ราชันเร้นลับ 537 : สัมผัสวิญญาณท่วมท้น

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 537 : สัมผัสวิญญาณท่วมท้น โดย Ink Stone_Fantasy

ด้านหลังประตูมีชายกำยำหนึ่งคนกำลังยืนจ้องกลับมา หน้าอกเปลือยเปล่า สักงูทะเลยักษ์สีฟ้าไว้บนท่อนแขน ทาแถบสีแดงสั้นตามสองข้างแก้ม หน้าอก และช่องท้อง โดยแต่ละตำแหน่งจะมีเส้นสีแดงเรียงซ้อนกันสามแถว

สมกับเป็นชนพื้นเมือง… แต่นี่มันไม่เด่นสะดุดตาไปหน่อยหรือ ถ้าออกไปเดินข้างนอกจะไม่ถูกตำรวจจับเอารึไง? พวกนายเป็นกลุ่มต่อต้าน เป็นองค์กรนอกกฎหมาย!

ขณะไคลน์เตรียมเบือนหน้าไปมองทางอื่น ขนคิ้วอันยุ่งเหยิงและสายตาเลือดเย็นราวกับสัตว์ป่าของอีกฝ่ายได้ทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว

หมอนี่เคยฆ่าคนมามาก… ไคลน์ประเมินอย่างคร่าวจากสัมผัสวิญญาณ

ว่ากันตามตรง จิตและความทรงจำจากโลกเก่าได้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสารและเห็นใจบรรดากลุ่มกบฏหรือกองกำลังต่อต้านอาณานิคม ยังไม่รวมไปถึงความทรงจำสมัยอาณาจักรโลเอ็น แต่หลังจากได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นสาวกของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าซึ่งมีพฤติกรรมป่าเถื่อนไม่แพ้กัน ความสงสารได้แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดระแวงและสร้างระยะห่าง

นี่ไม่ใช่การเหยียดศาสนา แต่จากข้อมูลในปัจจุบัน ความเชื่อของชาวเกาะรอสต์ยังอยู่ในยุคเริ่มต้น นิยมการเซ่นสังเวยอาหาร เลือด และชีวิต ถือเป็นยุคสมัยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจโดยสิ้นเชิง

ไม่เพียงเท่านั้น จากประสบการณ์ของจักรพรรดิและของเราโดยตรง โลกผู้วิเศษใบนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและบิดเบี้ยว หากเทพตนใดได้รับการสังเวยเป็นเลือดเนื้อ อาหาร หรือแม้กระทั่งชีวิต ก็คงยากจะปฏิเสธความเย้ายวนดังกล่าวได้…

ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินตามเดนิสเข้าไปในห้องตรงหน้า

“เอ็ดมันตัน พวกเขาเป็นใคร” สุ้มเสียงอันสุขุมไพเราะดังมาจากบริเวณหน้าต่าง

ชายสักลายบนแขนปิดประตูและตอบ

“ใครสักคนปลอมตัวมา”

ไคลน์เริ่มมองเห็นภาพรวมของห้องจากการกวาดสายตาหนึ่งครั้ง

ห้องรับแขกมีขนาดไม่ใหญ่ ยิ่งมีเครื่องเรือนอย่างตู้กับข้าว โต๊ะ และเก้าอี้อีกจำนวนหนึ่ง ความรู้สึกคับแคบก็ยิ่งชัดเจน

ประตูฝั่งขวาน่าจะเป็นห้องนอน ฝั่งซ้ายคือ ‘ห้องครัว’ ที่ถูกคั่นโดยตู้กับข้าว ในส่วนของห้องน้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มี เพราะระหว่างทางขึ้นบันไดมา ไคลน์พบว่ามีห้องน้ำรวมประจำอยู่ในแต่ละชั้น โดยกลิ่นอับอันเกิดจากการไม่ถูกทำความสะอาดเป็นเวลานาน ได้เร่งให้ผู้มาเยือนต้องรีบสับเท้าเดินหนี

