จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 911 : แวมไพร์ผู้ชาญฉลาด!
“โอ้โหเจ้านาย..ท่านช่างแข็งแกร่งจริงๆเลย! เจสเตอร์ภูมิใจในตัวท่านมากที่สุด”
“ว่าแต่เจ้านายที่เคารพ..เหตุร่างกายของท่านถึงเบาแบบนั้นล่ะ”
เจสเตอร์จ้องหลิงหยุนเขม็งและนึกถึงภาพที่หลิงหยุนกางแขนทะยานขึ้นไปบนฟ้า..
หลิงหยุนเพิ่งจะดูดลมปราณของโตโยโทมิเข้าไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เวลานี้ร่างกายของเขาจึงกลับสู่สภาพสมบูรณ์สูงสุดอีกครั้ง หลิงหยุนจึงทำตัวไม่ต่างจากเศรษฐีใหม่ ด้วยการเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจภูมิประเทศโดยรอบอย่างละเอียด ส่วนในใจก็ครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับศัตรูชุดใหม่ที่กำลังตามล่าเขาอย่างไม่หยุดหย่อน..
เมื่อได้ฟังคำประจบประแจงของเจสเตอร์หลิงหยุนก็กระโดดขึ้นไปบนแผ่นหลังของมันพร้อมกับตอบไปว่า
“มันคือวิชาตัวเบา..เจ้ารู้จักหรือไม่ล่ะ”
“เจ้าช่วยบินให้เร็วกว่านี้หน่อย!”
“ขอรับเจ้านาย!”
เจสเตอร์เร่งความเร็วขึ้นเป็นสองเท่าและเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวทั้งคู่ก็บินขึ้นไปถึงหน้าผาซึ่งอยู่สูงไปราวหนึ่งร้อยเมตร จากนั้นจึงบินสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และเป้าหมายก็คือยอดเขาเทียนเหมาเฟิง..
เจสเตอร์บินข้ามเนินเขาไปอีกไม่กี่ลูกในที่สุดก็หยุดอยู่ตรงตำแหน่งครึ่งกลางของยอดเขาเทียนเหมาเฟิง..
“ช่างเป็นยอดเขาที่สูงและอันตรายมากจริงๆ!” หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมอง และถึงกับร้องอุทานออกมา..
“เจ้านาย..จะให้ข้าบินขึ้น หรือบินลงดี”
หลิงหยุนร้องสั่งเจสเตอร์“ขึ้นสิ.. ขึ้นไปบนยอดสูงสุดเลย!”
“ได้เลยเจ้านาย..ตามใจท่าน!”
เจสเตอร์ตอบพร้อมกับกระพือปีกอย่างแรงและทั้งคู่ก็บินสูงขึ้นไปอีกราวหกร้อยเมตร และในที่สุดก็ไปถึงยอดสูงสุดของเขาเทียนเหมาเฟิง
หลิงหยุนยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูงพร้อมกับจ้องมองลงไปด้านล่างสำรวจดูทัศนียภาพโดยรอบ
พื้นที่บนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นส่วนที่กว้างที่สุดนั้นมีพื้นที่ไม่เกินห้าร้อยตารางเมตร และจุดที่สูงที่สุดนั้นดูเหมือนจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึงสี่สิบเมตรด้วยซ้ำไป
บนยอดเขานั้นไม่มีต้นไม้มีเพียงพื้นดินว่างเปล่า และหินขรุขระเต็มไปหมด จะมีบ้างก็เพียงวัชพืชเท่านั้น ยอดเขาแห่งนี้สูงจากพื้นดินถึงหนึ่งพันสี่ร้อยเมตร ในยามค่ำคืนเช่นนี้เสียงลมพัดจึงดังหวีดหวิวไปทั่ว ผมของหลิงหยุนปลิวสะบัด และเสื้อผ้าก็กระพือตามแรงลม
“มองจากยอดเขาแห่งนี้เขาอื่นๆ ดูเล็กไปถนัดตา!”
ยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขามากมายในจุดที่หลิงหยุนยืนอยู่จึงมองเห็นภูเขาน้อยใหญ่เรียงรายขึ้นๆ ลงๆ สลับกันไปราวกับคลื่นในมหาสมุทร และในยามค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ทิวเขาเหล่านี้จึงดูคล้ายกับมังกรที่กำลังหลับใหล ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าจึงดูราวกับเทพนิยายก็ไม่ปาน..
