กองทหารม้าหนึ่งพันนายกำลังลากรถลากเลื่อนสิบตัวที่ทำขึ้นใหม่มุ่งหน้าสู่ฉางอันอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างทางหากมีคนที่กล้าขัดขวางพวกเขา ให้ฆ่าได้ไม่มีละเว้น หากมีใครสอดแนมก็ให้ฆ่าได้โดยไม่มีละเว้น หากมีขุนนางคนไหนกล้าหน่วงเหนี่ยวทำให้ล่าช้าตามใจชอบก็ให้ฆ่าได้ไม่มีละเว้นเช่นกัน
หงเฉิงกลับมาฉางอันพร้อมกับไอสังหารเต็มกาย และได้นำจดหมายหลายฉบับของอวิ๋นเยี่ยมา พร้อมทั้งตั๋วแลกเงินของเหอเซ่าด้วย เหอเซ่าไม่อยากถูกแม่ทัพไฉเซ่าไล่ฆ่าจริงๆ ดังนั้นเขาจึงต้องรีบจัดการเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนที่กองทัพใหญ่จะกลับถึงเมืองหลวง ขอเพียงเป็นทรัพย์สินของทหารกวนจง เหอเซ่าก็จะต้องให้คนที่บ้านนำไปส่งมอบให้ทีละคนจนครบทุกคน จากนั้นรับใบลงชื่อรับจากพวกเขากลับมา การค้าครั้งนี้จึงจะถือว่าเสร็จสิ้น
หลังจากมอบสิ่งของทั้งหมดให้กับหลี่จิ้งแล้ว เหอเซ่าก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว อวิ๋นเยี่ยเองก็เป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เพียงแต่เขาเพิ่งจะสร้างความมั่งคั่งจากชาวต่างแดน คังซูมี่ถูกหงเฉิงพาตัวไป ไม่รู้ว่าถูกส่งไปที่ไหน อวิ๋นเยี่ยคิดว่าถ้าใครต้องการหาคังซูมี่ ต้องไปที่ยมโลกน่าจะมีโอกาสได้เจอ
สุดปลายทางของพื้นหิมะแต่ไกลๆ มีขนสีแดงโผล่ออกมาแล้ว จากนั้นม้าเร็วคนหนึ่งของหน่วยหงหลิงที่สวมชุดเกราะเต็มยศก็ปรากฏขึ้นในทันที ขี่ม้าโซซัดโซเซเข้ามาหา ยังไม่ทันที่จะไปถึงประตูค่ายก็กระแอมด้วยเสียงแหบแห้ง ตะโกนเสียงดังว่า “ได้ชัยแล้ว ได้ชัยแล้ว! กองทัพเราฆ่าไปสามหมื่นคน ได้เชลยหนึ่งแสนคน ข่านเจี๋ยลี่กำลังหลบหนี”
มีนายทหารหยิบหมวกเหล็กที่มีพู่สีแดงสวมบนศีรษะของตนเองและรัดให้แน่นนานแล้ว จากนั้นหยิบกระบอกจดหมายหนังวัวจากร่างของทหารที่เหนื่อยล้าจนหมดแรง หลังจากให้ขุนนางทั้งสามคนตรวจสอบตราประทับที่ผนึกบนจดหมายว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมแล้ว ทหารหกคนก็นำม้าสิบสองตัวห้อตะบึงมุ่งหน้าสู่ฉางอัน
ในค่ายทหารเละเทะวุ่นวายเหมือนรังมดที่ถูกน้ำเดือดเทลงไป ปากใหญ่ๆ ของจางกงจิ่นนั้นหุบไม่ลงเลย ในฐานะที่เป็นขุนนางใหญ่คนแรกที่เสนอให้หลี่ซื่อหมินตัดสินใจว่าจะโจมตีชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออก ตอนนี้สร้างคุณงามความดีมีความชอบมีหรือที่เขาจะไม่ดีใจ
เยี่ยมมาก ตอนนี้ชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันออกตอนนี้ถูกท่านผู้บัญชาการใหญ่จู่โจมสายฟ้าแลบ เป็นเรื่องยากที่จะมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งแล้ว ซึ่งชัยชนะนี้สามารถรับประกันความสงบสุขของต้าถังได้เป็นเวลาสามสิบปี การที่เหล่าทหารได้เข้าร่วมการต่อสู้นี้ก็ไม่รู้สึกเสียชาติเกิดแล้ว อีกไม่นาน พวกเราก็จะได้กุมชัยชนะกลับบ้านแล้ว แต่น่าเสียดายที่ปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปได้ ไม่เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องเลื่องลือระบือไกลนานนับพันปี
