ตอนนี้น่ารื่อมู่ต้องการอาหารมากมายทุกวัน ข้าวที่เต็มหม้อข้าวใบใหญ่ของกองทัพนั้นไม่เพียงพอให้นางกิน โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมากองกำลังของอวิ๋นเยี่ยไม่เคยห้ามคนกินอาหารเยอะ ขอเพียงเจ้าสามารถกินได้ก็จะไม่มีใครใส่ใจเจ้า เพียงแต่ห้ามกินทิ้งกินขว้างเท่านั้นเอง
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สะอาดสะอ้านมักจะเป็นที่รักใคร่ของผู้คน พ่อครัวมักจะยืนมองนางถือหม้อขนาดใหญ่จากไปท่ามกลางเสียงเรียก “พี่ชาย” อันแสนหวาน จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วหุงข้าวใหม่อีกหนึ่งหม้อ ในกองกำลังนี้ก็ไม่ได้ขาดแคลนข้าวหนึ่งหม้อของนาง
ดูเหมือนนางมักจะหิวอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ไปหาอวิ๋นเยี่ยก็จะมาทันเวลาตั้งโต๊ะอาหารพอดี ขณะกินอาหารนางไม่เพียงจะเอาแต่กินโดยไม่กล้ามองหน้าใครแล้ว ยังแอบหยิบขนมเปี๊ยะปิ้งใส่ในอกเสื้อนางด้วย ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะกินของได้มากมายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
เมื่อมาถึงกระโจมนาง อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจชัดเจน น่ารื่อมู่หยิบขนมเปี๊ยะออกจากอกเสื้อของนางและหักแบ่งให้กับเด็กๆ ชาวทูเจวี๋ยอีกสิบกว่าคน พวกเขาเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามา ก็เหมือนฝูงแกะที่ตกใจกลัว ทุกคนวิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังน่ารื่อมู่ในทันใด
หลี่จิ้งกำลังลดการแจกจ่ายเชลยศึก ในสถานการณ์ที่มีหิมะปิดถนนเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่ค่อยดีนักแต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ หากไม่เป็นเพราะได้พบป่าสนเมื่อวานนี้ เกรงว่าทุกคนคงจะไม่มีอาหารร้อนๆ กินกันแล้ว ต้องบอกให้รู้ว่าเมื่อวานนี้ตอนทำอาหาร อวิ๋นเยี่ยสั่งให้รื้อรถลากเลื่อนสองคันแล้วนำไม้มาเป็นฟืน ทุกคนจึงมีอาหารร้อนๆ กิน
ไม่ต้องไปคำนึงถึงสภาพอันน่าเวทนาของค่ายเชลยศึก จากการที่ได้เห็นสภาพทาสชาวฮั่นที่น่าสังเวชซึ่งได้รับการช่วยเหลือกลับมา อวิ๋นเยี่ยก็สามารถจินตนาการได้ว่าหลี่จิ้งจะปฏิบัติต่อเชลยชาวเผ่าทูเจวี๋ยอย่างไร
อวิ๋นเยี่ยดึงตัวน่ารื่อมู่ที่ยังตื่นตระหนกอยู่ออกมาจากกระโจม พานางไปยังที่พักของทาสชาวฮั่น ซุนซือเหมี่ยวกำลังรักษาบาดแผลให้ทาสชาวฮั่นเหล่านั้น
นี่คือนรกบนดิน พวกเขาผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูกที่เดินได้ หญิงสาวเหล่านั้นยิ่งน่าสังเวช อวัยวะเพศที่เปื่อยเน่าต้องเผยต่อสายตาสาธารณชน พวกนางดูเหมือนจะไม่รู้สึกอายเลย ปล่อยให้เหล่าทหารเสริมทายาบริเวณแผลของพวกนาง มีแต่กลิ่นเนื้อเน่าลอยตลบอบอวล
ซุนซือเหมี่ยวมองน่ารื่อมู่ด้วยหางตาเย็นชาแล้วหันศีรษะหนี ทำการฝังเข็มที่บริเวณคอเพื่อรักษาคนไข้ที่พยายามจะกินข้าว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถกลืนลงไปได้
