ราชันเร้นลับ 538 : ชำระล้าง

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 538 : ชำระล้าง โดย Ink Stone_Fantasy

เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?

เดนิสไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น

ฉากตรงหน้ามิได้ทำให้มันตกตะลึง แต่เป็นความรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง คล้ายกับการกระโดดลงไปในถังน้ำแข็งบนเรือตอนเมา จนความเย็นเฉียบกัดกินไล่จากนิ้วหัวแม่เท้าไปจนถึงสมอง

เกิดอะไรขึ้น… ทำไมเหตุการณ์รอบตัวถึงดำเนินไปอย่างผิดแผกเช่นนี้…

เดนิสสูดลมหายใจเต็มปอด พยายามฝืนตัวเองให้หันหลังกลับ และรีบเดินตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไป

มันพบว่านักผจญภัยเสียสติเริ่มเร่งจังหวะฝีเท้าขึ้นจากเดิม ถึงขั้นต้องไล่ตามด้วยการวิ่ง

ผ่านถนนเส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งเข้าตรอกค่อนข้างแคบ ทันใดนั้น เดนิสเห็นเงารางของบางสิ่งร่วงลงมาจากต้นไม้ กีดขวางทางเดินตรงหน้าตนพอดิบพอดี

แปะ!

ตามลำตัวหุ้มด้วยเกล็ด ร่างกายมันเลื่อมเลื้อยขดไปมา ศีรษะทรงสามเหลี่ยม และอ้าปากกว้างพร้อมกับเผยลิ้นสองแฉก

งูพิษตัวเล็ก!

แม่เย็*! ทำไมถึงมีงูในฤดูแบบนี้ได้!

เดนิสมิได้หวาดกลัวสิ่งมีชีวิตประเภทนี้สักเท่าใด ถึงขั้นเคยย่างกินบ่อยครั้ง เพียงแต่สถานการณ์อันบีบเค้นหัวใจ ได้กระตุ้นให้มันตื่นตระหนกง่ายกว่าปรกติ

หลังจากเดินอ้อมงูตัวดังกล่าว เดนิสมองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณและพบว่า ทั้งรางน้ำบนพื้นทั้งสองฝั่ง ตรงมุมมืดของบ้านหลังเก่า และบริเวณก๊อกน้ำสาธารณะขึ้นสนิม ทุกจุดล้วนมีดวงตาแนวตั้งหลากสี กำลังจ้องมองมาทางตนอย่างเลือดเย็น!

เดนิสพลันสั่นระริก เป็นความรู้สึกคล้ายกับหนังศีรษะกำลังถูกกระหน่ำแทงด้วยเข็มหมุดนับพันเล่ม

มันไม่คิดแช่อยู่ในจุดเดิมนาน และไม่คิดเผ่นหนีไปทางอื่น เพียงกัดฟันวิ่งไล่ตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปให้ทัน

เมื่อเข้ามายังด้านในโรงแรมวายุคราม ขณะกำลังเดินขึ้นบันไดไม้ เดนิสเงยหน้าขึ้นและเตรียมซักถามไคลน์ถึงรายละเอียดของเหตุการณ์

แต่ทันใดนั้น มันเกิดแน่นหน้าอกกะทันหัน ลมหายใจเริ่มติดขัดขาดห้วง

เดนิสรู้สึกราวกับตนกำลังดำน้ำในทะเลลึก และถูกกระแสน้ำบีบอัดจากทุกสารทิศ

ซ่า!

มันได้ยินเสียงคลื่นทะเลซัดสาดแผ่วเบา พร้อมกับเห็นภาพมายาของคลื่นน้ำตกปริมาณมหาศาล กำลังพรั่งพรูออกจากร่างกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์ คล้ายกับชายคนนี้คือจุดศูนย์กลางของมหาสมุทรกว้างใหญ่

ท่ามกลางท้องทะเลมายา ร่างกายสีฟ้าขนาดมหึมากำลังเหยียดตัวเด่นตระหง่านประหนึ่งเสาหินต้นใหญ่ คอยค้ำจุนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตามลำพัง

นี่มัน…!

