ส่วนที่ 4 ตอนที่ 40 เป็นคนเลว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ชาวเผ่าทูเจวี๋ยนั้นอดทนต่อความหนาวเย็นได้มากกว่าคนต้าถัง นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด อวิ๋นเยี่ยพบว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับความอดทนต่อความหนาวเย็น สิ่งสำคัญกว่าอยู่ที่สภาพจิตใจของบุคคล ในสภาพอากาศเช่นนี้ชาวเผ่าทูเจวี๋ยก็แข็งตายได้เช่นกัน แต่พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ใส่ใจ ในตอนเช้าเมื่อพบสหายที่ตายไปพวกเขาก็จะถอดเสื้อผ้าของสหายมาสวมใส่ จากนั้นก็นำศพที่ถูกแช่แข็งจนแข็งเหมือนก้อนอิฐกองเรียงซ้อนกันขึ้นมา รอให้คนมาขนศพพวกเขาออกไปด้านนอกค่าย

 

 

แต่คนต้าถังนั้นแตกต่างกัน หากพบสหายที่แข็งตาย พวกเขาจะแสดงความเสียใจออกมาทางสีหน้า มีบางคนจะถอดเสื้อผ้าของตัวเองสวมใส่ให้กับสหายที่ตายไป ไม่มีใครถอดเสื้อผ้าสหายมาสวมไว้ที่ตัวและจะไม่ทิ้งศพไว้ด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจ หรือไม่ก็จะใช้ไฟเผาร่างให้เป็นขี้เถ้า หรือหากเป็นสหายสนิทก็จะหาเครื่องมือขุดหลุมขนาดใหญ่อย่างไม่คิดชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นนี้ และฝังสหายลงไป

 

 

บอกไม่ถูกว่าใครถูกใครผิด ที่จริงแล้วก็มีเหตุผลที่อธิบายได้อยู่ ชาวทูเจวี๋ยใส่ใจความรู้สึกของคนที่มีชีวิตอยู่มากกว่า แต่คนต้าถังนั้นเคารพในศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิตมากกว่า

 

 

ความหนาวเหน็บนั้นมีไว้เพื่อต่อสู้ นี่เป็นประสบการณ์ของชาวเผ่าทูเจวี๋ย พวกเขาสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่ปกปิดเนื้อหนังไม่มิดชิดโดยให้คนจำนวนมากรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งดูแปลกมาก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ด้านในสุด คนชราที่อ่อนแออยู่ด้านนอก เด็กและผู้หญิงถูกรวมอยู่ตรงกลาง ตำแหน่งที่ดีที่สุดมีไว้ให้ผู้ที่แข็งแกร่งและตำแหน่งรองลงมาก็มีไว้สำหรับเด็ก ผู้หญิงและผู้ชราที่อ่อนแอ ต่างก็ส่งเสียงร้องครวญครางเป็นครั้งคราวท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็น บนใบหน้าของพวกเขาไม่ได้แสดงออกถึงความไม่ยุติธรรมเลย มีเพียงความเฉยชา คล้ายกับการก้มหน้ารับชะตาชีวิตอย่างหนึ่ง

 

 

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความเย็นมานานปี มีเพียงรักษาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไว้เท่านั้น เพื่อผู้ที่โชคดีมีชีวิตอยู่รอดถึงปีหน้าจะได้มีความหวัง นี่คือสัญชาตญาณของสัตว์ป่า จำได้ว่าเคยได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งว่ามีกวางฝูงหนึ่งถูกพรานล่าสัตว์ล้อมรอบอยู่บริเวณลำธารเล็กๆ ระหว่างร่องเขา หน้าผาทางฝั่งตรงข้ามอยู่ค่อนข้างไกลจากพวกมัน แม้แต่กวางที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้ ดูท่าทีแล้วจะต้องถูกฆ่าตายทั้งฝูง ทันใดนั้น กวางก็จับคู่โดยอัตโนมัติและจะกระโดดลงไปให้ไกลที่สุดทีละสองตัว ตัวหนึ่งอยู่สูงอีกตัวอยู่ต่ำ เมื่อถึงจุดที่กำลังจะหมดแรง กวางที่กระโดดอยู่ด้านบนได้เหยียบบนกวางตัวที่อยู่ด้านล่าง แล้วพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้งและกระโดดไปถึงอีกด้านของหน้าผาได้อย่างปลอดภัย ส่วนกวางที่อยู่ด้านล่างก็ตกลงสู่ก้นเหวกระแทกอย่างแรง ด้วยวิธีนี้ฝูงกวางจึงรอดชีวิตมาได้ครึ่งหนึ่ง เชื้อสายของสายพันธุ์จึงได้สืบทอดต่อไป พรานล่าสัตว์จึงได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นเพียงซากศพที่ตกลงไปจนเละเทะเท่านั้น