น่ารื่อมู่ยืนดูจนตัวสั่นและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก นางรู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงได้มีสภาพเช่นตอนนี้ นางกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะนำความโกรธมาลงที่เด็กเหล่านั้น
อวิ๋นเยี่ยจึงเรียกทหารเสริมที่รู้ภาษาทูเจวี๋ยคนหนึ่งมา แล้วบอกว่า “บอกคำพูดทุกคำของข้าให้นางฟัง” ทหารเสริมพยักหน้ารับคำ
“น่ารื่อมู่ บาดแผลทุกร่องรอยของคนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้าเจ้า ต้องให้ชาวเผ่าทูเจวี๋ยสูญสลายจึงจะสามารถชดเชยได้ นิสัยที่โหดร้ายป่าเถื่อนของชาวเผ่าทูเจวี๋ยนั้นเป็นตัวกำหนดให้เกิดการสังหารหมู่ขึ้นและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ น่ารื่อมู่ เจ้านั้นโชคดี แต่ความโชคดีนี้ข้าหวังว่าจะอยู่กับเจ้าเท่านั้น จะไม่รับเลี้ยงชาวทูเจวี๋ยคนอื่นอีก พวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องได้รับการลงโทษ ไม่เช่นนั้นจะไม่เป็นธรรมต่อคนเหล่านี้” พูดจบอวิ๋นเยี่ยก็เดินจากไป เขาเคยมาที่นี่สองครั้ง เขาไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเหมือนซุนซือเหมี่ยว ทุกครั้งที่เห็นก็เกิดความคิดอยากจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทูเจวี๋ยขึ้นมา
ครั้นกลับมาถึงกระโจม น่ารื่อมู่ก็เดินก้มหน้ากลับมา นางหมอบอยู่แทบเท้าของอวิ๋นเยี่ย ไม่รู้ว่าพูดพึมพำอะไรอยู่ในปาก
อวิ๋นเยี่ยโน้มตัวลงมาแล้วลูบผมยาวของน่ารื่อมู่ ได้แต่ถอนหายใจ ความเกลียดชังนั้นฝังลึกเหลือเกิน ไม่มีทางที่จะรอมชอมได้เลย ชาวเผ่าทูเจวี๋ยมักคิดว่าขอเพียงยอมรับผิด ราชวงศ์แห่งที่ราบภาคกลางก็จะให้อภัยในความผิดพลาดของพวกเขา แต่คราวนี้ไม่มีแล้ว เพราะฮ่องเต้แห่งที่ราบภาคกลางคือหลี่ซื่อหมิน เขาเองก็มีสายเลือดของชาวเผ่าหู รู้จักนิสัยของชาวเผ่าหูดีจนเกินไป เขารู้ว่าชาวเผ่าหูหากไม่เคยผ่านพิธีบัพติศมา[1]ด้วยเลือดจะไม่ยอมจำนน มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่ได้รับความเคารพในทุ่งหญ้า
อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเปลี่ยนความคิดของเขามาโดยตลอด เขามักจะมองชาวเผ่าหูด้วยมุมมองของคนในยุคปัจจุบัน ฉากโหดร้ายเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากเขามากเหลือเกิน แต่คราวนี้จะได้เห็นด้วยตาของเขาเอง เขาละทิ้งความเมตตาส่วนเกินออกไป ในความเป็นจริงบนทุ่งหญ้านั้นไม่ต้องการความเมตตา
สุดท้ายแล้วอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้พาเด็กเหล่านั้นกลับไปที่ค่ายเชลย เขายอมรับการกระทำของน่ารื่อมู่โดยปริยาย ไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่คัดค้าน ความใจอ่อนนี้เกิดขึ้นกับเด็กๆ เท่านั้น เขาตัดใจทำไม่ลงจริงๆ นี่คือโรคตกค้างที่เขาพามาจากโลกยุคปัจจุบันด้วย
หลี่จิ้งดูเหมือนไม่คิดจะรอต่อไปแล้ว เขาคัดเลือกทหารที่แข็งแกร่งหนึ่งหมื่นนายซึ่งเป็นทหารม้าทั้งสิ้น เขาจะฝ่าหิมะไปยังค่ายของข่านเจี๋ยลี่ จางกงจิ่นอยู่รักษาฐาน เมื่อหลี่จิ้งประสบความสำเร็จ เขาจะนำทัพใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนพลเข้าเขาอินซัน