เดนิสพลันชะงักฝีเท้ากลางอากาศ ไม่กล้าเหยียบลงไปบนขั้นบันไดส่งเดช

สำหรับความรู้สึกคล้ายกันนี้ มันเคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต ย้อนกลับไปสมัยงานชุมนุมโจรสลัดครั้งใหญ่ การปรากฏตัวของ ‘ราชาห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ ได้มอบบรรยากาศและความรู้สึกสะกดข่มรุนแรงยิ่งปัจจุบันหลายเท่า โจรสลัดทั่วไปแทบไม่มีใครกล้าเงยหน้ามอง มีเพียงกลุ่มพลเรือซึ่งสามารถขัดขืนได้อย่างยากลำบาก

เดนิสมั่นใจมาก ความรู้สึกเช่นนี้มิได้มีต้นตอมาจากพลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์

เพราะหากอีกฝ่ายสามารถแผ่ออร่าทัดเทียมครึ่งเทพได้จริง การล่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ ก็ไม่จำเป็นต้องยืมมือทูตพิพากษาเลยสักนิด

ทะเล… คลื่น…

เมื่อคำทั้งสองผุดขึ้นในหัว เดนิสเชื่อมโยงไปถึงศาสดาของกลุ่มต่อต้านทันที

‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า!

หรือจะเป็นเพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์สัมผัสกับดาบกระดูกเล่มนั้นเข้า จึงได้รับคำสาปของ ‘เทพสมุทร’ ด้วยเหตุผลบางประการ…

หมายความว่า คำสาปเทพสมุทรได้ทำให้ชายในจัตุรัสคนนั้นต้องเนื้อแก้มหลุดเพราะขาดความชุ่มชื้น…

ยังรวมไปถึง ปฏิกิริยาตอบสนองสุดประหลาดของคนขับรถม้าที่หมอบกราบและจูบพื้น นั่นก็อาจเป็นเพราะมันสัมผัสถึงออร่าของเทพสมุทร…

ถ้าอย่างนั้น… เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้… เราควรหนีดีไหม… จะได้ไม่ถูกลูกหลงคำสาปไปอีกคน… อ…อย่างน้อยก็ยังกลับมาเก็บศพให้ได้…

ไม่สิ อาจยังมีทางช่วย… ถ้าเราประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิตเพื่อถามกัปตัน ด้วยความรู้อันกว้างขวางของเธอ เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจมีทางรอด… บ้าจริง! พิธีกรรมดังกล่าวต้องกระทำในรัศมีห้าร้อยไมล์ทะเล แต่ตอนนี้ฝันทองคำยังแล่นมาไม่ถึง ต้องรออีกอย่างน้อยครึ่งวัน…

หลังจากหยุดครุ่นคิดสักพัก เดนิสสลัดความกังวลและรีบเดินเข้าไปในห้องพักสุดหรูของตนกับเกอร์มัน

ไคลน์ยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาที่เคยมีสีน้ำตาลเข้ม ปัจจุบันถูกฉาบด้วยสีน้ำเงินจนเกือบดำ

ทันใดนั้น ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนของตน และลงกลอนปิดประตูมิดชิด

เดนิสยืนรอด้านนอก ด้วยความสัตย์จริง มันต้องการหนีไปให้พ้นจากระยะคำสาป แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก เดนิสรู้สึกว่า ตนอาจยังพอมีทางช่วยเหลืออีกฝ่ายได้บ้าง

ภายในห้องนอน ไคลน์หลับตาสนิท กำลังรอคอยโอกาสกันเหมาะสม

จนกระทั่ง มันลุกขึ้นเริ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว แต่ละก้าวท่องคาถาให้สอดคล้อง

เมื่อเสร็จขั้นตอน เสียงเพรียกอันแสบโสตประสาทเริ่มดังกังวานในหัว ก่อนที่จิตไคลน์จะพุ่งตรงไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางความเงียบสงัด ไคลน์ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ของใครบางคน

จนกระทั่ง จิตของชายหนุ่มถูกเคลื่อนย้ายมายังตำแหน่งเก้าอี้เดอะฟูล—หัวโต๊ะทองแดงยาวลายเก่าแก่โบราณ อย่างสมบูรณ์