บานหน้าต่างอยู่ตรงกลางเบื้องหน้า มีราวไม้ไผ่สองท่อนยื่นยาวออกไป สำหรับตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ

ชายกำยำสี่ถึงห้าคนกำลังนั่งหรือยืนบริเวณกรอบประตู ‘ห้องนอน’ และห้องรับแขก ทั้งหมดมีผิวสีเข้ม ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย สวมเสื้อทาลาบาสีน้ำเงิน และแต้มผิวกายด้วยแถบสีแดงสั้นสามแถว ในส่วนของรอยสักงูทะเลตัวใหญ่ ไคลน์มิอาจระบุได้เนื่องจากถูกร่มผ้าบดบัง

บางคนเหน็บลูกโม่ดัดแปลงไว้ข้างเอวซ้าย บางคนถือลูกซองสีน้ำตาลแดง บางคนถึงขั้นสะพายกล่องโลหะสีขาวนวลไว้ด้านหลัง โดยในมือกำลังถือปืนไรเฟิลไอน้ำแรงดันสูง ทั้งหมดยืนล้อมเดนิสและไคลน์ในลักษณะครึ่งวงกลม

เจ้าของคำถามคือชายวัยสี่สิบ กำลังนั่งบนวีลแชร์ มีผ้าห่มปิดตั้งแต่เข่าลงไป ครึ่งท่อนบนสวมแจ็คเก็ตและเสื้อยืด

ศีรษะโกนล้าน เคราสองข้างเข้มจนเกือบเขียว ดวงตาสีน้ำตาลกักเก็บอารมณ์ไว้เต็มเปี่ยม และไม่เผยความสั่นคลอนให้คนแปลกหน้าเห็น

ชายคนดังกล่าวจ้องหน้าผู้มาเยือนสักพัก ก่อนจะเริ่มเผยรอยยิ้ม

“เพลิงพิโรธ”

เดนิสพลันผงะ ตามด้วยยิ้มแห้ง

“ไครัท ยังตาดีเหมือนเดิมเลยนะ”

แม่เย็*! เทคนิคการแต่งหน้าของเราห่วยแตกขนาดนั้นเชียว?

เดนิสกรีดร้องอย่างไม่ยอมรับ

ไครัทเมินเฉยคำเยินยอจอมปลอมจากปากอีกฝ่าย เพียงหัวเราะและกล่าวต่อ

“ได้ยินว่านายฆ่า ‘เหล็กกล้า’ กับ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ ไปแล้วสินะ”

“หึหึ… ยังจะเป็นฝีมือใครได้อีก” เดนิสย้อนถามอย่างโอหัง

ไครัทหรี่ตาลง ชำเลืองมาทางไคลน์ ผู้มีใบหน้าไม่โดดเด่น อย่างเชื่องช้า

มันทราบเป็นอย่างดีว่า ลำพัง ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสคงไม่มีทางจัดการโจรสลัดชื่อดังทั้งสองพร้อมกันได้แน่ อย่าว่าแต่ ‘เหล็กกล้า’ แม็กวิตี้เลย แม้กระทั่ง ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ ก็อาจไม่มีปัญญา

มีข่าวลือว่าเดนิสลงมือสำเร็จเพราะได้รับความช่วยเหลือจากนักผจญภัยทรงพลัง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมัง

ชายคนนี้เองหรือ… ไครัทจ้องเข้าไปในดวงตาไคลน์ และไม่พบความกังวล ตึงเครียด หรือหวาดระแวง เป็นดวงตาราวกับท้องทะเลลึกไร้ขอบเขต

ไม่ผิดแน่… หรืออย่างน้อย ชายคนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเพลิงพิโรธ!