อวิ๋นเยี่ยมอบขนมเปี๊ยะแห้งทั้งหมดในกองกำลังให้กับหลี่จิ้ง ทั้งยังมอบถุงมือหนังแกะที่เย็บอย่างหยาบๆ ให้ทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ด้วย ผู้หญิงชาวฮั่นที่ถูกข่มเหงอวิ๋นเยี่ยได้รับไว้ดูแลทั้งหมด ขณะที่ทำการเย็บถุงมือนั้น แม้แต่หญิงที่อ่อนแอที่สุดก็พยายามลุกขึ้นมารีบเย็บอยู่ข้างกองไฟทั้งวันทั้งคืน
เหอเซ่ามอบเนื้อแห้งโดยแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปใส่ในถุงผ้าป่านไว้ กุนเชียงก็เป็นของที่เขามอบให้ด้วย ได้รับคำชื่นชมจากหลี่จิ้งเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยใช้หม้อขนาดใหญ่ผัดเส้น คิดจะทำเป็นผัดบะหมี่ เขาไม่เคยทำมาก่อนเพียงแค่เคยได้ยินมา ไม่สนใจแล้ว ขอเพียงผัดสุกก็พอแล้ว อย่างไรเสียที่เหล่าทหารกินกันก็คืออาหารหมูอยู่แล้ว อาหารในกองทัพนั้นรับไม่ได้จริงๆ เหนียวๆ หนืดๆ ทั้งหม้อ เมื่อเทใส่ชามก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำมูก ทั้งยังตั้งชื่อเสียน่าฟังว่า “ทังปิ่ง[2]”
ในเมื่อทังปิ่งนี้ยังสามารถกินกันได้ จึงไม่มีเหตุผลว่าผัดบะหมี่นี้จะไม่ถูกปาก อันดับแรกใส่เนยจำนวนมากลงไปรอจนกว่าจะละลาย จากนั้นเทเส้นลงไป ใช้พลั่วผัดเส้นไปมาและสุดท้ายก็เติมเกลือป่น แล้วผัดจนเส้นเริ่มเหลืองจึงค่อยหยุด
หลี่จิ้งรีบใส่น้ำลงไปหนึ่งชามรู้สึกพอใจกับรสชาติมาก ทหารทั้งกองทัพก็เริ่มทำเสบียงสำหรับทหารหนึ่งหมื่นคนเป็นเวลายี่สิบวัน อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะสะเพร่าแม้แต่น้อย สุ่มชิมเนื้อแห้งแม้แต่กุนเชียงก็ไม่ปล่อยผ่าน ไส้กรอกที่ถูกโยนทิ้งไปจำนวนมากทำให้เหอเซ่าเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก เพียงเพราะพบขนม้าสองสามเส้น ก็โยนไส้กรอกหลายร้อยกิโลกรัมลงที่พื้นหิมะ บอกว่าเป็นพวกของไม่ได้มาตรฐาน
หลี่จิ้งทนไม่ได้ อาหารที่เขากินบางครั้งก็มีผมและสิ่งอื่นๆ แปลกปลอมอยู่ในนั้น เมื่ออยู่ในช่วงที่ยากลำบาก หนูวิ่งอยู่ในหม้อข้าวก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอ เขานึ่งไส้กรอกหม้อใหญ่ที่ถูกอวิ๋นเยี่ยโยนทิ้งและกินด้วยความเอร็ดอร่อย ทั้งยังตะโกนเสียงดังด้วยว่าอร่อยมาก
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการหักหน้ากัน คางของเหอเซ่าแทบจะชี้ขึ้นท้องฟ้าแล้ว ทั้งยังถือไส้กรอกที่โดนหาว่าเสียกินจนน้ำมันไหลเยิ้มเต็มปาก ทำให้ทหารเหล่านั้นน้ำลายไหล เรื่องกฎระเบียบด้านความสะอาดของอาหารเพื่อป้องกันเชื้อโรคไม่เกิดประโยชน์ที่จะนำมาใช้ที่นี่ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่มองตาปริบๆ ไปหาพวกโง่เขลาที่ฟังไม่รู้เรื่องถือไส้กรอกคนละชิ้นย่างไฟกินกัน
สักวันพวกเขาจะรู้สึกเสียใจ เมื่อถึงเวลาที่ข้าวบูดและน้ำมันเสียที่ใช้ซ้ำๆ เกลื่อนกลาดอยู่เต็มโต๊ะอาหารของพวกเขา อวิ๋นเยี่ยอยากเห็นใบหน้าที่ร้อนรนแต่จนหนทางของพวกเขามาก ตอนนี้วัสดุมีน้อยเหลือเกิน อาจพูดได้ว่าขาดแคลนเสียด้วยซ้ำ อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ซื่อหมินถึงได้กำหนดราคาของข้าวไว้ที่หนึ่งโต่วราคาสามเหวิน มีเสบียงเยอะจนไม่มีที่ระบายออกเช่นนั้นเชียวหรือ