 

 

นี่คือหลักการของชาวเผ่าทูเจวี๋ย ถ้าเป็นชาวฮั่น พวกเขาจะให้คนชราและคนอ่อนแออยู่ด้านในที่สุดเท่านั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดต้องอยู่ด้านนอกอย่างแน่นอน ชาวฮั่นเรียกพฤติกรรมของชาวเผ่าทูเจวี๋ยว่าพฤติกรรมสัตว์ป่า ซึ่งบางทีชาวเผ่าทูเจวี๋ยก็คงกำลังหัวเราะเยาะความคร่ำครึของชาวฮั่นอยู่เช่นกัน

 

 

ถูกและผิดนั้นมักจะอยู่ตรงกันข้ามแต่ไม่มีมาตรฐาน ตอนนี้เหอเซ่าต้องถกเถียงให้ได้ว่าเขาถูกหรือผิด เขาไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมของอวิ๋นเยี่ยที่ลากเขาออกจากกระท่อมหิมะ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยและต้องการการดูแล ไม่ควรจะกลับไปนอนที่กระโจมอันหนาวเหน็บนั้น

 

 

เขาหน้าแดงไปทั้งหน้า ทั้งยังห่มผ้าขนสัตว์หนาๆ เวลาเดินจึงดูเหมือนนกเพนกวิน ก็อยู่ในสภาพเช่นนี้ยังจะบอกว่าเขาเป็นคนป่วยอีกหรือ ทุกคืนนอนกรนเสียงออกจมูก ทำให้อวิ๋นเยี่ยกอดหมอนโดยพูดอะไรไม่ออกจนถึงรุ่งเช้า

 

 

“รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ หากเจ้ายังพักผ่อนอีกสักสองสามวันก็คงจะถึงคราวข้าป่วยหนักแล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่าเสียงกรนของเจ้าสามารถทำให้ฟ้าดินสะเทือนได้ ข้าไม่ได้นอนหลับให้เต็มอิ่มมาสี่ห้าคืนแล้ว เจ้าสงสารข้าหน่อยได้หรือไม่”

 

 

“นอกจากนี้ กระท่อมหิมะแบบนี้เจ้าเองก็สร้างได้เช่นกันไม่ใช่หรือ วันนี้ข้าไม่ทำอาหารอะไรทั้งนั้น จะกินซุปทังปิ่งที่พ่อครัวทำ”

 

 

เหอเซ่าไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องที่ดี เมื่อเขาหลับเขาจะนอนกรน เสียงขบฟันเป็นเรื่องธรรมดา หากพักอยู่กับเขา อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าไม่รอให้คนอื่นมาทำอันตรายตัวเอง ตนก็จะม้วยชีวีไปเอง

 

 

หลี่จิ้งออกเดินทางไปห้าวันแล้ว ไม่มีข่าวคราวจากแนวหน้าเลย แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเชื่อมั่นว่าหลี่จิ้งจะกุมชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน แต่ในใจก็ยังวิตกกังวล

 

 

ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเคลื่อนพล ถึงแม้ว่าความหนาวจัดจะขัดขวางการหลบหนีของข่านเจี๋ยลี่ แต่มันก็ขัดขวางการไล่ล่าของทัพต้าถังด้วยเช่นกัน แม่ทัพทุกคนของต้าถังรู้ดีว่าการพ่ายแพ้ของข่านเจี๋ยลี่เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น วิธีเดียวที่เขาจะมีชีวิตรอดก็คือการหลบหนี บนทุ่งหญ้าถ้าปล่อยให้เขาหลบหนีไปยังทะเลทรายทางเหนือเพื่อไปพึ่งพาชนเผ่าเซวียเหยียนถัวก็จะเป็นการยากที่จะไล่ล่ากวาดล้าง กลยุทธ์ทางทหารทั้งหมดของต้าถังก็จะสำเร็จเพียงครึ่งเดียว

 

 

