ตอนที่ 542 โอบกอดแสงอาทิตย์ / ตอนที่ 543 เป็นฝ่ายกอดเอง

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 542 โอบกอดแสงอาทิตย์ 

 

 

           มั่วไป๋ยิ้มอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ปกปิดเลยสักนิด ดุจดั่งอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ[1] 

 

 

           “บางทีฉันก็อยากจะเดินออกมาจากค่ำคืนอันมืดมิดพร้อมโอบกอดแสงอาทิตย์แล้ว” 

 

 

           เขาอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดมานานเกินไปแล้ว 

 

 

           นานจนเขาเองใกล้จะลืมแล้วว่าพระอาทิตย์คืออะไร 

 

 

           เขาเคยกระวนกระวายใจทั้งยังหวาดกลัวพระอาทิตย์ แต่ตอนนี้เขาลองดู ลองยืนภายใต้พระอาทิตย์ รับรู้ถึงความความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูมั่วไป๋ ถ้าเวลานี้เขาอยู่เคียงข้างมั่วไป๋ เขาจะอดไม่ได้ที่จะอยากกอดมั่วไป๋ไว้แน่ๆ 

 

 

           ไม่มีความต้องการอะไรทั้งนั้น แค่เพียงกอดเขาแบบเรียบง่าย 

 

 

           ได้ยินมั่วไป๋พูดอย่างนี้ เจียงมู่เฉินมีความสุขมาก เขาเชิดหางตาเล็กน้อย นัยน์ตาดอกท้อปรากฏรอยยิ้ม “แสงอาทิตย์ก็อยากกอดนายเหมือนกัน” 

 

 

           …… 

 

 

           เมื่อไป๋จิ่งกลับมา มั่วไป๋กำลังนั่งอยู่บนโซฟา นั่งกอดเข่าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

           เขาเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้าด้วยความใส่ใจ นั่งลงข้างๆ มั่วไป๋ 

 

 

           ที่จริงเทียบกับการนั่งข้างๆ แล้ว เขายิ่งอยากจะเดินเข้าไปโอบกอดมั่วไป๋ไว้ 

 

 

           เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งกังวลหวาดกลัวมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม กลัวตัวเองจะทำให้มั่วไป๋ไม่สบายใจ 

 

 

           “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” ไป๋จิ่งใช้เสียงแห่งความห่วงใยเอ่ยอยู่ข้างหูมั่วไป๋ 

 

 

           หลังจากมั่วไป๋ได้ยินเสียงนี้ แพรขนตาก็สั่นสะท้าน เขาเงยหน้ามองไม่รู้ว่าไป๋จิ่งกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “กลับมาแล้วเหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งพยักหน้า 

 

 

           หลังจากตามมาจนถึงอเมริกา ระหว่างไป๋จิ่งกับมั่วไป๋เวลาส่วนใหญ่จะอยู่กันในสภาวะความเงียบ 

 

 

           ที่จริงไป๋จิ่งอยากจะเข้าใกล้มั่วไป๋มาก อยากจะใกล้ชิดเขาอีกนิด 

 

 

           แต่พอนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าจะใกล้ชิดมั่วไป๋ได้อย่างไร 

 

 

           ไป๋จิ่งวางมั่วไป๋ไว้ลึกสุดใจ ดังนั้นถึงได้คำนึงถึงความรู้สึกของมั่วไป๋เป็นพิเศษ คำนึงจนถึงกระทั่งว่าระวังทุกคำพูด ทุกการกระทำ 

 

 

           เขาหวังว่าจะไม่ทำให้มั่วไป๋รู้สึกไม่พอใจ 

 

 

           ยิ่งให้ความสำคัญ ยิ่งระมัดระวัง 

 

 

           ยิ่งระมัดระวัง ยิ่งไม่รู้จะเข้าหาได้อย่างไร 

 

 

           ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทั้งสองคนกลายเป็นสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ แล้วสภาพเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าจะทำลายมันออกมาได้อย่างไรจนถึงตอนนี้ 

 

 

           ไป๋จิ่งว้าวุ่นไปทั้งใจ อยากจะพูดอะไรสักอย่างที่ค่อนข้างจะเหมาะสมกับมั่วไป๋  

 

 

           เขายังไม่ทันได้คิดดีๆ มั่วไป๋กลับเอ่ยปากออกมา “เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะได้รับเงินสองแสนหยวนมา” 

 

 

           ไป๋จิ่งเงิบ ประโยคต่อไปของมั่วไป๋คงจะไม่ใช่ว่าต้องการจะคืนเขาหรอกใช่ไหม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรไป๋จิ่งไม่อยากให้มั่วไป๋คืนเงินจำนวนนี้ให้เขา 

 

 

            เขารู้ว่ามั่วไป๋ไม่ขาดเงิน แต่เขาก็ยังอยากให้มั่วไป๋รับเอาไว้ 

 

 

           “ในนั้นมีหมายเหตุเขียนว่าเป็นค่าปรับของนาย” 

 

 

           ไป๋จิ่ง “…” 

 

 