ไครัทขยิบตาให้เอ็ดมันตันและคนอื่น เป็นการส่งสัญญาณลับให้เพิ่มความระมัดระวัง

“แล้วมาทำอะไร” ไครัทไม่สานต่อประเด็นไร้สาระ รีบเข้าเรื่องทันที

เดนิสชำเลืองไคลน์เล็กน้อย เมื่อได้สัญญาณอนุญาต มันกล่าวกับไครัท

“มาดูว่าพวกนายมีอะไรขายบ้าง”

ไครัทชี้นิ้วไปบนโต๊ะ

“ทั้งหมดนั่น”

โต๊ะตัวดังกล่าวเต็มไปด้วยสิ่งของพิสดาร เช่นนกหวีดกระดูกขาว ปี่สก็อตหยาบ ใบไม้เหล็กสีดำ และก้อนหินโชกเลือด

โดยไม่รอให้ไคลน์หรือเดนิสเริ่มตรวจสอบ ไครัทปรบมือเสียงดังและเริ่มพูด

“ฉันมีงานให้พวกนายทำ หากทำสำเร็จ เลือกหยิบไปได้เลยหนึ่งชิ้นโดยไม่คิดราคา”

มันหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเสริม

“หากอ้างอิงจากคำพูดของคนนอก สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษ แต่เป็นเพียงวัตถุวิญญาณ และจะเสื่อมพลังลงเมื่อเวลาผ่านไป บางชิ้นเสื่อมเร็ว บ้างชิ้นเสื่อมช้า”

“งานอะไร” ไคลน์ซักถามเยือกเย็น โดยไม่ปิดบังว่าเดนิสเป็นเพียงคนติดสอยห้อยตาม

ไครัทสอดมือเข้าไปในผ้าห่มเหนือเข่า หยิบปึกกระดาษสีขาวจำนวนหนึ่งออกมาถือ

“ค้นหาแหล่งกบดานของพวกมัน หากจับเป็นจะยิ่งได้รับรางวัลตอบแทนมากกว่าปรกติ”

มันยกแขนขึ้น เผยให้ไคลน์เห็นภาพเหมือนของสี่บุคคล หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้ชาย ดวงตาสีฟ้าคราม

เลติเซีย·โดเรล่า… ไคลน์จดจำได้ทันทีว่ากลุ่มต่อต้านกำลังตามหาใคร

ชายหนุ่มเพิ่งได้พบหล่อนไปเมื่อคืน สตรีผู้เป็นทั้งนักโบราณคดีและนักผจญภัย แถมยังโดยสารเรือลำเดียวกันเมื่อช่วงสาย โดยอีกฝ่ายต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิก ‘นิกายมอสส์’ หรือไม่ก็ ‘แก่นรุ่งอรุณ’

เดนิสพยายามจ้อง ก่อนจะเริ่มคุ้นเคย

ทันใดนั้น มันนึกได้ว่าตนเคยพบหญิงสาวคนดังกล่าวที่ไหน

เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างตน เพิ่งเสกภาพของหล่อนเห็นในฝัน!

หมอนี่ถามกัปตันช่วงบ่าย จากนั้นก็พัวพันกับเธอทันทีในช่วงเย็น… เครือข่ายข้อมูลของเขาทรงพลังขนาดนี้เชียว?

เดนิสพยายามหักห้ามใจมิให้หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้าง ด้วยเกรงว่าไครัทและเอ็ดมันตันจะพบความผิดปรกติ

ถ้าเป็นเรื่องทำนองนี้ เดนิสเป็นงานมาก

กลุ่มต่อต้านซึ่งเป็นสาวก ‘เทพสมุทร’ กำลังตามล่าตัวเลติเซีย… ศาสนาเทพสมุทรแผ่ขยายไปทั่วหมู่เกาะรอสต์ ย่อมรวมถึงเกาะไซมีม… เมื่อคืนเราพบงู… รูปลักษณ์ของเทพสมุทรคืองูทะเลยักษ์…