เมื่อก้มมองลงไป ท่ามกลางกระแสการไหลของสายหมอกสีเทาใต้ฝ่าเท้า ภาพมายาของงูทะเลตัวใหญ่กำลังปรากฏตรงหน้าไคลน์

ฉากหลังเป็นซากปรักหักพังโบราณบรรยากาศมืดสลัว งูทะเลตัวดังกล่าวกำลังเลื้อยรอบเสาหินที่เหลือเพียงครึ่งต้น ศีรษะอันน่ารังเกียจกำลังยกขึ้นและจ้องตรงมา ปากชุ่มเลือดของมันอ้ากว้าง เผยให้เห็นฟันโค้งซึ่งยาวกว่าข้อศอกมนุษย์

เขี้ยวซี่ยาวสีขาวนมสด มีคราบแห้งสีแดงเข้มเกรอะกรัง น้ำลายเหนียวข้นไหลย้อย

งูทะเลยักษ์สะบัดหางไปมาอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นคลื่นสมุทรซัดสาดถาโถม จนซากปรักหักพังด้านหลังเริ่มพังครืน

ทันใดนั้น ฉากใต้ฝ่าเท้าไคลน์เริ่มแตกกระจัดกระจาย โดยไม่ว่างูทะเลยักษ์จะพยายามดิ้นรนอย่างเกรี้ยวกราดสักเพียงใด แต่ชะตากรรมของมันก็ไม่แปรเปลี่ยน มีเพียงเสียงหวีดร้องอันทุกข์ทรมานดังก้องกังวาน ก่อนจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางกระแสสายหมอก

ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงสีดำของเดอะฟูล จ้องมองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเงียบงัน ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ เป็นเวลานาน

ปัจจุบัน กระแสสายหมอกยังคงไหลวนรอบห้วงมิติอย่างเชื่องช้าและไร้สุ้มเสียงเช่นเคย คล้ายกับฉากเช่นนี้เกิดขึ้นมาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาโดยไม่แปรเปลี่ยน

ผ่านไปราวสิบวินาที ไคลน์เอนหลังพิงพนัก ถอนหายใจยาว และพ่นชื่อหนึ่งออกมา

“เทพสมุทร… คาเวทูว่า…”

หลังจากสัมผัสดาบกระดูก ชายหนุ่มตระหนักถึงความผิดปรกติได้ทันที

โดยระหว่างสนทนากับ ‘หัวล้าน’ ไครัท ไคลน์พบว่าร่างกายของตนเริ่มถูกบุกรุกด้วยพลังงานชั่วร้ายในปริมาณน้อยและอ่อนแอ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งทวีความเย็นเฉียบและเริ่มกัดกร่อนดวงวิญญาณของตนทีละนิด

ชายหนุ่มคิดไวทำไว รีบหันหลังกลับและเดินออกมาโดยไม่รีรอ เมื่อเวลาผ่านไป มันเริ่มพบว่าพลังงานชั่วร้ายได้แผ่ออกไปส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมข้างเคียงด้วย ขณะเดียวกันก็พยายามสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อกับสถานที่ห่างไกลสักแห่ง

ตลอดทางกลับ ชายหนุ่มต้องเพิ่งสมาธิเพื่อรับมือการกัดกร่อนทางวิญญาณ โดยพยายามไม่สัมผัสสิ่งของรอบตัว เพื่อมิให้คนบริสุทธิ์ได้รับผลกระทบมากกว่านี้

ไคลน์เชื่อว่า หากตนให้ความสนใจกับเหตุการณ์ประหลาดรอบตัว พลังการกัดกร่อนจะทวีความรุนแรงจนไม่สามารถแก้ไขได้อีก

เดิมที ชายหนุ่มมีแผนจะแวะเข้าห้องน้ำในละแวกดังกล่าว และอาศัยพลังของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาในการปกป้องตัวเองจากพลังงานชั่วร้ายและเย็นเฉียบ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไคลน์เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน และต้องการหนีให้พ้นจากย่านชนพื้นเมืองเสียก่อน จึงค่อยกระทำสิ่งใดต่อ

สืบเนื่องจาก บริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยสาวก ‘เทพสมุทร’ จำนวนมาก ไคลน์ไม่มีทางทราบว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลต่อสาวกมากเพียงใด การใช้ห้องน้ำจึงนับว่าเสี่ยงอันตรายเกินไป