มีแขกมาเยือน นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ในค่ายแห่งนี้ เมื่อมองดูคนที่แขวนประดับเพชรนิลจินดาเต็มร่างที่อยู่เบื้องหน้า อวิ๋นเยี่ยก็เกิดความคิดอยากเป็นโจรสักครั้ง ไม่ว่าอัญมณีจะล้ำค่าเพียงใดก็ไม่สามารถสกัดกั้นกลิ่นแห่งความชั่วร้ายได้ หนวดเคราที่ดกหนาบนใบหน้าเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ เมื่อพบหน้า เขาก็วางกล่องไม้ที่ห่อด้วยผ้าต่วนสีเหลืองในมือลง รีบทำการคารวะด้วยการหมอบกราบโดยมือเท้าทั้งสองและศีรษะติดพื้นทันที น่ารื่อมู่มองดูหัวหน้าเผ่าที่ปกติเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับเหมือนลูกแกะแสนเชื่องเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ นางอาศัยข้ออ้างที่จะเช็ดรอยเปื้อนบนเสื้อคลุมของอวิ๋นเยี่ยเพื่อเงี่ยหูคอยแอบฟัง

 

 

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว สร้อยลูกปัดอาเกตสีแดงสดก็แขวนอยู่บนคอของน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยไม่แสดงท่าทีใดๆ ตอนนี้เขาเป็นเพียงสุนัขที่สูญสิ้นครอบครัว ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมอบของขวัญให้แก่ตน

 

 

คังซูมี่ แม่ทัพใหญ่ที่ข่านเจี๋ยลี่ไว้วางใจมากที่สุด เขาคนนี้ก็คือผู้ที่จับเซียวฮองเฮาและรัชทายาทหยวนเต๋อมาที่ค่ายทหารต้าถัง สิ่งที่ทหารต้าถังดูถูกที่สุดคือผู้ที่หักหลังเจ้านาย แม้ว่าคนที่เขาหักหลังจะเป็นศัตรูของต้าถัง แต่ทหารต้าถังก็เคยชินกับการใช้ดาบเหล็กสยบศัตรูและดูถูกเหยียดหยามการวางแผนให้ร้าย ดังนั้นการปฏิบัติต่อคังซูมี่นอกจากการเหยียดหยามแล้ว ก็หาได้มีแววตาท่าทางเป็นอื่นอีกไม่

 

 

“คังซูมี่ เพราะเหตุใดจึงทำให้เจ้ามาหาข้าคนที่ว่างมากที่สุดในค่ายทหารแห่งนี้ ข้าไม่ไปพบเซียวฮองเฮาแน่นอนและจะไม่พบรัชทายาทหยวนเต๋ออะไรนั่นด้วย เจ้ายอมสละทรัพย์สมบัติเพื่อขอพบ คงจะเป็นการคิดผิดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้รู้สึกดีกับคังซูมี่เสียเท่าไร นี่เป็นคนต่ำช้าที่น่ารังเกียจ คบค้าให้น้อยเข้าไว้จะเป็นการดีกว่า

 

 

“โหวเหยียผู้สูงศักดิ์ คังซูมี่มาที่นี่เพราะมีข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งจะมาเรียนให้ทราบ” คังซูมี่เจตนาพูดเพียงส่วนเดียว เพื่อดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของอวิ๋นเยี่ย

 

 

“ถ้าหากเจ้าคิดว่าสามารถบอกข้าได้ ก็พูดมา หากว่าไม่สามารถบอกข้าได้ก็รีบไสหัวไป ข้าไม่สนใจจะมาเสียเวลาอ้อมค้อมกับเจ้า” อวิ๋นเยี่ยเกลียดคนเลวที่น่ารำคาญเช่นนี้เป็นที่สุด ชอบคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น เพื่อหวังจะเอารัดเอาเปรียบให้ได้จากคำพูดตลอด

 

 

“โหวเหยียอย่าเพิ่งร้อนใจไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นขอท่านโปรดให้เวลาแก่คังซูมี่สักครู่เพื่อค่อยๆ อธิบายด้วย”

 

 

“ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าควรไปหลี่จิ้งหรือจางกงจิ่น เพียงคนเดียวที่ไม่ควรมาหาก็คือข้า เรื่องใหญ่รึ เจ้าจะมีเรื่องใหญ่อะไร อีกไม่นานตัวของข่านเจี๋ยลี่หรือศีรษะของเขาก็จะปรากฏในบันทึกความสำเร็จของทหารต้าถังของเราแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรที่เรียกว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้อีก”

 

 

คังซูมี่ก้มศีรษะด้วยความหวาดหวั่น ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่สนใจเรื่องตราพระราชลัญจกรของแคว้นใช่หรือไม่”

 

 

หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ สีหน้าของหมอนี่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์เพราะถูกลากให้ติดร่างแหไปด้วย ตราพระราชลัญจกร ของน่ารังเกียจนี้ ขอเพียงเป็นข้าราชบริพาร ใครครอบครองมันก็คือผู้โชคร้าย แม้ว่าจะไม่เคยคาดหวังจะครอบครองมันเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของฮ่องเต้แล้วก็คือผู้ต้องสงสัยไปตลอดกาล หากพลาดพลั้งชีวิตของคนทั้งครอบครัวจะสูญสิ้นไปด้วย เจ้าหมอนี่หลายวันก่อนอยากจะบอกหลี่จิ้ง หลี่จิ้งไม่ได้รอให้เขาพูดประโยคนี้ก็สั่งให้ทหารพาตัวเขาออกไป ต่อมาคิดจะไปหาจางกงจิ่น เหล่าจางไหลลื่นเหมือนปลาไหล มีหรือจะเปิดโอกาสให้เขาได้คว้าไว้ เมื่อคำนวณจากเวลาในตอนนี้แล้ว ผลงานชิ้นใหญ่ของตัวเองกลับไม่มีใครนำไปรายงานเบื้องบน ซึ่งทำให้เขากังวลอย่างมากว่าความพยายามอย่างหนักหน่วงของเขาจะสูญเปล่า เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่ายังมีโหวเหยียที่มีฐานะสูงอยู่ในค่ายทหารอีกท่านหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือโหวเหยียท่านนี้ยังเด็กมาก ดังนั้นจึงคิดจะยืมมือโหวเหยียหนุ่มคนนี้

 

 

เป้าหมายของเขานั้นนับว่าไม่เลว และความคิดของเขานั้นก็ถือว่าถูกต้องจริงๆ ความจริงแล้วผู้ที่เหมาะสมที่สุดในค่ายทหารที่จะพูดเรื่องตราพระราชลัญจกรออกมาก็คืออวิ๋นเยี่ย เนื่องจากเขาเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดกับเหล่าราชนิกุล ตอนนี้ห้ามมองที่ผลงาน หากยิ่งเป็นวีรบุรุษผู้สร้างผลงานมาก เมื่อเข้าใกล้ตราพระราชลัญจกรรังแต่จะยิ่งตายเร็วขึ้น นี่เป็นสัจธรรมอย่างแท้จริง ในทางตรงข้ามหากยิ่งไม่ใช่วีรบุรุษอะไร เมื่อเข้าใกล้ของสิ่งนี้ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันมากนัก บางทีอาจจะได้รางวัลใหญ่ นี่คือสิ่งที่หลี่จิ้งพูดไว้กับอวิ๋นเยี่ยก่อนที่เขาจะจากไป เขาหวังว่าอวิ๋นเยี่ยจะรับเผือกร้อนชิ้นนี้ไป ใครจะรู้ว่าเหล่าเหอป่วย อวิ๋นเยี่ยจึงยุ่งอยู่กับการดูแลเหล่าเหอ จึงลืมเรื่องตราพระราชลัญจกรออกไปจากหัวสมองอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งวันนี้คังซูมี่มาหาถึงที่ เขาจึงนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย

 

 

“เหล่าหง เจ้าจำเอาไว้หรือยัง พี่น้องช่วยเจ้าบุกเบิกทางให้เจ้าได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ตามที่พวกเราตกลงกันไว้ คังซูมี่เป็นของข้า คนอื่นเป็นของเจ้า ห้ามเปลี่ยนใจ” ได้ยินคำพูดคังซูมี่แล้วอวิ๋นเยี่ยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย อีกทั้งยังตะเบ็งเสียงพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง

 

 

หงเฉิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเดินออกมาจากม่านด้านหลังอวิ๋นเยี่ย เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย แน่นอนอยู่แล้ว ข้าน้อยต้องการเพียงตราพระราชลัญจกรชิ้นนั้นเท่านั้นเพื่อที่จะได้นำถวายให้ฝ่าบาท สำหรับสิ่งอื่นๆ เชิญโหวเหยียจัดการได้ตามต้องการ”

 

 

แม้ว่าเขาและหลี่จิ้งจะคิดวางแผนไว้แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย อวิ๋นเยี่ยจึงเรียกหงเฉิงมาด้วย ให้เขาเป็นพยาน อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่ต้องการจะสัมผัสสิ่งที่อัปมงคลนั้น เพียงแต่มองเห็นเครื่องประดับทั้งร่างของคังซูมี่ตั้งแต่ระยะไกล อวิ๋นโหวก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรทำงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทน ดังนั้นจึงได้วางแผนสกปรกเตรียมกอบโกยทรัพย์สินกับหงเฉิงขึ้น