ทำไมจึงยังมีขอทานอยู่อีกมากมาย คนที่หิวโหยมากมายถึงเพียงนั้น ยุคเจินกวนที่รุ่งโรจน์เป็นเพียงภาพลวงตา ภาพลวงตาที่มีแต่ตระกูลใหญ่ที่อ้วนท้วนกับประชาชนที่ทนทุกข์
อวิ๋นเยี่ยได้ให้เหล่าผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วทำแผ่นรองเข่าขึ้นจำนวนหนึ่ง ใช้หนังหมาป่าทำคู่หนึ่งให้หลี่จิ้งเป็นพิเศษ โรคไขข้อในบั้นปลายชีวิตของเขาทำให้เขาต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสิบปี
สภาพของทุ่งหญ้าหลังจากหิมะหยุดตกสามารถบรรยายได้เลยว่า เมื่อน้ำหยดจะกลายเป็นน้ำแข็งทันที หนาวเย็นเป็นอย่างมาก การกางกระโจมไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรเลย เมื่อลมเหนือพัดมาช่างหนาวเหน็บเข้ากระดูก เริ่มมีคนแข็งตายแล้ว เมื่อนอนตอนกลางคืนตื่นเช้ามาก็กลายเป็นไอศกรีม แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังถูกคนอื่นนำไปกอดเพื่อสร้างความอบอุ่น โดยบอกว่าการอยู่เบียดๆ กันจะช่วยให้อบอุ่นขึ้น
อวิ๋นเยี่ยมองหลังมือของเขาที่บวมเหมือนซาลาเปาโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มือของน่ารื่อมู่เองก็หนาวจนบวมเช่นกัน นางราวกับมองไม่เห็น ยังคงเป็นเหมือนกับนากบกวิ่งหาอาหารทุกซอกทุกมุมในค่ายทหารอย่างวุ่นวาย เพื่อนำมาเลี้ยงอีกสิบปากท้อง
หลี่จิ้งกำลังรอคอยความหนาวเหน็บ ยิ่งหนาวมากเท่าไรเขาก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น อวิ๋นเยี่ยไม่เคยประสบกับความหนาวเย็นรุนแรงเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะตัวสั่นตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กองไฟลุกโชนใหญ่ขึ้น คนนั่งอยู่ห่างจากกองไฟเพียงสองฉื่อ หน้าอกถูกเผาจนไขมันจะละลายออกมาแล้ว แต่แผ่นหลังยังคงหนาวเหน็บเข้ากระดูก เหมือนคำพูดที่ว่าอยู่ในสภาพครึ่งหนาวครึ่งร้อนช่างน่าหนักใจจริงๆ
เหอเซ่าผิงไฟจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว เฉิงฉู่มั่วตั้งใจย้ายมาเพื่อดูแลเขาโดยเฉพาะ ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ยมันใช่การดูแลเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าต้องการมาหาเตาผิง เมื่อเห็นเฉิงฉู่มั่วนอนกอดเหล่าเหอ อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะบีบคอเฉิงฉู่มั่วให้ตายเสีย
ในขณะที่นึกไม่ออกว่าจะรักษาความอบอุ่นในร่างกายได้อย่างไร เหล่าเหอจะต้องตายบนทุ่งหญ้าแน่ ครั้นมองดูที่ริมฝีปากที่แห้งแตกของเหล่าเหอ เขาอ้าปากเหมือนกับเด็กอ่อนที่อยากดื่มน้ำอีกสักนิด เพียงแต่ร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุดทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่ว่าอย่างไรก็กรอกน้ำเข้าปากไม่ได้ น้ำหกราดอยู่ด้านนอกมากกว่าที่เขาดื่มเข้าไปเสียอีก