ระหว่างนั้น มันสัมผัสได้ว่า หากตนรีบ ‘ขจัด’ พลังงานชั่วร้ายออกไปก่อนคำสาปจะกำเริบ เศษเสี้ยวพลังบางส่วนอาจยังตกค้างอยู่ตามร่างกายและผิวหนัง และไม่มีทางทราบเลยว่าจะเกิดผลกระทบใดตามมาบ้าง

ไคลน์จึงรอโอกาสอย่างใจเย็น ปล่อยให้พลังงานชั่วร้ายและเย็นเฉียบแทรกซึมเข้ามาในดวงวิญญาณเสียก่อน จึงค่อย ‘ชำระล้าง’ อย่างสมบูรณ์แบบในคราวเดียว

หลังจากวิเคราะห์เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด ชายหนุ่มใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว พลางพึมพำกับตัวเอง

“ไม่แข็งแกร่งเท่าไร…”

เทพสมุทรอ่อนแอกว่าที่มันคิดไว้มาก!

แผนเดิมของไคลน์คือ เตรียมรับมือกับการบุกรุกและแผนชิงร่างกายของคาเวทูว่าด้วยวิธีเดียวกับอามุนด์ นั่นคือการใช้ไพ่จักรพรรดิมืดและเทวทูตกระดาษ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เทพสมุทรกลับถูกพลังพื้นฐานของห้วงมิติสายหมอกจัดการจนสิ้นซากไปเสียก่อน

ไคลน์จึงได้ข้อสรุปว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่า มีระดับต่ำกว่า ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์พอสมควร ถึงจะประเมินว่าพลังของฝ่ายหลังเหมาะแก่การแทรกซึมดวงวิญญาณ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า อามุนด์ในคราวนั้นเป็นเพียงร่างอวตาร

หรือจะเป็นเพราะ เทพสมุทรถูกโบสถ์วายุสลาตันไล่ต้อนอย่างหนักจนพลังเสื่อมถอยลง? ไม่เพียงเท่านั้น ระดับของมันก็น่าจะต่ำกว่าเทวทูต แข็งแกร่งกว่าครึ่งเทพปรกติเพียงเล็กน้อย และสามารถตอบสนองคำวิงวอนของสาวกได้ในระยะจำกัดแค่หมู่เกาะรอสต์…

ไคลน์พยายามรื้อฟื้นความทรงจำ และเริ่มพบว่า ‘อาการ’ ของเทพสมุทรคาเวทูว่าไม่ปรกติมาตั้งแต่แรก

“วิญญาณมารตนนี้อ่อนแอจนผิดวิสัย ราวกับพร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อ… ไม่เพียงเท่านั้น ฉากหลังซึ่งเป็นซากปรักหักพังบรรยากาศมืดสลัว กลิ่นอายของที่นั่นคล้ายคลึงโลกวิญญาณมาก… หรือว่ามันใช้สถานที่ดังกล่าวบนโลกวิญญาณ เพื่อหลบหนีการจับกุมของโบสถ์วายุสลาตันมาตลอด?”