ไคลน์นำข้อมูลมาปะติดปะต่อจนเกิดเป็นสมมติฐานเบื้องต้น

นักโบราณคดีเลติเซียและคณะได้ขโมยสิ่งสำคัญออกจากวิหารเทพสมุทรในป่าลึกของเกาะไซมีม ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดในคืนดังกล่าว และในวันถัดมา กลุ่มต่อต้านได้ตามล่าตัวทันที…

หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ตอบพอเป็นพิธี

“แล้วจะช่วยจับตามองให้”

เราจะไม่ยุ่งกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณมารทรงพลังเด็ดขาด และถ้าจำเป็น ก็คงต้องรายงานให้ทางการทราบ…

ชายหนุ่มเสริมสองประโยคหลังเงียบงัน

ไครัทพยักหน้ารับ

“ลองดูก่อนว่าอยากได้ชิ้นไหน”

ไคลน์เดินไปทางโต๊ะ ขณะเตรียมซักถามระหว่างเลือก สัญชาตญาณของมันพลันถูกกระตุ้นรุนแรง จนต้องหันไปมองวัตถุทางฝั่งขวาของโต๊ะตามจิตใต้สำนึก

วัตถุชิ้นดังกล่าวคือดาบสั้นทำจากกระดูกสีขาวนมสด ยาวเลยหนึ่งศอกไม่มาก ลักษณะบางเฉียบ มีรอยสีแดงเข้มแต้มหลายจุด

สามารถกระตุ้นสัมผัสวิญญาณเราได้…

ไคลน์เหยียดแขนขวาออกไป เตรียมหยิบของมีคมขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด

แต่ในวินาทีปลายนิ้วสัมผัส เสียงเพรียกอันสิ้นหวังและเจ็บปวดพลันกังวานในหัว กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นลอยแตะปลายจมูก พร้อมกันกับการเห็นภาพมายา เป็นร่างอันเน่าเปื่อยและบิดเบี้ยว กำลังจมอยู่ในกองเมือกของเสีย

หน้าผากไคลน์ประสบอาการปวดแปลบฉับพลัน คล้ายถูกของมีคมกรีดแทง ก่อนจะได้สติและรีบชักมือกลับตามสัญชาตญาณ

แปลกมาก… ไม่ใช่วัตถุวิญญาณธรรมดา…

อย่างไรก็ตาม ไคลน์ผู้เคยผ่านเรื่องราวโชกโชนย่อมไม่สะทกสะท้อน เพียงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย

ชายหนุ่มพยายามระงับตัวเองมิให้เปิดเนตรวิญญาณ ด้วยเกรงว่าจะได้เห็นในสิ่งไม่ควรเห็น ได้ยินในสิ่งไม่ควรได้ยิน

เห็นภาพดังกล่าว ไครัทและเอ็ดมันตันหันมาสบตากันพร้อมรอยยิ้ม

“ดาบกระดูกเล่มนั้นมีพลังในการสูบเลือดศัตรู นับว่ามีสายตาเฉียบแหลมไม่เหลว อยากได้ใช่ไหม ไม่ต้องห่วง ราคาไม่แพง”

หือ… พยายามขายของจนผิดวิสัย…

ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกทันทีและกล่าวหน้านิ่ง

“ไม่ต้องการ ไม่เอาชิ้นไหนทั้งนั้น”

หากไครัทไม่กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมา ไคลน์มีแผนจะซื้อดาบกระดูกไปสำรวจบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่พฤติกรรมจงใจขายของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มเกิดความหวาดระแวง และตัดสินใจละทิ้งแผนเดิม

ไครัทโบกมือไปมา

“ไม่แพงจริงๆ หรืออยากได้ชิ้นอื่นไหม?”

