ส่วนที่ 4 ตอนที่ 39 เหตุผลหลัก

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลี่จิ้งออกเดินทางแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกเดินทางเมื่อใด หลังจากได้นอนหลับอย่างเต็มที่ในกระท่อมหิมะอันอบอุ่น เขารู้สึกถึงความสดชื่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ยกเว้นความรู้สึกคันที่หลังมือจนแทบบ้า ในฤดูหนาวที่หนาวสุดขั้วเช่นนี้ไม่มีอะไรให้โอดครวญได้จริงๆ เหอเซ่ายังคงนอนอยู่ ร่างกายส่งกลิ่นเหงื่อเหม็นๆ เมื่อคืนเขาเหงื่อไหลออกมาตลอดทั้งคืน อวิ๋นเยี่ยต้องตื่นขึ้นมาหลายครั้ง เพื่อป้อนน้ำที่เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยให้เขาดื่ม

 

อาหารเช้าเป็นผัดบะหมี่ชามใหญ่ หลังจากเทน้ำร้อนลงไปแล้วผสมให้เหนียวหนืด เหอเซ่าก็กินไปสองชาม สามารถกินอาหารได้ก็หมายความว่าการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายกำลังฟื้นฟู

 

ที่จริงเมื่อคืนนี้เหอเซ่าก็ได้สติแล้ว เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยป้อนน้ำให้เขาและก็รู้ว่าเขาวางผ้าขนหนูชื้นๆ ไว้บนหน้าผากของเขาหลายต่อหลายครั้ง ภายใต้แสงสลัวๆ สองมือของอวิ๋นเยี่ยที่เหมือนกีบเท้าหมู กลับสะท้อนแสงของเปลวไฟ เพื่อลงโทษที่หลายวันก่อนเขาต่อยตนเอง เหอเซ่าจึงตัดสินใจที่จะสลบต่อไป เพียงแต่น้ำตาที่หางตากลับกลับไหลออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ซึ่งทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจคิดว่าน้ำที่ผ้าขนหนูนั้นชุ่มเกินไปจึงบิดอีกสองครั้ง จากนั้นนำมันกลับไปไว้บนหน้าผากของเหอเซ่าอีกครั้ง

 

อวิ๋นเยี่ยมอบกางเกงขายาวบุผ้าฝ้ายที่นำติดตัวตลอดให้แก่เฉิงฉู่มั่ว ในฐานะที่เขาเป็นกองกำลังที่สองจึงต้องให้การสนับสนุนหลี่จิ้ง จางกงจิ่นมีคำสั่งให้แม่ทัพเหลียงเฉิงนำทหารห้าพันนายรีบมุ่งหน้าไปยังเขาอินซัน ที่นั่นอาจจะมีการเข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็เป็นได้ ลากเลื่อนได้นำมาใช้แล้ว ม้าสำหรับขนของก็ได้นำมาใช้แล้ว บนพื้นหิมะนั้นไม่ใช่ว่ารถม้าทั่วไปจะใช้เดินทางได้ จึงเหลือทหารเสริมสิบคนไว้กับอวิ๋นเยี่ยซึ่งยังเป็นทหารที่ชราและอ่อนแอ ค่ายทหารอันใหญ่โตเหลือแต่ความว่างเปล่า

 

ว่างมากจนไม่มีอะไรทำ อวิ๋นเยี่ยจึงนำหม้อมาหนึ่งใบวางไว้บนเตาและต้มซุปกระดูก ทั้งยังสั่งให้พ่อครัวเฉือนเนื้อแกะเป็นชิ้นบางๆ ตั้งใจไปยังคลังเสบียงเพื่อหากระเทียมดองหนึ่งไห ขิงมีแต่ที่เป็นผงแห้งแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย จากนั้นก็โยนเครื่องเทศ เช่น ฮัวเจียวและกุ้ยผีที่ทอดแล้ว พริกขี้หนูลงไปในหม้อ จากนั้นตนเองก็ออกจากกระโจมไปหากงซูเจี่ย

 

เห็นกงซูเจี่ยแกล้งทำเป็นยุ่งวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าต้องแก้ปมในใจของเขาก่อน ไม่เช่นนั้นความรู้สึกละอาย เช่นนี้อาจกลายเป็นความแค้นเข้าสักวันหนึ่ง มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกความคิดครอบงำได้อย่างประหลาด แรกเริ่มอาจจะรู้สึกละอาย รู้สึกผิด เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะไม่กล้าเจอกับสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกละอายอีก คนที่ทำให้เขาไม่ทุกข์ใจเมื่อเวลาผ่านไปนานอีกหน่อย ความละอายเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไม่พอใจ หากปล่อยให้เวลาเนิ่นนานขึ้นอีก บางทีอาจจะเกิดความคิดที่จะฆ่าคุณทิ้งขึ้น มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำให้เขาปลดเปลื้องความในใจนี้ได้อย่างสิ้นเชิง