“ที่นี่..นอกจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว คนธรรมดาทั่วไปขึ้นมาไม่ได้แน่!”
หลังจากที่ชื่นชมดื่มด่ำกับความงดงามของทัศนียภาพโดยรอบแล้วหลิงหยุนก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดไปสำรวจพื้นที่รอบๆ ตามขอบยอดเขา และพบว่าด้านล่างนั้นมีหน้าผาอยู่เต็มไปหมด ทำให้ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านล่างได้ทั้งหมด..
“ตกลงไปก็มีแต่ตายเท่านั้น!ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับสังหารศัตรูจริงๆ!”
เจสเตอร์นั้นดูเหมือนจะพบเห็นทัศนียภาพมุมสูงเช่นนี้อยู่บ่อยๆมันจึงดูไม่ใส่ใจกับทิวทัศน์ด้านล่างมากนัก
“เจ้านาย..พวกเราจะคอยศัตรูอยู่ที่นี่งั้นรึ”
หลิงหยุนกำลังจะอ้าปากตอบแต่แล้วก็ต้องชะงักไป! และรีบหันหน้าไปมองทางทิศตะวันตกแทน แต่เมื่อใช้เนตรหยิน-หยาองมองดู หลิงหยุนก็ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง..
บนท้องฟ้ามืดมิดที่ไกลออกไปนั้นหลิงหยุนเห็นจุดสีดำเล็กๆ หลายจุดรวมตัวกันหนาแน่นคล้ายเมฆดำก้อนใหญ่หลายก้อน และปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า กลุ่มเมฆดำเหล่านั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางยอดเขาเทียนเหมาเฟิงแห่งนี้!
‘แวมไพร์งั้นรึ’
ม่านตาของหลิงหยุนหดเล็กลงทันทีและรีบร้องตะโกนบอกเจสเตอร์ “เจสเตอร์.. คู่ต่อสู้ของเจ้ามาแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ!”
นอกเหนือจากเหล่านินจาที่ตามหลิงหยุนมาอย่างรวดเร็วแล้วที่เร็วไม่แพ้กันก็ดูเหมือนจะเป็นแวมไพร์นี่ล่ะ!
เจสเตอร์เองก็สังเกตเห็นกลุ่มเมฆดำทะมึนที่อยู่ไกลๆเช่นเดียวกัน มันถึงกับร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ
“โอ้โห..มากันมากขนาดนี้เชียวรึ! อย่าบอกนะว่าท่านดยุคแดร๊กคิวล่านำทีมมาด้วยตัวเอง?!”
หลิงหยุนรู้จากเอ็ดเวิร์ดเจสเตอร์ แล้วก็พอลว่า ตระกูลเฉินได้เชิญดยุคแดร๊กคิวล่ามาที่ประเทศจีนด้วย เขาจึงร้องถามอย่างสงสัย..
“ดยุคแดร๊กคิวล่าที่เจ้าพูดถึงนั้นตัวของมันใหญ่โตเพียงใด และมีพละกำลังมากใด?”
ตั้งแต่ที่ช่วยเกาเฉินเฉินออกมาได้หลิงหยุนก็ยังไม่ได้กลับเข้าตระกูลหลิงอีกเลย จึงยังไม่ได้พูดคุยกับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ด ทำให้ไม่รู้เหตุการณ์เกี่ยวกับแวมไพร์มากขึ้นเท่าไหร่!
สีหน้าของเจสเตอร์เปลี่ยนเป็นเหยเกเล็กน้อยในขณะที่ตอบหลิงหยุน“ดยุคแดร๊กคิวล่าเป็นแวมไพร์ที่เก่งกาจมากทีเดียว เจ้านายที่เคารพ.. ดูเหมือนครั้งนี้พวกเราจะพบศึกหนักซะแล้ว!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยจากนั้นจึงหันไปพูดกับเจสเตอร์ว่า “เจสเตอร์.. นี่เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวข้างั้นรึ หลังจากที่เจ้าได้รับเลือดของข้าเข้าไป เจ้าก็กลายเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาทันที เหตุใดเพียงแค่ได้ยินชื่อดยุคแดร๊กคิวล่า ถึงได้มีสีหน้าหวาดกลัวเช่นนี้ได้!?”
เจสเตอร์โต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้“”
“เจ้านายที่เคารพ..ต่อให้ข้าแข็งแกร่งมากขึ้นก็จริง แต่ก็ยังเป็นแค่แวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ ยังห่างจากดยุคแดร๊กคิวล่าถึงสามขั้น..”