“ท่านแม่ทัพกังวลมากไปแล้ว คราวนี้กองทัพของเราแบ่งออกเป็นห้าสายล้อมโจมตี มีหรือจะปล่อยให้ข่านเจี๋ยลี่หนีไปที่เซวียเหยียนถัวได้โดยง่ายกัน คิดว่าแม่ทัพหลี่จีจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอย่างแน่นอน ตอนนี้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ทำศึกนองเลือดมาเป็นเวลานาน เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยยากจนคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงม้าหมดแรง ทำไมพวกเราจึงไม่เคลื่อนพลไปข้างหน้าเพื่อที่จะได้ต้อนรับเหล่าทหารที่เคลื่อนทัพกลับพร้อมชัยชนะให้เร็วขึ้นอีกกันเล่า”
คำพูดนี้ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยพูด แน่นอนว่าจะต้องมีเหล่าแม่ทัพผู้มากประสบการณ์พูดออกมา ทุกคนต่างกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์บาดเจ็บล้มตายของเหล่าทหารที่อยู่แนวหน้า เนื่องจากม้าเร็วที่รายงานข่าวเมื่อมาถึงค่ายแล้วก็หมดสติไป อวิ๋นเยี่ยตรวจร่างกายให้เขาอย่างละเอียดแล้ว หลังจากเช็ดกายด้วยน้ำอุ่นก็นำไปห่อไว้ในผ้าห่มหนาๆ แล้วจึงให้ไปนอนพักในกระท่อมหิมะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อบอุ่นที่สุดในค่ายทหารแล้ว
“อวิ๋นโหว คราวนี้ต้องพึ่งพาความสามารถของท่านแล้ว หากพูดถึงวิธีการที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ พวกข้าแม้ควบม้าตามก็ห่างจากท่านหลายขุม ตอนนี้เราอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บ ข้าไม่คาดหวังอื่นใด หวังเพียงว่าอวิ๋นโหวจะช่วยหาที่พักแรมที่อบอุ่นให้เหล่าทหาร น้ำซุปร้อนๆ แสนอร่อย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจของชายชาติทหารของต้าถังเหล่านี้”
จางกงจิ่นที่น้ำตาคลอเบ้า เขาแทบไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ทหารหนึ่งหมื่นนายที่เคลื่อนพลในวันที่อากาศหนาวเหน็บจะมีสภาพเป็นอย่างไร ตัวเองเฝ้าอยู่ในค่ายใหญ่ การมีคนแข็งตายก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าทหารที่ต้องหมอบคลานบนพื้นหิมะ
“จางกงท่านพูดอะไรของเจ้ากัน ข้าก็เป็นข้าราชสำนักของต้าถัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ข้าด้วย มีหรือจะกล้าปฏิเสธ หลายวันนี้พวกเราก็ได้สร้างลากเลื่อนขึ้นมาอีกสามร้อยตัว ซึ่งสามารถเดินทางบนหิมะได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเรื่องที่น่ายินดีว่า พวกเราพบว่ามีถ่านหินร่วนอยู่ด้านนอกของค่ายทหาร นี่สิจึงจะเป็นข่าวดี หากมีถ่านหินร่วนเหล่านี้ ข้าจึงกล้ารับประกันได้ว่าเหล่าทหารที่กลับมาจะมีแคร่อุ่นๆ นอน มีอาหารเลิศรส สำหรับเหล้าชั้นเลิศนั้น ก็ต้องดูว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะยอมสละหรือไม่แล้ว”