 

หากมีคนพูดขอโทษกับคุณ เช่นนั้นแล้วคุณควรต้องคอยป้องกัน เขาจะไม่แก้ไขแน่นอนและจะกล่าวขอโทษคุณไปตลอด ในเมื่อได้ขอโทษคุณครั้งหนึ่งแล้ว ขอโทษอีกครั้งจะเป็นอะไรไป ทำในสิ่งที่เคยทำย่อมดีกว่าสิ่งที่ไม่เคยชิน!

 

“เหลาเจี่ย เจ้ามาทางนี้ครู่หนึ่ง หลายวันนี้เจ้าเอาแต่หลบหน้าข้าทำไม ข้าไม่ใช่ตัวเชื้อโรคเสียหน่อย” อวิ๋นเยี่ยตะโกนเรียกกงซูเจี่ยเสียงดัง การสนทนาจะต้องทำอย่างเปิดเผย แสงอาทิตย์มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ทั้งยังสามารถใช้การรักษาจิตใจที่มืดมนได้อีกด้วย

 

“อวิ๋นโหว ทำไมเจ้าไม่พักผ่อน ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หากบาดเจ็บเพราะอากาศหนาวไปจะไม่ดีเอา” นี่คือคำพูดของผู้ที่ละอายใจที่ได้มาตรฐานพูดออกมา เขาเป็นห่วงคุณ ปกป้องคุณหรือแม้กระทั่งเคารพคุณก็ไม่มีปัญหา เพียงแค่ความในใจคงได้แต่พูดกับพระเจ้าเพียงคนเดียว

 

“เจ้ารู้สึกทรมานหรือไม่ กงซูเจี่ยผู้ภาคภูมิใจในตัวเองเรียนรู้ที่จะก้มศีรษะให้ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กงซูเจี่ยเป็นผู้สืบทอดระบบกลไกทางด้านวิศวกรรมโยธาที่ถ่ายทอดมากว่าสองพันปีที่สามารถหัวเราะเย้ยทั้งใต้หล้าได้ แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายที่ยังคงต้องดิ้นรนไม่หยุด แต่ยอดฝีมือก็ควรจะมีเกียรติภูมิของยอดฝีมือ ไม่ว่าจะทำถูกหรือทำผิดก็มีแต่ตนเองเท่านั้นที่วิพากวิจารณ์ได้ ความคิดเห็นของคนอื่นเป็นเพียงหมอกควันที่ลอยมาผ่านเดี๋ยวก็ผ่านไปเท่านั้น สองวันก่อนนายยังโต้เถียงกับฉันเกี่ยวกับสถานะของตระกูลกงซู ต้องการมีส่วนครอบครองทรัพยากรของสำนักศึกษาให้มากขึ้นอยู่เลย ความมั่นใจเช่นนั้นไปไหนหมดแล้ว ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเชิญตระกูลเจ้าให้ลงจากเขา ไม่ใช่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความลับที่สืบทอดกันในตระกูลของคุณ นี่เป็นความรู้ของตระกูลกงซูของคุณ เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนสำหรับสำนักศึกษาของฉัน คุณกับฉันมีการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม เปิดเผยชัดเจน คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกเป็นหนี้ฉัน หลายวันนี้ยังคงหลบหน้าฉันอีก นายนี่น่ารำคาญรู้ไหม

 

กงซูเจี่ยตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัวจ้องมองอวิ๋นเยี่ยอยู่เป็นเวลานาน “เจ้ามองออกแล้วหรือ”

 