“เจ้านาย..ครั้งนี้ท่านต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม! เพราะท่านดยุคแดร๊กคิวล่าต้องใช้มนต์ดำอย่างแน่นอน..”
“มนต์ดำงั้นรึ!”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น เขาเคยเห็นนางฟ้ามีปีก และรู้ว่าพวกนางสามารถใช้มนต์ขาวได้..
หลิงหยุนกำลังจะถามเพิ่มติมแต่ก็สังเกตเห็นว่าฝูงแวมไพร์บินเข้ามาใกล้ในระยะสองสามร้อยเมตรแล้ว และกำลังรีบเร่งมุ่งหน้ามาที่ยอดเขาแห่งนี้ หลิงหยุนจึงร้องตะโกนบอกเจสเตอร์..
“เอาล่ะ..ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว สู้กับพวกมันดีกว่า!”
ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะพูดจบด้วยซ้ำไปคันธนูสีทองก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หลิงหยุนยกคันธนูขึ้นเล็งไปด้านหน้า และทันทีที่ปล่อยสายธนู ลูกธนูทั้งสามดอกก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!
คันธนูรูปพระจันทร์เสี้วยถูกน้าวสายออกมาจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงแล้วลูกธนูก็พุ่งออกไปราวกับดาวตก..
ฟิ้ว..ฟิ้ว.. ฟิ้ว..
เพื่อแสดงให้เหล่าแวมไพร์ได้เห็นถึงแสนยานุภาพและความแข็งแกร่งของตนเอง หลิงหยุนจึงไม่ลังเลที่จะเป็นฝ่ายยิงธนูจู่โจมฝูงแวมไพร์ก่อน!
ด้วยประสิทธิภาพของคันธนูทอง..ลูกธนูจึงสามารถพุ่งไปได้ไกลนับพันเมตร และในระยะห่างที่ไม่ถึงห้าร้อยเมตรนี้ ประกอบกับพลังและความแข็งแกร่งของหลิงหยุน จึงทำให้ลูกธนูพุ่งไปด้วยความเร็วชนิดที่ใครก็ยากจะหลบหลีกได้ทัน สิ้นเสียงดังผึง.. ค้างคาวหกเจ็ดตัวก็ถูกลูกธนูแทงทะลุร่างทันที!
ลูกธนูทั้งสามดอกของหลิงหยุนนั้นแต่ละดอกยิงโดนค้างคาวอย่างน้อยสองตัว!
หลังจากผ่านศึกการต่อสู้กับแวมไพร์บนเขาหยุนเหมิงมาหลิงหยุนจึงเริ่มรู้และเข้าใจพลังของแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ และเคานต์ได้มากขึ้น เขาจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแวมไพร์ในขั้นนี้ เพราะเขาสังหารพวกมันมามากมายนับไม่ถ้วนแล้ว แต่หลิงหยุนกังวลกับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิส และดยุคแดร๊กคิวล่ามากกว่า..
เจสเตอร์ถึงกับกลืนน้ำลายพร้อมกับถามหลิงหยุนว่า“เจ้านาย.. มีแวมไพร์มากขนาดนี้ พวกเราจะรับมือได้ยังไง”
“เจ้าแค่ป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยก็พอส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
หลิงหยุนมองกลุ่มเมฆสีดำขนาดมหึมาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเสียงของพวกมันนั้นฟังแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก สถานการณ์ในเวลานี้คงไม่ต่างจากมดเล็กๆ ที่เมื่อรวมตัวกันจำนวนมาก ก็สามารถกัดกินช้างขนาดใหญ่จนตายได้ หลิงหยุนจึงไม่คาดหวังว่าเจสเตอร์จะสามารถเอาชนะพวกมันได้..
ลูกธนูอีกสามดอกของหลิงหยุนที่เพิ่งยิงออกไปนั้นนับว่าสามารถสร้างความวุ่นวายให้กับฝูงค้างคาวแวมไพร์ได้อย่างมากทีเดียว เพราะพวกมันต่างก็แยกย้าย และแตกออกเป็นเส้นทางสีดำห้าสายทันที..
“แค่นี้ก็หวาดกลัวแล้วรึไม่กล้าจู่โจมข้าแล้วหรือยังไง?”
ลูกธนูของหลิงหยุนที่ยิงออกไปทั้งสองรอบนั้นสามารถสังหารและทำให้ฝูงค้างคาวได้รับบาดเจ็บพร้อมกันสิบกว่าตัว ค้างคาวตัวอื่นๆ ที่กำลังบินตามนั้นถึงกับชะงัก และร้องงึมงำอยู่กลางอากาศก่อนที่จะกลายร่างเป็นนกยักษ์..