อวิ๋นเยี่ยอารมณ์ดีมาก เมื่อวานนี้ทหารที่ขุดหลุมฝังศพให้พี่น้องผู้ที่ตายไป กลับขุดเจอเหมืองถ่านหิน นี่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายชัดๆ อวิ๋นเยี่ยจึงรีบยืมทหารเสริมสามร้อยนายจากจางกงจิ่นเพื่อไปขุดถ่านหินโดยเฉพาะ เพียงเวลาแค่วันเดียวก็ขุดได้กองใหญ่แล้ว เมื่อเห็นถ่านหิน อวิ๋นเยี่ยจึงนึกได้ว่า เหมืองถ่านหินแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดของจีนก็อยู่ในบริเวณนี้ เมื่อมาคิดดูแล้ว หลายวันที่ผ่านมา ตนเองหนาวสั่นเหมือนสุนัข ช่างเหมือนถูกประชดประชันครั้งใหญ่
ผู้ส่งสารฟื้นขึ้นแล้วเล่าเรื่องการต่อสู้ที่ยากลำบากในแนวหน้าไปหนึ่งรอบ เหล่าแม่ทัพทั้งหมดในค่ายต่างสูดหายใจเข้าลึกๆ การต่อสู้ที่ดุเดือดดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาสองวันเต็มๆ หากไม่เป็นเพราะข่านเจี๋ยลี่หลบหนีเสียก่อน ใครจะเป็นผู้แพ้ผู้ชนะยังคงก้ำกึ่งกันอยู่ ทหารหนึ่งหมื่นนายที่แข็งตายมากกว่าสองพันคน ผู้ที่รบจนตัวตายก็มากถึงสองพันคน ต้องบอกไว้ก่อนว่าพวกเขาล้วนเป็นทหารหาญชั้นยอดที่สุดของต้าถัง มีแม่ทัพนำทหารนั่งรถลากเลื่อนไปรับหลี่จิ้งที่สู้รบมานานจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พวกเขาจำเป็นต้องพักผ่อนและปรับขบวนทัพใหม่แล้ว
อวิ๋นเยี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการสร้างกระท่อมหิมะ จางกงจิ่นพยายามแจ้งยอดกระโจมให้เป็นยอดเสียหายอย่างไม่คิดชีวิต จะต้องให้ทหารที่มีชัยกลับมาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นี่คือขีดสุดที่จางกงจิ่นผู้ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ยอมทุ่มเททำอะไรจะสามารถทำให้ได้
ถ่านหินเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมันทำให้เกิดเขม่าดำ หากทำพลาด ทหารที่อยู่ในกระท่อมหิมะนั้นไม่ได้ตายในสนามรบ แต่จะมาตายในกระท่อมหิมะที่อบอุ่นนี้แทน ความสนุกของอวิ๋นเยี่ยก็เพิ่มมากขึ้นอีก ถึงตอนนั้นตั้งแต่ฮ่องเต้จนถึงพลทหารคงไม่มีใครยอมละเว้นเขาแน่
ในการทำสิ่งต่างๆ ก็ต้องแบกรับความเสี่ยง ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันล้วนไม่มีข้อยกเว้น โชคดีที่ยังมีเวลาเพียงพอ ซึ่งก็มีเวลามากพอที่อวิ๋นเยี่ยจะได้ปรับเปลี่ยนโยกย้ายทัน เขายังคงใช้วิธีเดิมในการสร้างเตาไฟและปล่องควัน ช่างเหล็กผู้เชี่ยวชาญของกองทัพใช่ว่านักดาบมือสมัครเล่นของตระกูลอวิ๋นอย่างเขาจะไปเทียบได้ มีดาบจันทร์เสี้ยวของชาวเผ่าทูเจวี๋ยจำนวนมาก ก็ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องที่จะไม่มีเหล็กใช้แล้ว แม่พิมพ์หล่อที่ทำจากทราย ในหนึ่งวันก็สามารถหลอมเทเตาออกมาได้สิบกว่าเตา เดิมคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องม้วนเป็นแผ่นเหล็กด้วย จึงบอกความกังวลใจให้หัวหน้าช่างฝีมือฟัง ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยผู้ที่เก่งทุกอย่างจะถูกดูหมิ่นเสียแล้ว ทั้งยังถูกขับไล่ออกไปจากค่ายงานช่างอีกด้วย
ตามคำพูดของหัวหน้าช่าง “อวิ๋นโหวเป็นผู้ที่ใส่ใจต่อเรื่องสำคัญของกองทัพ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่กล้าให้อวิ๋นโหวต้องเป็นกังวล”
เมื่อถึงเวลาที่อวิ๋นเยี่ยต้องการเตาเหล็กนั้น เตาเหล็กสองร้อยเตาก็ถูกวางเรียงไว้อย่างเรียบร้อยบนพื้นที่ว่างของค่ายงานช่าง โดยแต่ละเตายังประกอบปล่องเหล็กสูงหนึ่งจั้งให้อีกด้วย