           ‘ค่าปรับ ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรถึงต้องโดนปรับเงินด้วย’ 

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยต่อ “ฉันคิดดูแล้ว ในเมื่อเป็นค่าปรับ…” 

 

 

           ไป๋จิ่งตื่นตระหนก แม้แต่หายใจดังก็ยังไม่กล้า 

 

 

           “ในเมื่อเป็นค่าปรับ งั้นก็ฝากไว้ที่ฉันก่อนแล้ว” มั่วไป๋เอ่ยประโยคนี้จบอย่างเรียบเฉย สีหน้าดูเยือกเย็นมาก 

 

 

           แต่ในความเป็นจริง ฝ่ามือเริ่มเหงื่อออกแล้ว 

 

 

           เขาใช้วิธีนี้เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของตัวเองกับไป๋จิ่งโดยสมบูรณ์ในฐานะของคนรัก 

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ถูกทำให้ตกใจเช่นกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตกใจกลัว แต่เป็นความดีใจและแปลกใจ 

 

 

           เขาดีใจมาก เป็นความดีใจที่เหมือนใกล้จะเอ่อล้นออกมาแล้วแบบนั้น 

 

 

           ไป๋จิ่งพยายามกำมือไว้ อยากทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจสักหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรรอยยิ้มที่มุมปากก็กดเก็บไว้ไม่อยู่ ค่อยๆ เชิดขึ้นทีละนิดๆ 

 

 

           จู่ๆ ไป๋จิ่งก็คว้ามือมั่วไป๋ที่วางข้างๆ 

 

 

           เวลานี้เขาถึงได้รู้สึกตื่นตัวเล็กน้อย ที่แท้มั่วไป๋เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน 

 

 

           ความคิดที่ว่ามั่วไป๋เองก็ตื่นเต้นเหมือนกันกระจายอยู่เต็มในหัวของไป๋จิ่ง เพียงชั่วครู่เดียวก็ควบคุมไม่อยู่แล้ว 

 

 

           แม้แต่มือที่จับมั่วไป๋อยู่ก็สั่นเทาเล็กน้อย 

 

 

           ทันใดนั้นหน้าผากของไป๋จิ่งก็มีเลือดอุ่นร้อนสูบฉีดขึ้นมา ควบคุมไม่อยู่เลยสักนิด จู่ๆ เขาก็ยื่นมือไปโอบไหล่ของมั่วไป๋ไว้ 

 

 

           ดวงตาสีดำขลับจ้องมองมั่วไป๋ตาไม่กะพริบ 

 

 

      

 

 

[1] ดุจดั่งอาบสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ให้พูดเมื่อต้องการบอกว่ารู้สึกสดชื่นรื่นอารมณ์สราญใจ เพลิดเพลินจำเริญใจ เหมือนกำลังล่องแล่นกลางสายลมโชยอ่อนๆ เย็นๆ สดชื่นของฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 543 เป็นฝ่ายกอดเอง 

 

 

            หน้าอกเกิดการแปรปรวนอย่างรุนแรง ราวกับกำลังสะกดความรู้สึกอย่างยากลำบาก 

 

 

           มั่วไป๋ไม่เคยเห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนี้มาก่อน เพียงชั่วขณะหนึ่งหัวใจก็เต้นและบีบตัวแน่นโดยไม่รู้ตัว 

 

 

           แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ เร็วขึ้น เตือนสติมั่วไป๋ทีละนิดๆ ว่าเขาใจเต้นเพราะไป๋จิ่ง 

 

 

           “มั่วไป๋ ขอบคุณนะ…” 

 

 

           เขามองอยู่ตั้งนาน แต่พูดแค่เพียงคำว่า ‘ขอบคุณ’ 

 

 

           นาทีนั้นที่ได้สบตากับมั่วไป๋ ในใจของไป๋จิ่งก็คิดถึงอะไรไม่ได้แล้ว 

 

 

           ‘เขาจะพูดอะไรได้ ขอโทษเหรอ’ 

 

 

           พูดว่าเขาเสียใจทีหลัง พูดว่าเขารู้สึกผิดบาปในใจ พูดว่าอยากจะย้อนกลับไปอดีตเหลือเกิน 

 

 

           แต่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว เขาจะมารู้สึกผิดบาปเสียใจอีกอย่างไรก็ย้อนกลับไปอดีตไม่ได้ เขาไม่มีวันจะได้กลับไปถึงอดีต ไปดูหลินฝานที่ไร้เดียงสาคนนั้นได้ 

 

 

           เขาไม่มีวันจะได้กอดหลินฝานในตอนนั้นไว้แน่นๆ แล้วทำตามหัวใจตัวเองบอกหลินฝานอย่างซื่อสัตย์ได้ 

 

 

           ที่จริงเขาหมดหนทางจะดึงหลินฝานออกจากใจของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

           เขาไม่มีวันจะได้ย้อนกลับไปในวันเกิดของเขาวันนั้น เขาจะไม่อยู่ทำโอทีที่บริษัท แต่จะรีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนหลินฝาน ยับยั้งเหตุการณ์ทำร้ายในครั้งนั้นได้ 

 

 