ปัง..ปัง.. ปัง..
ฝูงแวมไพร์ตอบคำถามหลิงหยุนด้วยเสียงปืน..เวลานี้กระสุนจำนวนมากมายราวกับห่าฝน ได้พุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนกับเจสเตอร์ที่ยืนอยู่ด้านล่างทันที!
“แย่แล้ว!เร็วเข้า.. รีบลงไปจากที่นี่ก่อน!”
หลิงหยุนหันไปร้องตะโกนบอกเจสเตอร์ให้รีบลงจากยอดเขาทันที..
“โอ้..ท่านซาตาน! พวกมันบ้าไปแล้ว”
เวลานี้ร่างของเจสเตอร์มีลูกกระสุนปืนฝังอยู่ราวสิบกว่าลูกมันร้องคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด และรีบวิ่งหนีมุ่งหน้าไปทางหน้าผาด้านล่างทันที!
หลิงหยุนเองก็วิ่งไม่หยุดเช่นกันเขาใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไป ส่วนเจสเตอร์ก็กลางปีกใหญ่ป้องกันกระสุนปืนให้หลิงหยุนวิ่งหนีไปได้คล่องขึ้น..
ในยามที่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณเขาเช่นนี้เจ้านายและบริวารต่างก็วิ่งหลบกระสุนที่ฝูงแวมไพร์กระหน่ำยิงลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝนนั้น หลิงหยุนถึงกับตกใจจนร้องอุทานออกมา
“แย่แล้ว..คิดไม่ถึงว่าแวมไพร์พวกนี้จะฉลาดถึงเพียงนี้!”
ดยุคแดร๊กคิวล่าไม่ได้อยู่ในฝูงแวมไพร์นี้และแวมไพร์หลายตนก็พกปืนยาวติดตัวมาด้วย!
ปัง..ปัง.. ปัง..
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องนภาหลิงหยุนกับเจสเตอร์ต่างก็วิ่งหนีกันให้จ้าละหวั่น และกระสุนเหล่านั้นก็มียิงโดนเจสเตอร์บ้าง จนมันถึงกับต้กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เจ้างั่งเอ๊ย!รีบไปหาหิน หรือต้นไม้ใหญ่กำบังตัวเร็วเข้า!”
หลิงหยุนนั้นมีวิชาดาราคุ้มกายและชุดผ้าแพรไหมดำ ต่อให้กระสุนปืนยิงโดนร่าง เขาก็แค่รู้สึกระคายเคืองเท่านั้น แต่เขาจะต้องคอยระวังไม่ให้กระสุนปืนโดนศรีษะของตนเองเท่านั้น..
หลิงหยุนวิ่งหนีไปก็เงยหน้าขึ้นมองฝูงแวมไพร์ และจัดการใช้ลูกธนูยิงพวกมันบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมกับครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับเหล่านกยักษ์นี้..
เวลานี้แวมไพร์กำลังบินไล่กราดยิงหลิงหยุนอยู่บนท้องฟ้าหลิงหยุนจึงไม่ต่างจากเป้ามีชีวิต และให้พวกมันไล่ล่าเหมือนที่ถังเมิ่งพูด ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็คงยากที่จะทานทนได้หากยังเป็นเช่นนี้!
“เจ้านาย..หรือพวกเราจะกลับเข้าไปที่ตัวเมืองดี เพราะถ้าอยู่ในตัวเมืองแวมไพร์พวกนี้ไม่กล้ายิงแน่นอน..”
เจสเตอร์ถูกยิงเข้าถึงยี่สิบกว่าแห่งมันคิดไม่ออกว่าจะสู้กับฝูงแวมไพร์มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร จึงได้แต่ร้องถามหลิงหยุน..
“เจ้าบ้า..นี่เจ้าเป็นปีศาจจริงงั้นรึ พบเจอความลำบากเพียงแค่นี้ก็คิดที่จะหนีแล้ว..”
“เอาล่ะ..พวกเราบินลงไปที่หน้าผาด้านล่าง!”
จากนั้นหลิงหยุนก็กระโดดขึ้นไปยืนบนแผ่นหลังของเจสเตอร์พร้อมกับโน้มตัวลงวางฝ่ามือแนบกับแผ่นหลังของมัน แล้วจัดการถ่ายเทปราณเสวียนและปราณหวงลงไปในร่างกายของเจสเตอร์..