ในเวลานี้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนโง่ เขาจึงหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วใช้ดินสอชอล์คขีดฆ่าหัวข้อการสร้างความอบอุ่นทิ้งไป ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเหล่าทหารผู้มีชัยนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนให้ดี จึงเรียกทหารเสริมมาเพื่อบอกให้พวกเขานำเตาไปติดตั้งไว้ในกระท่อมหิมะของทุกคนให้เหมือนกับการติดตั้งในกระโจมตนเอง ตอนนี้เขากังวลเพียงว่า เมื่อทุกคนผิงไฟกันขึ้นมากระท่อมหิมะจะละลายหรือไม่ พุทธองค์ทรงคุ้มครองด้วย ขอเพียงแค่พวกเขาอดทนให้ได้สามวันก็พอแล้ว ครั้นมองดูท้องฟ้าที่หม่นหมอง อวิ๋นเยี่ยก็เริ่มสบายใจขึ้นหลายส่วน
ตั้งแต่ที่พ่อครัวเรียนการนึ่งหมั่นโถวเป็นแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ไม่อนุญาตให้พวกทหารเรียกมันว่าขนมเปี๊ยะอะไรพวกนั้นอีก ในใจเขามีเพียงเจ้าลูกกลมๆ พวกนั้นถูกย่างด้วยไฟเท่านั้นที่เรียกว่าขนมเปี๊ยะ ของสิ่งนี้เรียกว่าหมั่นโถว หากมีไส้ด้วยก็จะเรียกว่าซาลาเปา เพียงเพื่อชื่อเรียกเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยได้สั่งโบยทหารไปเจ็ดแปดคนแล้ว
วัวและแกะที่เหลืออยู่ก็ถูกสั่งให้เชือดทิ้งให้หมด ทั้งหมดถูกแขวนไว้บนชั้นวางที่อยู่ในที่โล่ง มันถูกเรียกว่า “ป่าเนื้อ” สำหรับ “บ่อเหล้า” มันช่างดูยากจนข้นแค้นเสียจริงๆ จางกงจิ่นมีเหล้าดีกรีแรงไม่ถึงหนึ่งร้อยไห อวิ๋นเยี่ยจึงได้กัดฟันเอาของที่ตัวเองอุ่นเอาไว้แล้วหลายครั้งออกมา ตั้งใจว่าจะใช้เหล้ารัมดีกรีแรงแทนแอลกอฮอล์และผสมน้ำเพื่อดื่มแทนเหล้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เขาดื่มก่อนประมาณสองร้อยห้าสิบมิลลิลิตร สุดท้ายปรากฏว่าเหล้ารสชาติไม่เลวและมีความเข้มข้นอยู่เล็กน้อย นอกจากความรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิดในวันรุ่งขึ้นแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นเขาจึงเติมน้ำเข้าไปอีกแล้วมอบให้กับจางกงจิ่นดื่ม…
เมื่อตื่นขึ้นมาบ้วนปากในตอนเช้า อวิ๋นเยี่ยพบว่าเหงือกของตัวเองมีเลือดออก นี่คืออาการของการขาดวิตามิน ตอนนี้ไม่มีวิธีที่ดีเลย นอกจากใบชาเขาไม่มีพืชชนิดอื่นที่กินได้
ข้างนอกค่ายในวันนี้ จางกงจิ่นเอามือกุมศีรษะ พยายามยืนตัวให้ตรงขึ้นอีกหน่อย เหล้าเลิศรสที่อวิ๋นเยี่ย มอบให้เมื่อคืนนี้นั้นรสชาติอร่อยจริงๆ แต่อาการปวดศีรษะในวันรุ่งขึ้นทำให้เขาลืมไม่ลงชั่วชีวิต มันสมองดูเหมือนจะแยกออกจากกะโหลกศีรษะ หากส่ายศีรษะก็ปวดมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเหล้าดีชนิดไหนกัน
เสียงแตรทุ้มต่ำดังมาแต่ไกล บนที่ราบสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะเริ่มมีคนปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่มีการเดินเป็นขบวนทัพแล้ว คนจำนวนมากหมอบอยู่บนหลังม้าและมีทีท่าว่าหล่นลงมา ธงแม่ทัพของหลี่จิ้งผืนธงห้อยตกอย่างห่อเ**่ยว หาได้มีความเกรียงไกรของผู้กุมชัยชนะไม่แม้แต่น้อย