“เจ้าเป็นบุคคลที่มีความรู้ ทั้งยังไม่ใช่พวกเขี้ยวลากดินในเมืองฉางอันที่เป็นพวกปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ความคิดทั้งหมดของเจ้าได้เขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว ไม่มีความสามารถดังเช่นเฒ่าสารพัดพิษพวกนั้น ก็ไม่ต้องวางมาดเคร่งขรึม ดูแล้วน่าสะอิดสะเอียน เป็นกงซูเจี่ยที่ภาคภูมิใจในตัวเองของเจ้าต่อไปไม่ดีกว่าหรือ หากข้าไม่เต็มใจจะพูดก็คือไม่บอกเจ้า แน่จริงเจ้าก็มาเอาเรื่องข้าสิ ความคิดเช่นนี้สิจึงเป็นสิ่งที่เจ้าควรมีและควรต้องมีด้วย หากตระกูลกงซูละทิ้งความภาคภูมิใจที่มีมานับพันปี ยังจะเหลืออะไรอีก เมื่อไปถึงฉางอันหากวางตนให้มีท่าทีของผู้รู้ ยิ่งเจ้าหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความเคารพมากขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามยิ่งเจ้าอ่อนแอมากเท่าไรก็ยิ่งโดนรังแกมากเท่านั้น ทั่วทั้งฉางอันมีแต่พวกคนเลวซึ่งกลัวคนที่เข้มแข็งแต่รังแกคนที่อ่อนแออยู่เต็มไปหมด หากเจ้ายังเป็นสภาพจิตใจเช่นตอนนี้ทั้งยังคิดจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับราชการ ช้าเร็วก็จะกลายเป็นอาหารของคนอื่น อยู่ในสำนักศึกษาอย่างสงบเสงี่ยมยังจะดีเสียกว่า”

 

การคุยกับคนประเภทกงซูเจี่ยจะต้องทุบประเด็นให้แตกและบดให้ละเอียดแล้วจึงพูดให้เขาฟัง พวกเขาปิดกั้นตัวเองนานเกินไปแล้ว ไม่มีประสบการณ์ในการไปมาหาสู่กับชนชั้นสูงและผู้ร่ำรวย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกันจำเป็นต้องพูดให้เขาเข้าใจ

 

“ข้าจะไม่มีทางบอกเจ้าว่าจะมีตระกูลใหญ่ที่น่าหวาดกลัวมาหาเรื่องเจ้าและก็จะไม่บอกเจ้าว่าตระกูลที่อยู่ยาวนานพันปีก็มีวิธีการชั่วร้ายที่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้เช่นกัน และก็จะไม่บอกเจ้าว่าบรรพชนเราได้ร่วมสาบานอะไรไว้ หากแน่จริงเจ้าก็มาหาเรื่องกับข้าสิ”

 

ใบหน้าที่โกรธจัดของกงซูเจี่ยภายใต้แสงอาทิตย์นั้นดูน่าหวาดกลัวมาก เส้นเลือดที่คอก็ปูดขึ้นมาให้เห็น

 

“ดีมาก เหล่าเจี่ย เจ้าเป็นเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ข้ายังค่อนข้างกลัวอยู่ ชนชั้นสูงของฉางอันนั้นก็คนพฤติกรรมเช่นข้า กลัวคนแข็งแกร่งรังแกคนอ่อนแอก็หมายถึงตัวข้าเอง เจ้าดูสิ ตอนนี้เจ้าเอาชนะเกียรติของข้าได้แล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจจะเลี้ยงท่านกินเนื้อแกะจุ่ม ประจบสอพลอเจ้าสักหน่อย นักเรียนในสำนักศึกษายังคงต้องพึ่งพาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างเจ้ามาสอน เลิกคิดถึงเรื่องเหลวไหลไร้สาระน่าวุ่นวายเหล่านั้น เยี่ยถัวกินยานั่นจนมีชีวิตได้อีกไม่ถึงสองเดือน การที่ตระกูลที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นไปทางเหนือยากที่จะมีชีวิตรอดกลับมา แม้ว่าพวกเขาจะกลับมา เราก็อยู่ในฉางอันแล้ว เขาไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากทุ่งหญ้า ก่อความวุ่นวายใดๆ ไม่ได้หรอก หากกล้ามาข้าจะทำให้พวกเขาตายทั้งเป็น ตอนนี้พวกเราไปกินเนื้อแกะจุ่มจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”

 

กงซูเจี่ยอาศัยความโกรธพูดในสิ่งที่เขาสามารถพูดได้และถือโอกาสอธิบายเหตุผลที่เขาไม่สามารถพูดได้มากกว่านี้โดยทางอ้อม เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนยอมเปิดอกพูดตรงไปตรงมากับคุณ อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าตนเองไม่ใช่พระเจ้าและก็ไม่ได้อยากจะแสดงความบ้าอำนาจอะไร มีใครบ้างที่ไม่มีความลับในใจ เรื่องที่เขาข้ามผ่านมิติกาลเวลามาจำเป็นต้องบอกทุกคนด้วยหรือ คนอย่างอวิ๋นเยี่ยมีจุดเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือเขามักจะประเมินสถานการณ์เสมอ เขาคิดว่าตนเองได้รับมามากเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจ่ายค่าตอบแทนออกไปเท่าไร สำหรับรางวัลจากชื่อเสียงในการวางตัวนั้นคิดแยกต่างหาก