คนที่เข้มแข็งเพียงไรก็ยังมีขีดจำกัด ในสมัยโบราณที่ขาดวิธีการรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย อุณหภูมิติดลบสามสิบองศาเซลเซียส ทำให้คนจำนวนมากต้องล้มตาย ในประวัติศาสตร์เพียงแต่บันทึกความสำเร็จของหลี่จิ้งเท่านั้น แต่กลับไม่มีบันทึกว่ามีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนเท่าไร ราวกับว่าคนเหล่านั้นคือค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปเพื่อชัยชนะ หมาน้อยเอามือซุกในกางเกงของเขาเพื่อทำให้อุ่นขึ้น เพราะมันเป็นสถานที่ที่อุ่นที่สุดในร่างกายแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนจะต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนุกกับมัน ผิวบนใบหน้าของเขาเปื่อยแตก ถูกความหนาวจนเป็นสีม่วงคล้ำ น้ำมูกแข็งเกาะอยู่บนริมฝีปาก พวกเขารับหน้าที่ในการตัดฟืน หลายวันนี้ไม่ว่าจะตัดมากเท่าไรก็นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงไม่ทัน
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าชาวเอสกิโมใช้ชีวิตอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวจัดเช่นนี้ได้อย่างไร คิดว่าฤดูหนาวของพวกเขาจะต้องหนาวเย็นกว่าตอนนี้มากกระมัง ก่อกระท่อมหิมะหลังเล็กๆ ขึ้นมันมีประสิทธิภาพจริงๆ หรือ ไม่มีทางเลือก อวิ๋นเยี่ยได้แต่นำมาลองทำดู อย่างไรเสียก็ไม่ขาดแคลนหิมะ
เขาจึงเรียกเฉิงฉู่มั่วมา ทั้งสองใช้พลั่วค่อยๆ สร้างกระท่อมน้ำแข็งขึ้น
“เสี่ยวเยี่ย กระท่อมน้ำแข็งนี้จะอบอุ่นจริงๆ หรือ” เฉิงฉู่มั่วหนาวมากจนแม้แต่คำพูดประโยคหนึ่งก็พูดให้สมบูรณ์ไม่ได้
“เมื่อก่อนเคยฟังอาจารย์พูด ข้าก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน ตอนนี้พวกเราต้องอยู่ที่นี่รอให้ผู้บัญชาการใหญ่กลับมา อย่างน้อยก็ต้องอยู่ถึงสิบกว่าวัน ข้าไม่อยากจะแข็งตาย จึงลองทำดู หวังว่าอาจารย์จะไม่ได้หลอกข้า” ริมฝีปากอวิ๋นเยี่ยนั้นมีแต่น้ำแข็งเต็มไปหมด ปากไร้ความรู้สึกตั้งนานแล้ว
“ลูกพี่จะไม่หลอกพวกเราสองพี่น้องแน่ พวกเราเร่งมือเข้า จะได้อบอุ่นขึ้นอีกสักนิด” เฉิงฉู่มั่วดูเหมือนจะมีความมั่นใจในตัวลูกพี่ในตำนานมากกว่าอวิ๋นเยี่ย
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ากำลังจะแข็งตาย ในที่สุดกระท่อมหิมะก็ถูกสร้างเสร็จ โดยสร้างประตูหันหลังให้กับสายลม ไม่รู้ว่ามันเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาหรือว่ามีประสิทธิภาพจริงๆ ทั้งสองรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่หายไปนาน
แล้วสาดน้ำในกระท่อมหิมะอีกครั้ง มันกลายเป็นน้ำแข็งในทันที ที่จริงกระท่อมหิมะของอวิ๋นเยี่ยนั้นเรียบง่ายมาก ซึ่งก็คือเอาหิมะไปกองไว้ด้านนอกกระโจมแล้วราดน้ำเพื่อป้องกันลมหนาว เมื่อก่อกองไฟขึ้นใช้เวลาไม่นานทั้งห้องก็เริ่มอุ่นขึ้น เปลวไฟก็ไม่ได้เป็นสีส้มเหมือนข้างนอกอีกต่อไป แต่ปรากฏเป็นสีฟ้าอ่อนที่อบอุ่น
อวิ๋นเยี่ยหามเหล่าเหอเข้าไปในบ้านแล้วห่มผ้าขนสัตว์หนาๆ ให้เขา ในที่สุดเขาก็หยุดสั่นและนอนกรนจนหลับไป
——
[1] พิธีบัพติศมา หรือ ศีลล้างบาป เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์ ทำขึ้นเพื่อรับ “ผู้ที่เพิ่งรับเชื่อ” เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของคริสตจักร
[2] ทังปิ่ง คือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำของจีนในปัจจุบัน ซึ่งน้ำซุปจะมีลักษณะข้นเหนียวคล้ายราดหน้าของไทย