ช่างน่าอัศจรรย์นัก!หลังจากที่เจสเตอร์ได้รับปราณเสวียนกับปราณหวงเข้าไป อาการเจ็บปวดจากที่ถูกกระสุนปืนก็ค่อยๆ จางลง..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ“ไม่น่าเชื่อ.. ปราณเสวียนกับปราณหวงของข้าสามารถระงับอาการเจ็บปวดของแวมไพร์ได้งั้นรึ”
ส่วนเจสเตอร์ก็กำลังกรีดร้องออกมาด้วยความรู้สึกสบาย“เจ้านาย.. มันวิเศษมากจริงๆ! เจสเตอร์มีความสุขยิ่งกว่าได้สูบกัญชาเสียอีก!”
“เอาล่ะ..หยุดตรงนี้!”
หลิงหยุนสั่งให้เจสเตอร์หยุดเมื่อบินลงมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่งเขาจัดการใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาขุดเข้าไปในหน้าผาให้กลายเป็นถ้ำหินที่ลึกราวสามเมตร เพื่อให้คนสองคนสามารถเข้าไปหลบด้านในได้
เมื่อทั้งคู่เข้าไปหลบในถ้ำที่ขุดแล้วหลิงหยุนก็บอกกับเจสเตอร์ว่า..
“เจสเตอร์..เจ้ารีบรักษาตัวเองให้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บก่อน ส่วนข้าจะคิดหาวิธีกำจัดแวมไพร์พวกนั้นเอง!”
หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิและเริ่มคิดหาวิธีสังหารศัตรู!
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 912 : กลับมาเป็นฝ่ายจู่โจม!
“พวกมันคงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ!นี่น่ะเหรอแวมไพร์ผู้สูงส่ง และหยิ่งทะนง นี่มันแวมไพร์ไร้ยางอายชัดๆ!”
“น่าอายจริงๆถึงกับใช้ปืนไล่ยิงมนุษย์ธรรมดา!”
“แต่ไม่สิ..!ท่านไม่ใช่มนุษย์ธรรมดานี่นา..”
“เจ้านายที่เคารพ..ท่านจะจัดการพวกมันยังไง”
เจสเตอร์วิ่งไปรอบๆถ้ำพร้อมกับคำรามออกมาด้วยความโมโห มันลืมอาการบาดเจ็บของตนเองไปเสียสนิท..
หลิงหยุนยังคงนั่งสงบนิ่ง..ยังไม่ทันที่เขาจะได้รับมือกับเหล่าแวมไพร์ ก็ต้องวิ่งหนีออกมาด้วยความพ่ายแพ้แล้ว! แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งขัดสมาธิอย่างสงบ และกำลังครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับศัตรู..
หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดว่าตนเองนั้นมีอาวุธใดสำหรับจู่โจมฝูงแวมไพร์ได้บ้าง..เขามีกระบี่โลหิตแดนใต้ กระบี่พายุ และลูกธนูเงิน
นอกเหนือจากอาวุธเหล่านั้นเขาก็ยังมียันต์เตโชอีกมากมาย เข็มเงินอีกนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีพลังหยินและพลังหยางที่บริสุทธิ์ ยังมีกระแสวนหยิน-หยางที่สามารถดูดลมปราณของคู่ต่อสู้ได้..
แต่เวลานี้ศัตรูของเขามีปืนยาวและใช้วิธีการบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วยิงลงมาที่พื้นดิน..
“อ๊าก..”
“โอ๊ย..”
มือซ้ายของหลิงหยุนซัดตะปูสี่ดอกออกไปทางหน้าถ้ำจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาพร้อมกันสองเสียง ค้างคาวสองตัวที่บินเข้ามาสืบข่าวหน้าถ้ำ ถูกตะปูซัดของหลิงหยุนจนร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าไป!
“พวกมันมีปืนกันมากมายถึงเพียงนี้เชียวรึดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะเตรียมให้พวกมันอย่างเต็มที่เลยสินะ..”
เล็บยาวของเจสเตอร์เข้าในบนเนื้อตัวของตนเองมันกำลังเอากระสุนที่ฝังอยู่เต็มแผ่นหลังออก ระหว่างนั้นก็ร้องตอบหลิงหยุนไปด้วย..
เจสเตอร์กับพอลนั้นมีงานอดิเรกที่แตกต่างกันเจสเตอร์จึงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องปืนผาหน้าไม้ได้ดีกว่าพอล..