 

อวิ๋นเยี่ยกลับมาที่กระท่อมหิมะพร้อมกับกงซูเจี่ย เปิดม่านหนาๆ ขึ้น ก็เห็นเหอเซ่ากำลังนั่งจุ่มเนื้อแกะอยู่ข้างเตา ซุนซือเหมี่ยวนั่งอยู่ตรงข้าม ตอนนี้เขาก็กินเนื้อด้วยหรือ ทั้งยังกินจุ่มเนื้อกินอย่างมีความสุข น่ารื่อมู่ที่อยู่ด้านข้างใช้ตะเกียบไม่เป็นจึงคีบอะไรไม่ได้เลย กำลังออดอ้อนซุนซือเหมี่ยวอยู่หวังว่าเขาจะดูแลนางหน่อย ใครจะรู้ว่าเหล่าซุนไม่สนใจนาง นางจึงได้แต่ยืนน้ำลายไหลอยู่ตรงนั้น

 

เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามานางก็รีบส่งชามใบใหญ่ของตัวเองให้อวิ๋นเยี่ยทันที ชี้ไปที่หม้อและพูดภาษาต่างถิ่นไม่หยุด

 

อวิ๋นเยี่ยเตะเหล่าเหอไปอยู่ข้างๆ ใครให้เขาเป็นมนุษย์ที่ด้อยค่าที่สุดในตอนนี้ ตื่นมาตอนเช้ายังต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยปรนนิบัติจึงจะกินของหนืดๆ นั่นได้ ตอนนี้เลิกหมดอาลัยตายอยากลุกขึ้นกินเนื้อแกะได้ เห็นชัดว่าจงใจแกล้งตนเองชัดๆ อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าหมอนี่กำลังแก้แค้นเขาอยู่

 

“ไสหัวไป อาการป่วยยังไม่หายดี จะกินเนื้อแกะจุ่มอะไร ไม่กลัวกินแล้วตายเลยนะ”

 

“เจ้าวางอำนาจเกินไปแล้ว หมอเทวดาซุนยังบอกเลยว่าเนื้อแกะนั้นเหมาะที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งหายจากอาการป่วยหนักเช่นข้า มันมีผลในการบำรุงร่างกาย เครื่องเทศที่มีรสเผ็ดในน้ำซุปสามารถขับไล่ความเย็นในร่างกายข้าได้ เป็นประโยชน์ต่อข้าอย่างมาก หากข้ากินแล้วตายก็จะไม่กล่าวโทษเจ้า” พูดจบก็เดินมาที่หม้ออีกครั้ง

 

กงซูเจี่ยหาตะเกียบและชามด้วยตัวเอง ทักทายกับซุนซือเหมี่ยวเล็กน้อยแล้วจุ่มตะเกียบลงในหม้อ อวิ๋นเยี่ยรีบตักชามหนึ่งให้น่ารื่อมู่ มิฉะนั้นเขาจะต้องจมกองน้ำลายตาย เห็นนางนั่งสูดลมหายใจเพราะความเผ็ดแต่ใบหน้าแลดูมีความสุข อวิ๋นเยี่ยจึงล้มเลิกความคิดที่จะสอนนางใช้ตะเกียบ

 

“หม้อนี้ดีไม่เลว เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการขับเหงื่อ หากข้าเพิ่มสมุนไพรสักสองสามอย่างลงไป ก็จะมีสรรพคุณในการเสริมสร้างบำรุงร่างกาย ตอนนี้กองทัพอีกไม่นานก็จะเคลื่อนพลกลับ คิดว่าจะต้องเกิดการบาดเจ็บล้มตายอีกมากแน่ พวกเราต้องรีบเตรียมของเหล่านี้ให้มากขึ้น ถึงตอนนั้นอย่าปล่อยให้เหล่าทหารต้องลำบากอีก” เมื่อเหล่าซุนโยนตะเกียบลงก็พูดกับอวิ๋นเยี่ย

 

