เธอออกไป
“ความสามารถในการทำงานของฉันผู้จัดการเองก็เห็นแล้วนี่คะ ผลที่จะตามมาฉันรับผิดชอบไม่ไหวจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน หลังจากที่ได้งานนี้มาแล้ว ผมจะหาคนที่ไปรับผิดชอบงานนี้อีกคน เปอร์เซ็นต์ที่ได้ทั้งหมดพวกคุณก็แบ่งกัน เป็นอย่างไร?” ผู้จัดการตัดสินใจให้เธอเอางานนี้มาให้ได้
ยู่ยี่เงียบ : “……”
“ทำไมหรือ ยังมีปัญหาอะไรอีกไหม?”ผู้จัดการเงยหน้าขึ้นมามองเธอ
“ฉันหมายถึงว่าฉันไม่อยากรับผิดชอบงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นการได้งานนี้มา หรือการดำเนินการหลังจากนี้ ฉันไม่อยากมีส่วนร่วมค่ะ”
ผู้จัดการโมโหขึ้นมา : “นี่เป็นการตัดสินใจของบริษัท ไม่มีการต่อรองและทางเลือกอื่น คำพูดพวกนี้ของคุณไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
สุดท้ายแล้วยู่ยี่ก็เดินออกมาอย่างสิ้นหวัง
สาเหตุที่เธอไม่อยากรับงานนี้มีหลายด้าน อย่างแรก ความสามารถของเธอไม่ถึงจริงๆ อย่างที่สอง สถานการณ์ของเธอกับฉันทัชในตอนนี้มีความอึดอัดอยู่บ้าง คงทำความรู้จักกันได้ไม่ดีนัก อย่างที่สาม ผู้จัดการมุ่งไปที่ว่าเธอรู้จักกับฉันทัชถึงได้ให้เธอรับงานต่อ ถึงตอนนั้นแล้วถ้าหากไม่ได้งานนี้มา…..
ยู่ยี่รู้สึกวุ่นวายใจ แต่เรนบีกลับเยาะเย้ยเสียดสีขึ้นมา : “คนบางคนแค่คืนเดียวก็สามารถกลายเป็นหงส์ได้แล้ว กลับรับงานใหญ่ขนาดนี้ แล้วก็ไม่กลัวว่าตัวเองจะกระอักเลือดตายด้วยนะ”
“ฉันก็กลัวว่าตัวเองจะกระอักเลือดตายเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้น เราสองคนมาแลกกัน ฉันยินดีนะ”ยู่ยี่ตั้งใจกะพริบตา
เรนบีส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วแอบพึมพำ ไม่ใช่ว่ารู้จักคุณฉันทัชอะไรนั่น มาดที่เย่อหยิ่งถึงได้กล้าอวดดีแบบนี้!
ผู้จัดการให้ผู้ช่วยบอกเธอ ว่าคืนนี้คุณฉันทัชจะไปพบกับตัวแทนของแต่ละบริษัทอีกครั้งที่ร้านเดอะพรีเมี่ยม ให้เธอแต่งตัวสวยๆ และจะต้องไปที่นั่นด้วย
ยู่ยี่อยากจะสาดน้ำชาร้อนๆในมือลงบนหน้าของผู้จัดการมาก!
และที่ยิ่งน่าขำก็คือ ผู้จัดการอาจจะขัดหูขัดตากับเทคนิคการแต่งหน้าของเธอ ถึงได้ให้เรนบีมาแต่งหน้าให้เธอแบบนี้
เรนบีมีท่าทางเย็นชา มือเคลื่อนไหวอยู่บนใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว ยู่ยี่นั่งตัวตรง แข็งทื่อ
ครั้งที่แล้วไปช้าเกินไป ครั้งนี้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ผู้จัดการก็ให้รถไปส่งเธอแล้ว และยังกำชับเป็นพิเศษว่าไม่ต้องกลับมาบริษัทแล้ว ให้เลิกงานไปเลย
งานที่ได้ผลประโยชน์นี้ ทำให้พนักงานในออฟฟิศพากันตาร้อน
ด้านนอกประตูห้องประชุมของร้านเดอะพรีเมี่ยมมีคนที่เป็นตัวแทนรวมตัวกันตั้งแต่แรกแล้ว ยู่ยี่ยืนอยู่ในกลุ่มนั้น สมาชิกผู้หญิงจำนวนมาก แต่ผู้ชายก็มีไม่น้อยด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นพักหนึ่ง ประตูห้องประชุมก็เปิดออก เขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอยู่ด้านใน และเสื้อสูทสีดำคลุมทับด้านนอก
และนั่งกันตามตำแหน่งทั้งหมด โต๊ะประชุมตัวยาว ผู้หญิงเหล่านั้นทั้งหมดแย่งกันเข้าใกล้ตำแหน่งด้านหน้าสุดอย่างไม่แสดงออก มีเพียงยู่ยี่เท่านั้นที่ย้ายไปทางด้านหลัง
“เนื่องจากว่าเวลามีจำกัด ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะให้ทุกคนพูดกันอย่างอิสระได้ ทุกคนมีเวลาสิบนาที ผมชอบที่จะร่วมงานกับคนที่เคารพกฎกติกา ถ้าหากคุณจะคิดเล็กคิดน้อยพูดถึงสิบเอ็ดนาที เช่นนั้นผมจะบอกคุณอย่างชัดเจนว่าประตูห้องประชุมอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา…..