           ยิ่งไม่มีวันจะได้กลับไปยังช่วงเวลาที่หลินฝานได้รับความเจ็บปวด เขาอยู่ข้างกายหลินฝานได้ สงสารเขาไปด้วย รักเขาไปด้วย เดินเคียงข้างเขาออกมาได้ 

 

 

           เขาเข้าใจว่าตัวเองผิดพลาดมามากเกินไปมากๆ แล้วบางความผิดพลาดทั้งชีวิตนี้ก็เอากลับคืนไม่ไหว 

 

 

           ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ 

 

 

           เขาอยากขอบคุณ หลังจากมั่วไป๋ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมา ยังให้อภัยเขาได้อีก 

 

 

           แรงที่ไป๋จิ่งที่โอบเขาไว้เบามากๆ แต่ทั้งตัวไป๋จิ่งกลับเกร็งแน่นสนิทอยู่อย่างนั้น 

 

 

           ที่จริงไป๋จิ่งอยากจะกอดเขาไว้แน่นๆ แต่ก็กังวล ไม่กล้าใช้แรงมากเกินไป 

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจเงียบๆ ในเมื่อไป๋จิ่งไม่กล้า เช่นนั้นเขาก็จะเป็นฝ่ายทำเองก็ได้แล้ว 

 

 

           ในเมื่อตัวเองตัดสินใจจะให้อภัยไป๋จิ่งแล้ว 

 

 

          เป็นผู้ชายโตๆ แล้วทั้งคู่ ไม่มีอะไรต้องมาตั้งแง่ใส่กันตลอดแล้ว 

 

 

           มั่วไป๋เอื้อมมือไปกอดไป๋จิ่งไว้เบาๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวนั้น ไป๋จิ่งก็ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ 

 

 

           เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที จู่ๆ ไป๋จิ่งก็กอดมั่วไป๋ไว้อย่างแนบแน่น ฝังคนไว้ในอ้อมอกตัวเอง 

 

 

           ลมหายใจของไป๋จิ่งรดรินต้นคอ มั่วไป๋ปล่อยให้เขากอด ไม่เคลื่อนไหวแม้เพียงสักนิด 

 

 

           ทันใดนั้นไป๋จิ่งก็คลายมือเล็กน้อย มองมายังมั่วไป๋ โน้มตัวเข้าใกล้แล้วประกบจูบเขาทันที 

 

 

           มั่วไป๋เองก็ไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าด้อยกว่า ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างใช้แรงกันเต็มที่  

 

 

           ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ทั้งสองคนถึงค่อยๆ หยุดลงได้ 

 

 

           ทำราวกับว่าไปตีกันมารอบหนึ่ง หมดเรี่ยวหมดแรงกันไปข้าง 

 

 

           ไป๋จิ่งกอดมั่วไป๋ไว้อย่างแน่นสนิท ทั้งสองคนอิงแอบแนบชิดกัน ไม่พูดอะไรสักคำ พวกเขากอดกันอยู่เช่นนี้ 

 

 

           ใช้เวลาอยู่นานลมหายใจเพิ่งจะกลับมาสงบนิ่งได้อย่างช้าๆ ไป๋จิ่งถึงค่อยเอียงหน้ามาจุมพิตมั่วไป๋อย่างแผ่วเบา 

 

 

           ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก เหมือนว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ก็ชัดเจนในใจของกันและกันแล้ว 

 

 

           มั่วไป๋โดนไป๋จิ่งกอดจูบแบบนี้ สิ่งที่อยากจะแสดงออกไปไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้แล้ว 

 

 

           ไป๋จิ่งดีใจจนแทบบ้าเหมือนหัวใจจะออกมาเต้น 

 

 

           ชาติก่อนเขาอาจจะสั่งสมบุญมามากจริงๆ ดังนั้นถึงได้พบเจอมั่วไป๋คนที่ดีขนาดนี้ 

 

 

           มั่วไป๋ซบไหล่ไป๋จิ่งอยู่อย่างนี้ ไม่อยากพูดอะไร ไม่อยากทำอะไร รู้สึกว่าอยู่สงบเงียบแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว 

 

 

           ทั้งชีวิตนี้ของเขา มองอะไรเปิดกว้างและปล่อยวาง ไม่มียึดติดอะไร 

 

 

           สิ่งที่ยึดติดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือไป๋จิ่ง 

 

 

           ผ่านเรื่องราวมาตั้งมากมายจนถึงตอนนี้ กอดกับไป๋จิ่งเช่นนี้ได้ เขาก็พอใจมากแล้ว 

 

 

           มากกว่านี้ เขาก็ไม่คิดอยากจะได้แล้ว 

 

 

           ไม่รู้ว่านึกถึงอะไรขึ้นมาได้ มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           …… 

 

 

           ทั้งสองคนกอดกันได้ไม่นาน มั่วไป๋รู้สึกจะเขินอายบ้างแล้ว ถึงแม้ว่าประตูจะปิด ไม่มีใครเดินผ่านเข้ามา 

 

 

           แต่มั่วไป๋ก็ยังยื่นมือไปผลักไป๋จิ่งออก