“เรื่องนี้ผู้เยาว์ย่อมต้องทำตามอย่างแน่นอน เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ท่านเริ่มกินเนื้อสัตว์ ผู้ถือศีลต้องละเว้นเนื้อสัตว์ ข้อนี้ข้ารู้ดี แต่ว่าท่านกินเจมาโดยตลอด วันนี้เมื่อเห็นท่านกินเนื้อข้าจึงค่อนข้างแปลกใจ” ปกติเหล่าซุนไม่กินเนื้อ เขาบอกว่าหากต้องการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว ก็ควรกินพวกเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เขาคิดว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้นมักจะมีสารพิษเจือปนอยู่เล็กน้อย

 

“ใครบอกว่าข้ากินเนื้อสัตว์ เมื่อครู่ข้ากำลังลิ้มรสยาสมุนไพรและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิผลของพวกมันเท่านั้นเอง”

 

อวิ๋นเยี่ยมองไปที่ชิ้นเนื้อที่ลอยเดือดอยู่ในหม้อ แล้วมองไปยังริมฝีปากที่มันเยิ้มของเหล่าซุน คิดไม่ออกจริงๆว่าเนื้อแกะกับสมุนไพรเกี่ยวข้องกันอย่างไร

 

“เหลาเจี่ย ตั้งใจเรียนให้ดี นี่คือท่วงท่าของผู้รู้ ต่อลงไปเจ้าต้องคลุกคลีอยู่ในฉางอันก็ควรจะมีท่าทีเช่นเดียวกับนักพรตซุน คำพูดที่ท่านพูดออกมานั้นมักจะมีเหตุผลอยู่เสมอ อายุเจ้าใกล้เคียงกับนักพรตซุน แต่ประสบการณ์นั้นแม้ควบม้าก็ตามไม่ทัน”

 

กงซูเจี่ยที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการกินเนื้อได้ยกนิ้วหัวแม่มือให้ แสดงความชื่นชม ดูเหมือนว่าเขาและอวิ๋นเยี่ยจะมีมุมมองที่คล้ายกัน

 

เหล่าซุนส่งเสียง “ฮึ” แล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ด้วยสีหน้าท่าทีที่สบประมาท เมื่อเขาเดินมาถึงปากกระโจมก็หันหลังกลับอย่างกะทันหันและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “การบาดเจ็บล้มตายบนโลกนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ชีวิตคนเป็นสิ่งที่มีค่าน้อยที่สุด แม้พวกเรามีสามเศียรหกกรก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ หลายวันก่อนข้าตาบอดด้วยความโกรธ เจ้าอย่าได้รับอิทธิพลไปจากข้า อยากทำอะไรก็รีบทำมันเสีย รักษาสภาพจิตใจของเจ้าไว้อย่าให้ปีศาจภายนอกมารุกรานได้”

 

“ข้าจะไม่ถูกรุกรานแน่ ข้ายังคงเป็นข้า แต่ใครก็ตามที่เป็นคนก่อกรรมไว้คนคนนั้นก็ต้องเป็นผู้ชดใช้ พวกเราอภัยให้กับความผิดบาป นั่นจะเป็นอันตรายร้ายแรงที่สุดในการให้อภัย การมีจิตใจดีก็ต้องแบ่งแยกฝ่ายตรงข้ามด้วย ศาสนาพุทธมีคำกล่าวว่าเมื่อวางดาบลงย่อมสำเร็จอรหันต์ ในความคิดของข้าถือเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง การถือดาบฆ่าคนแล้ววางดาบและสวดมนต์ คนเช่นนี้ต่างหากที่ควรโดนแล่เนื้อเฉือนหนัง พวกโจรเสพสุขกับการปล้นสะดมทรัพย์ที่ได้มา เช่นนั้นก็ควรตระหนักถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไปบ้าง ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเขาต้องชดใช้หนี้ ห้ามใจอ่อน ทุ่งหญ้าก็มีกฎเกณฑ์ของทุ่งหญ้า เหล็กและเลือดจึงจะสามารถทำให้พวกเขายอมศิโรราบ ข้าไม่รังเกียจที่จะปลอบใจพวกเขาหลังจากแก้แค้นแล้ว แต่ทว่าจะต้องเป็นเรื่องหลังจากที่ชดใช้หนี้จบสิ้นแล้ว แต่ถ้าหากยังคงมีสันดานเดิม บางทีการสังหารอาจจะเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง”

 

สุดท้ายแล้วเหล่าซุนก็เป็นผู้ถือศีลคนหนึ่ง หลังจากความโกรธหมดไปก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ นี่คือธรรมชาติของความเมตตากรุณาและความสูงส่งของเขา เขาพยายามฝืนเก็บความโกรธไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแสดงแง่มุมที่มีค่าที่สุดที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ออกมา