“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น” รูม่านตาไคลน์ขยายออกเล็กน้อย ตามด้วยการหันหลังกลับและเดินตรงไปทางประตูทันที

เดนิสลังเล แต่ก็รีบตามไป

เอ็ดมันตัน—เจ้าของรอยสักงูทะเลยักษ์สีฟ้าบนท่อนแขน จ้องมองผู้มาเยือนเดินจากไปอย่างเงียบงัน ท่าทีคล้ายกับต้องการยื่นมือออกไปคว้าไว้ แต่สุดท้ายก็มิได้กระทำสิ่งใด

ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักผจญภัยทรงพลัง ผู้ลงมือสังหาร ‘เหล็กกล้า’ แม็กวิตี้และ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้อย่างง่ายดาย!

ด้านนอกห้อง ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เอาแต่สับเท้าเดินลงบันไดอย่างรีบร้อน ส่วนเดนิสเพียงเร่งฝีเท้าตามด้วยความประหลาดใจ

เมื่อประเมินจากสถานการณ์และอุปนิสัยของอีกฝ่าย เพลิงพิโรธตัดสินใจไม่ซักถาม

เมื่อคนทั้งสองเดินกลับมายังจัตุรัส กลุ่มชนพื้นเมืองจำนวนมากที่เคยกลับมารวมตัวกราบไหว้ พลันแตกฮือและวิ่งหนีเข้าไปในตรอกมืดอีกครั้ง

แต่คราวนี้มีบางจุดแตกต่าง ชายคนหนึ่งยังคงคุกเข่ากราบไหว้ในจุดเดิม ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ

ไคลน์เพียงมองตรงไปข้างหน้า เดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะชะลอฝีเท้า

เดนิสจ้องชายปริศนาด้วยความสงสัย และพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายแห้งผากราวกับก้อนหินผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี

แปะ!

เศษเนื้อข้างแก้มของชายคนดังกล่าวหลุดออกจากใบหน้า พร้อมด้วยขนเคราสีเทาหนึ่งกระจุก หล่นลงบนพื้นจนเกิดเสียง

คล้ายกับความชุ่มชื้นในร่างกายถูกดูดออกไปจนหมดเกลี้ยง

เดนิสถึงกับสะดุ้ง แต่มันไม่กล้าเสียเวลาแช่อยู่นาน รู้ว่าตอนไหนควรทำตัวอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์พิสดารชนิดหาคำอธิบายไม่ได้

คนทั้งสองเปลี่ยนถนนเส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งนำพาตัวเองออกจากย่านชนพื้นเมือง และรีบเดินไปขึ้นรถม้าเช่า

คนขับรถม้าเองก็เป็นชนพื้นเมือง อายุราวสี่สิบ ผิวสีเข้ม เสียงหัวเราะกังวานสดใส

ผ่านไปกลางทาง คนขับเกิดเงียบงันและไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย บรรยากาศภายในห้องโดยสารเงียบจนเดนิสได้ยินเสียงหัวใจของตนดังคมชัดประหนึ่งกลองศึก

ไคลน์เม้มปาก แต่ยังคงเงียบ

เพียงไม่นาน รถโดยสารพลังม้าลากได้แล่นมาถึงเขตท่าเทียบเรือ และเนื่องจากมีแผนต้องเปลี่ยนชุดก่อนกลับห้อง เดนิสจึงบอกให้คนขับจอด

เมื่อลงจากรถ ไคลน์ไม่หันไปจ่ายเงิน ไม่แม้กระทั่งหยุดรอ รีบจ้ำเท้าเดินออกไปไกล เดนิสที่ได้เห็นเช่นนั้นพลันมึนงง

มันรีบโยนเงินให้คนขับสองซูล ก่อนจะวิ่งตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างร้อนรน

หลังจากวิ่งได้ไม่กี่ก้าว มีบางสิ่งดลใจให้เดนิสหันกลับไปมองคนขับ และพบว่าอีกฝ่ายกำลังคุกเข่าลง ใบหน้าเปี่ยมความศรัทธาอย่างแรงกล้า ก่อนจะก้มลงจูบพื้นด้วยน้ำตานองหน้า ลงบนจุดที่ไคลน์เคยเหยียบยืน

……………………