 

 

“อวิ๋นโหว หรือว่าเจ้าไม่กังวลว่าจะถูกประหารทั้งตระกูล หากข้าถวายตราพระราชลัญจกรให้กับฝ่าบาท ข้าต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระพระราชลัญจกรนี้ตายให้หมด ข้าจะกราบทูลต่อฮ่องเต้ต้าถังและบอกว่าพวกเจ้าวางแผนการร้าย” คังซูมี่สัมผัสได้ว่าสองคนนี้มีเจตนาไม่ดี ด้วยเหตุนี้จึงพูดเสียงดังเป็นการเตือน

 

 

อวิ๋นเยี่ยและหงเฉิงเหลือบมองหน้ากันแล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้น หงเฉิงหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา หอบอยู่เป็นนานจึงพูดกับคังซูมี่ว่า “ฝ่าบาทจะกังวลว่าข้าโลภและมักมากในกาม แต่จะไม่กังวลว่าข้าจะกบฏ เมื่อสมัยที่ฝ่าบาทยังทรงเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญอยู่นั้น ข้าก็คือเด็กเลี้ยงม้าของพระองค์ เจ้าว่าฝ่าบาทจะทรงเชื่อเจ้าหรือเชื่อข้ากัน สำหรับอวิ๋นโหว เขาทะเลาะกับรัชทายาทยังไม่เป็นอะไรเลย เจ้าว่าเจ้ากล่าวหาเขาเช่นนี้จะบังเกิดผลหรือ” หลังจากพูดจบทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

“ขอเพียงแค่ตราพระราชลัญจกรถูกส่งถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาท ข้าคิดว่าฝ่าบาทก็อาจไม่สนพระทัยที่จะรู้ว่ามีสมบัติอื่นๆ อีกหรือไม่ คังซูมี่ เจ้าว่าเช่นนั้นไหม” อวิ๋นเยี่ยคิดใฝ่ฝันอยากจะเป็นคุณชายเสเพลที่ทำเรื่องชั่วร้ายทุกอย่างมานานแล้ว เพียงแต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีโอกาส ครั้งนี้เป็นโอกาสหายากที่จะเจอคู่กรณีที่จะไม่ทำให้เขาต้องรู้สึกผิด มีหรือที่จะไม่คิดลองทำดู

 

 

คังซูมี่อยากจะไปแย่งกล่องไม้บนพื้น สุดท้ายก็ถูกหงเฉิงเตะไปอยู่ข้างๆ ด้วยฝ่าเท้าเดียว ตนเองหยิบกล่องขึ้นมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดด้วยความเคารพ ตราพระราชลัญจกรของแท้ปรากฏต่อหน้าทั้งสองคน มันหักไปหนึ่งมุมจริงดังคาด ซึ่งมันถูกใช้ทองคำสร้างเพิ่มให้สมบูรณ์ นี่คือหยกเลี่ยมทองคำที่มีชื่อเสียงโด่งดังหรือ อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นว่าจะมีดีอะไร หยกเหอซื่อปี้ก็มีเพียงเท่านี้เอง

 

 

หงเฉิงหยิบกระดาษออกมาจากอกเสื้อหนึ่งแผ่น ด้านบนมีรอยตราประทับที่ชัดเจนอันหนึ่ง หงเฉิงยกตราพระราชลัญจกรด้วยสองมือ ค่อยๆ วางให้ตรงกับรอยตราประทับและกดลงไป ลายเส้นเข้ากันพอดี หงเฉิงปาดเหงื่อที่หน้าผาก วางตราพระราชลัญจกรกลับเข้าไปในกล่องไม้ แล้วใช้เชือกมัดมันไว้กับตัวเอง จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกไป เขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ต่อแม้เพียงเสี้ยวนาที

 

 

คังซูมี่ผู้อวบอ้วนรีบกระโจนเข้าไปเพื่อแย่งมา จึงถูกหงเฉิงเตะอย่างแรงใส่ใบหน้าของเขาจนล้นโครมลงกับพื้น อวิ๋นเยี่ยมองแล้วใบหน้าก็กระตุก

 

 

“อวิ๋นโหวตำหนิที่ข้าเตะเขาแรงเกินไปหรือ”

 

 

“เจ้าเตะเขาข้าไม่มีความเห็นอะไรแม้แต่น้อย แต่เจ้าจะช่วยปล่อยให้ข้าถอดเอาสมบัติบนร่างเขาออกมาก่อนแล้วเจ้าค่อยเตะเขาจะได้ไหม”