จำนวนทหารที่กลับมามีไม่ถึงหกพันนาย ซึ่งก็หมายความว่ามีทหารสี่พันกว่านายที่ไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ทุกคนในค่ายใหญ่ที่รอต้อนรับนั้นเงียบเชียบไร้เสียง ไม่รู้ว่าใครใช้หมัดเคาะชุดเกราะบริเวณหน้าอกอย่างแรง จนเกิดเสียง “กึงๆ” เสียงนี้นั้นดังกังวานออกไปแล้วค่อยๆ มีเสียงดัง “กึงๆ” ขึ้นอย่างพร้อมเพรียงบนทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่า
พวกทหารกลับไปที่ค่ายโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นช่วยพยุง ไม่ว่าฝีเท้าของพวกเขาเหนื่อยแรงเพียงใดก็ไม่เคยหยุด เมื่อมีทหารหนึ่งคนเดินผ่านประตูค่ายเข้ามาก็จะมีคนพยุงพวกเขาไปยังกระท่อมหิมะที่อบอุ่นในทันที เมื่อถอดชุดเกราะออกจากนั้นจึงถอดเสื้อผ้า เพียงแต่ขั้นตอนนี้ไม่ได้ราบรื่นเสียเท่าไร มีเท้าของคนบางคนที่ผิวหนังเกาะติดเข้ากับถุงเท้าจนดึงไม่ออก ได้แต่แช่ในน้ำอุ่นก่อนจึงจะสามารถค่อยๆ แกะออกทีละชิ้นได้
เมื่อเหล่าทหารถูกห่อเข้าไปในผ้าห่มอุ่นๆ เกือบจะทุกคนที่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ก้าวเข้าสู่ห้วงความฝันในทันที
หลี่จิ้งเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าด้วยความยากลำบาก จางกงจิ่นเข้าสวมกอดเขาไว้แน่นโดยไม่รอให้เขาพูด พลางทุบหลังหลี่จิ้งอย่างแรง หลี่จิ้งได้แต่ยืนแข็งทื่อ หัวเราะเหอะๆ สองคำแล้วพิงอยู่ในอ้อมแขนของจางกงจิ่น ดูเหมือนว่าเสียงหัวเราะเบาๆ สองคำนั้นได้ทำให้ร่างกายเขาสูญเสียเรี่ยวแรงไปจนหมดสิ้น
ด้านข้างมีแม่ทัพหนุ่มร่างหนาเดินเข้ามาพูดกับจางกงจิ่นว่า “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้หลับตาลงพักเป็นเวลาหกวันแล้ว” นี่ก็คือซูติ้งฟาง ใบหน้าทาด้วยน้ำมันวัวไว้ จึงมองไม่เห็นสีผิวของเขา เห็นแต่เพียงดวงตาสีแดงก่ำสองดวงเท่านั้น
รถลากเลื่อนตัวหนึ่งขับเข้ามาที่ค่ายอย่างดุดันไม่เกรงใจ ด้านบนกองขนสัตว์ไว้เต็มลากเลื่อน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมพยายามดิ้นรนโผล่ศีรษะออกจากกองขนสัตว์นั้น เพื่อบอกกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นโหว ดึงข้าที ข้าลุกไม่ได้” อวิ๋นเยี่ยเพ่งมองอยู่เป็นนานจึงจำใบหน้าและนึกออกว่าเขาก็คือ ถังเจี่ยน คนคนนี้ช่างเหมือนที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้จริงๆ มีชีวิตรอดออกมาจากกองทหารนับหมื่นนับพันได้
จึงช่วยกันกับเหล่าจวงพยุงถังเจี่ยนออกจากลากเลื่อน ก็ได้ยินถังเจี่ยนพูดว่า “อวิ๋นโหว ส่งข้าไปที่กระโจมของเจ้าที ข้าต้องการพักผ่อนให้เต็มที่” จากนั้นก็พิงกายเหล่าจวงแล้วหลับไป
สติปัญญาของบุคคลเป็นตัวกำหนดความก้าวหน้าว่าจะไปได้ไกลเพียงไร ดังเช่นถังเจี่ยน ในขณะที่อยู่ในสภาพกำลังจะหมดแรง เขาก็ยังคงสามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดจากบรรดากระโจมทั้งหมดในค่ายทหารได้อย่างชัดเจน ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้
ในวันเดียวกัน ก็เกิดเสียงฟ้าร้องจากจมูกดังไปทั้งค่าย…