“เจ้านายที่เคารพ..ปืนยาวที่พวกมันใช้อยู่นั้น มีระยะการยิงหวังผลอยู่ที่สองร้อยเมตร แต่ดูจากลูกกระสุนที่พวกมันยิงใส่ข้าแล้ว ปืนยาวพวกนี้คงจะถูกดัดแปลงให้สามารถยิงได้ไกลขึ้นจากเดิมอีกถึงสามร้อยเมตรเลยทีเดียว..”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นระยะการยิงก็หวังผลได้แค่ห้าร้อยเมตรสินะ! ข้าคิดว่าปืนพวกนั้นจะยิงได้ไกลอย่างน้อย 1500 เมตรเสียอีก..”
ความรู้ในเรื่องปืนของหลิงหยุนนั้นก็ไม่ต่างจากความรู้เรื่องรถเลย ความรู้ในเรื่องปืนของหลิงหยุนเท่ากับศูนย์เลยก็ว่าได้ เพราะในใจลึกๆของเขาก็ต่อต้านอาวุธพวกนี้อยู่แล้ว จึงไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ในเรื่องเหล่านี้เลย..
เดิมทีหลิงหยุนคิดว่าอาวุธปืนเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพในการยิงได้ไกลเป็นกิโลเมตรหรือไม่ก็ต้องไกลกว่านั้น เมื่อถูกกระหน่ำยิงเป็นห่าฝนเช่นนั้น หลิงหยุนจึงเลือกที่จะหนีออกมาก่อน เพราะเมื่อครั้งที่อยู่บนเกาะเตียวหยูนั้น เขาก็เคยพบเจอพลังรุนแรงอย่างจรวดนำวิถีมาแล้ว..
จากนั้นเจสเตอร์ก็พูดขึ้นอย่างเหยียดหยัน“เจ้านายที่เคารพ.. แต่ถ้าเป็นปืนพกธรรมดาๆ ก็อย่าหวังว่าจะทำอะไรแวมไพร์อย่างเจสเตอร์ได้เลย ความเร็วของลูกกระสุนปืนพกนั้น ยังไม่เร็วพอที่จะทำให้แวมไพร์อย่างเจสเตอร์หลบไม่ทันหรอก..”
“อีกอย่าง..ถ้าเราสามารถวิ่งหลบวิถีกระสุน หรือวิ่งได้เร็วกว่าความเร็วของลูกกระสุน ยิ่งวิ่งได้ไกลเท่าไหร่ ลูกกระสุนก็จะค่อยๆ อ่อนกำลังลงเอง ถึงตอนนั้นต่อให้กระสุนยิงโดนร่างกาย ก็จะเป็นแค่รอยขีดข่วนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย..”
ดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาทันทีเขาพยักหน้าเล็กน้อย และเพิ่งรู้ว่าตนเองนั้นทำพลาดไป หลังจากฟังเจสเตอร์อธิบายจบแล้ว หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า
“แล้วถ้ายิ่งยิงจากที่สูงลูกกระสุนก็จะพุ่งได้รวดเร็ว และรุนแรงขึ้นกว่าเดิมสินะ!”
หลิงหยุนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากและความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นยิงขึ้นท้องฟ้าแทนล่ะ”
เจสเตอร์กลอกตาไปมาและดูเหมือนมันจะเข้าใจความคิดของหลิงหยุนได้ทันที “เจ้านายที่เคารพ.. ถ้าพวกเราบินอยู่เหนือมันในระยะหนึ่งร้อยเมตร กระสุนของพวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้..”
“ความคิดของเจ้านายก็ยอดเยี่ยมอยู่หรอก..แต่ตอนนี้พวกมันยึดน่านฟ้าบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงไว้หมดแล้ว พวกเราจะบินฝ่าวงล้อมของฝูงแวมไพร์ขึ้นไปได้ยังไง”
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
จู่ๆหลิงหยุนก็หัวเราะเสียงดัง แล้วลุกขึ้นยืนชี้ไปทางยอดเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเทียนเหมาเฟิง พร้อมกับส่งกระแสจิตบอกเจสเตอร์
–เขาลูกนั้นสูงกว่าพันเมตรพวกเราบินไปตั้งหลักที่เขาลูกนั้นก่อน!-
แม้ว่าการมีคนน้อยกว่าจะค่อนข้างเสียเปรียบแต่ก็มีความคล่องตัวกว่ามาก ทำให้สามารถเคลื่อนที่ไปได้ตามต้องการ
เจสเตอร์ถึงกับตบขาตัวเองฉาดใหญ่พร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ “ว้าว.. เจ้านายที่เคารพ! ท่านช่างเฉลียวฉลาดมากจริงๆ!”