ไคลน์เอนพลังพิงเก้าอี้พลางผุดสมมติฐานใหม่

“เหตุการณ์ในวันนี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะนักโบราณคดี ‘เลติเซีย’ ได้ขโมยสิ่งสำคัญไปจากวิหารร้างบนเกาะไซมีม ส่งผลให้เทพสมุทรที่อยู่ในสภาพร่อแร่เจียนบ้าคลั่งจากการกดดันอย่างหนักหน่วงของโบสถ์วายุสลาตัน มีอาการย่ำแย่ลงจนไม่สามารถรักษาเสถียรภาพได้อีกต่อไป… ระหว่างสั่งให้สาวกออกไปทวงคืนสมบัติชิ้นสำคัญกลับมา เทพสมุทรได้เตรียมอีกหนึ่งทางออกให้ตัวเอง นั่นคือการสิงร่างใครสักคนแทน โดยดาบกระดูกเล่มนั้นคงเกิดจากชิ้นส่วนร่างกายครึ่งเทพโดยตรง และแฝงพลังงานของเทพสมุทรเอาไว้เล็กน้อย หากพบเป้าหมายเหมาะสมสำหรับสิงร่าง มันจะแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณเหยื่อทันที และสร้างอุโมงค์เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณเพื่อเตรียมย้ายจิตของตนมายังร่างเหยื่อ… แต่เห็นได้ชัดว่าคาเวทูว่าไม่ถนัดในการทำเรื่องแบบนี้ เพราะไม่พลังสำหรับฟักตัวในครรภ์เหมือนกับอสรพิษปรอท และไม่มีพลังเหมือนผู้เย้ยเทพ อามุนด์ ที่สามารถฝังตัวเป็นปรสิตในดวงวิญญาณของเหยื่อได้… สำหรับคาเวทูว่า การจะสิงร่างเป้าหมายจำเป็นต้อง ‘กัดกร่อน’ ให้วิญญาณเหยื่อเสียหายและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียก่อน จึงค่อยย้ายวิญญาณของตนเข้าไปอาศัยแทน”

หากเป็นไปตามสมมติฐานของเรา เทพสมุทรที่ใกล้ร่วงหล่นคงเผยพฤติกรรมประหลาดออกมาอีกหลายครั้งในอนาคต…

ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และไม่คิดแช่อยู่บนมิติเหนือสายหมอกนานนัก รีบห่อหุ้มจิตกลับมายังโลกความจริง

ชายหนุ่มคลายกลอน เปิดประตูห้อง และเดินกลับออกไปยังห้องรับแขก

เดนิสเห็นดังนั้นถึงกับสะดุ้ง

มันเพ่งมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นานสองนาน ก่อนจะซักถามอย่างหวาดระแวง

“น…นายไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?”

ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึม ตอบสั้นกระชับ

“สะสางเสร็จแล้ว”

เสร็จแล้ว…?

เดนิสมองซ้ายทีขวาที ตามด้วยการชำเลืองเข้าไปในห้องนอนไคลน์ และพบว่าออร่าเทพสมุทรได้เลือนหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ราวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าทั้งหมดเป็นแค่ภาพลวงตา

หมอนี่เข้าไปทำอะไรในห้องนอนกันแน่? ผ่านไปเพียงหนึ่งสองนาที คำสาปของเทพสมุทรกลับหายเป็นปลิดทิ้ง… ชิ! เห็นทีความลับของมันจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกแล้ว…

เดนิสขยับออกมาสองก้าว เปิดทางให้อีกฝ่ายได้เดินสะดวก

ด้านข้างโต๊ะที่เต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะ ‘หัวล้าน’ ไครัท ผู้กำลังนั่งบนวีลแชร์เหล็ก หันไปตัดพ้อกับเอ็ดมันตัน เจ้าของรอยสักงูทะเลยักษ์สีฟ้า

“ช่างน่าเสียดาย”

“อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น… หากชายคนนั้นหยิบดาบขึ้นมาตรวจสอบ ไม่ใช่แค่จับ…” เอ็ดมันตันถอนหายใจห่อเหี่ยวในทำนองเดียวกัน

ไครัทชำเลืองดาบกระดูกทรงโค้งเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา

“วิวรณ์ของท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้มาเยือนจากภายนอกหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อีกครั้ง…”

เอ็ดมันตันคุกเข่าลง แววตาของมันราวกับกำลังสารภาพบาปต่อองค์เทพ

จนกระทั่งผ่านไปหลายที ไครัทและเอ็ดมันตันพลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากสองจุดพร้อมกัน

พวกมันรีบเงยหน้าขึ้น และพบว่าพวกพ้องสองคนล้มลงอย่างกะทันหัน ผิวหนังของทั้งคู่ผอมซูบและเหี่ยวแห้งประหนึ่งก้อนหินตากแดด สูญเสียความชุ่มชื้นโดยสิ้นเชิง

ไครัทและเอ็ดมันตันหันมาจ้องหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปรกติ

คนทั้งสองรีบพยุงตัวขึ้น สายตาหันไปมองทางโต๊ะวางวัตถุวิเศษเรียงราย

ดาบกระดูกสีขาวนมสดอยู่ในสภาพปริแตก ก่อนจะแหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

……………………