หลิงหยุนยิ้มพูดขึ้นยิ้มๆ“เจ้าเลิกสอพลอข้าได้แล้ว! เอาล่ะ.. รีบหลบไปที่เขาฝั่งตรงข้ามกันดีกว่า จะได้บินขึ้นไปยิงหัวพวกมันได้!”
หากปัญหาแค่นี้หลิงหยุนยังไม่สามารถแก้ไขได้ก็คงจะไม่ใช่หลิงหยุน!
“นายกลายร่างเป็นค้างคาวจะได้ไม่เป็นเป้าที่ใหญ่.. ส่วนการต่อสู้ภาคพื้นดินปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
หลิงหยุนร้องบอกเจสเตอร์แล้วแล้วก็ไม่สนใจมันอีกเขาหยิบเข็มเงินอกมาสองเล่มหนีบไว้ที่นิ้วมือ จากนั้นจึงเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจไปรอบๆถ้ำ
จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเวลานี้มีรัศมีในการรับรู้สูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยเมตรไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เลือกขุดอุโมงค์บนหน้าผาที่สูงจากพื้นดินห้าสิบเมตรนี้แน่
“ดูเหมือนพวกมันจะไม่ได้ส่งแวมไพร์มาข้างล่างเลยคงจะตรึงกำลังอยู่ด้านบนเพื่อรอยอดฝีมือของตระกูลเฉินมาเสริมทัพสินะ! ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้ามีโอกาสเช่นนั้นแน่!”
หลิงหยุนยิ้มหยันและกระโดดออกจากอุโมงค์ แล้วร่างสูงใหญ่ก็กระโจนลงไปตามหน้าผาด้านล่าง และหายเข้าไปในป่าหนาทึบ..
เจสเตอร์กลายร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กในขณะที่หลิงหยุนก็กระโดดลงไปตามหน้าผา แล้วหายเข้าไปในป่าด้านล่าง..
หลังจากที่หลิงหยุนเข้าไปในป่าทึบแล้วเขายังไม่วิ่งเข้าไปที่เขาฝั่งตรงข้ามทันที แต่กลับหยุดนิ่งพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด
เนตรหยิน-หยางของหลิงหยุนนั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเท่ากับในเวลากลางวัน ท่ามกลางความมืดและพื้นที่ที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ภูเขาเช่นนี้ การมองเห็นได้ในระยะห้าร้อยเมตรนี้ก็นับว่าสูงสุดที่จะทำได้แล้ว
แต่หากเป็นในตัวเมืองที่ยังพอมีแสงไฟจากท้องถนนและอาคารบ้านเรือน หลิงหยุนก็สามารถมองเห็นได้ไกลเป็นกิโลเมตรเลยทีเดียว
ในเมื่อลิงหยุนมองขึ้นไปไม่เห็นศัตรูศัตรูก็ย่อมที่จะมองไม่เห็นหลิงหยุนซึ่งอยู่พื้นดินเช่นกัน หลิงหยุนแอบหัวเราะอยู่ในใจ และเริ่มออกเดินทะลุป่าไปยังภูเขาฝั่งตรงข้าม ส่วนเจสเตอร์ก็บินนำหน้าหลิงหยุนไป
“เจสเตอร์..ในบรรดาประสาทสัมผัสทั้งห้าของแวมไพร์ ประสาทส่วนใหนไว และมีอานุภาพมากที่สุด”
ระหว่างที่ปีนขึ้นไปบนเขาฝั่งตรงข้ามหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะร้องตะโกนถามถึงจุดอ่อนของแวมไพร์จากเจสเตอร์
แต่กลับได้ยินเพียงเสียง‘จี๊ด.. จี๊ด..’ หลิงหยุนจึงได้แต่คิดในใจว่า หลังจากกลายร่างเป็นค้างคาวแล้ว แวมไพร์ก็ไม่สามารถพูดได้สินะ!
หลิงหยุนจึงได้แต่เงียบและไม่ถามอะไรอีก เวลานี้ทั้งคู่ปีนขึ้นมาเกือบถึงยอดเขาแล้ว ระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่ทั้งคู่ใช้เวลาปีนเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น และเมื่อใกล้ถึงยอดเขาแล้ว เจสเตอร์จึงกลายร่างเป็นนกยักษ์..
เจสเตอร์หันไปตอบคำถามก่อนหน้านี้ของหลิงหยุน“เจ้านายที่เคารพ.. จุดเด่นของแวมไพร์อย่างพวกเราก็คือความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง รองลงมาก็คือประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้กลิ่นเลือดสดๆ ต่อมาก็คือการมองเห็น.. โดยเฉพาะในยามค่ำคืน ส่วนเรื่องความเจ็บปวดน่ะเหรอ.. ถ้าไม่โดนอวัยวะสำคัญเข้า ก็แทบไม่ต้องใส่ใจ!”
“อีกอย่าง..พวกเราเป็นค้างคาวด้วย!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี..
ค้างคาวนั้นเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตในยามค่ำคืนและใช้ระบบการสะท้อนคลื่นเสียงในการออกหาอาหาร ความสามารถในการได้ยินจึงค่อนข้างดี..
“ดีมาก..เอาล่ะ เรารีบขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า!”
หลิงหยุนไม่สนใจที่จะสอบถามเรื่องนี้อย่างละเอียดนักเขาเพียงแค่อยากรู้ถึงความสามารถพิเศษของเหล่าแวมไพร์เท่านั้น
ทั้งคู่ขึ้นไปถึงยอดเขาได้อย่างรวดเร็วหลิงหยุนยืนอยู่บนแผ่นหลังของเจสเตอร์ จากนั้นเจสเตอร์จึงกางปีก และจัดการพาหลิงหยุนบินสูงขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดทั้งเจ้านายและบริวารผู้ซื่อสัตย์ก็ได้บินขึ้นไปอยู่ในระดับสองพันเมตรจากพื้นดิน
“เอาล่ะ..เจ้าใช้ความเร็วสูงสุดบินขึ้นไปให้อยู่เหนือฝูงแวมไพร์ได้เลย!” หลิงหยุนร้องสั่งเจสเตอร์
เพื่อที่จะแก้แค้น..เจสเตอร์สูดลมหายใจลึก จากนั้นใช้กำลังทั้งหมดที่ตนเองมีกระพือปีกใหญ่ และบินขึ้นไปเหนือยอดเขาเทียนเหมาเฟิงอย่างรวดเร็ว
“ไม่น่าเชื่อ..เร็วมากจริงๆ!”
หลิงหยุนเห็นความเร็วในการบินของเจสเตอร์แล้วก็ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชม และได้แต่คิดในใจว่าหากเขาเข้าสู่ขั้นพลังชี่ระดับสี่ได้เมื่อใด ไม่แน่ว่าเขาอาจบินได้เร็วกว่าเจสเตอร์..
แม้เจสเตอร์จะอยู่ในขั้นไวส์เคานต์แต่ความแข็งแกร่งก็เกือบจะใกล้เคียงแวมไพร์ขั้นมาร์ควิส
ไม่ถึงนาที..ทั้งคู่ก็บินขึ้นไปอยู่เหนือยอดเขาเทียนเหมาเฟิงราวหกร้อยเมตร หลิงหยุนจ้องมองฝูงแวมไพร์ที่อยู่ด้านล่าง และเรียกคันธนูทองออกมาทันที จากนั้นจึงกระหนึ่งยิงฝูงแวมไพร์ที่อยู่ด้านล่างอย่างไม่ปราณี
ระยะการยิงหวังผลของคันธนูทองนี้อยู่ที่หนึ่งพันห้าร้อยเมตรแต่เวลานี้หลิงหยุนอยู่เหนือเหล่าแวมไพร์เพียงแค่หกร้อยเมตร อีกทั้งยังเป็นการยิงจากที่สูง จึงแทบไม่ต้องพูดถึงความรุนแรง และรวดเร็วของลูกธนู!
ฟิ้ว..ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ฟิ้ว..
สิ้นเสียงลูกธนูที่ยิงออกไปก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเหล่าแวมไพร์บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาเทียนเหมาเฟิง เหล่าแวมไพร์ต่างกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดผวาเมื่อเห็นลูกธนูพุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่มีแวมไพร์ตนใหนคาดคิดว่าหลิงหยุนจะสามารถฝ่าวงล้อม และขึ้นไปอยู่เหนือศรีษะของพวกมันได้
และพียงแค่พริบตาเดียว..เหล่าแวมไพร์ก็ถูกลูกธนูของหลิงหยุนปักเข้าที่แขนบ้างข้าบ้าง!