ตอนที่ 198 จับตาดูอยู่ตลอดเวลา ดูสิว่านางยังจะกล้าไม่เชื่อฟังอีกไหม

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

อยู่ดีๆ ตู๋กูซิงหลันก็พลันนึกสงสารอู๋เจินน้อยขึ้นมา 

 

 

อู๋เจินน้อยถูกคนคิดถึงจนต้องจามออกมายกใหญ่ ในกระท่อมไม้ไผ่ เขาลูบจมูกพลาง ในใจก็รู้สึกหวาดผวาอยู่บ้าง 

 

 

เขาแค่เผลอไปนิดเดียว ก็ดันทำท่านเซียนไทเฮาหายไปเสียแล้ว สวรรค์ทรงโปรดเถอะ ดูสายพระเนตรที่ฝ่าบาททรงมองเขาสิ แทบจะแทงเขาให้ทะลุอยู่แล้ว 

 

 

สวรรค์ได้โปรดเมตตาด้วยเถอะ ระดับของเขากับไทเฮาน้อยนั้นต่างกันสักหนึ่งแสนแปดพันลี้ได้ เขาจะไปรั้งนางเอาไว้ได้อย่างไรกัน 

 

 

แต่ว่าเรื่องนี้เขาจะอธิบายให้ฝ่าบาทฟังได้อย่างไร 

 

 

หากว่าพูดความจริงออกไป เกรงว่าคำพูดยังไม่ทันได้ออกจากปาก ก็คงโดนไทเฮาน้อยผู้นั้นขว้างยันต์ออกมาสักใบสองใบ แค่นี้ก็พอจะทำให้เขาต้องอำลาโลกที่สวยงามใบนี้ไปเสียแล้ว 

 

 

ยังดีนะ ยังดี ที่ฝ่าบาทยังทรงมีเรื่องวุ่นวายเรื่องอื่นอยู่อีก ถึงได้ไม่ทรงมาหาเรื่องกับเขา 

 

 

 

 

 

สามวันหลังจากนั้น ก้อนเมฆมืดครึ้มเหนือท้องฟ้าเมืองลี่โจวก็กระจัดกระจายออกไปบ้าง ฮ่องเต้ทรงเสด็จไปยังอารามเทพธิดาแต่เช้าตรู่ 

 

 

ชาวบ้านไม่น้อยพากันมาเฝ้ารอตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง ตลอดชีวิตพวกเขายังไม่เคยได้เห็นฮ่องเต้มาก่อนสักครั้ง ย่อมต้องรู้สึกสนอกสนใจอย่างยิ่ง 

 

 

ขบวนเสด็จของฝ่าบาทมิได้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงฉลองพระองค์มังกรทอง ข้างพระวรกายมีองครักษ์ไม่กี่คน 

 

 

หรานอ๋องที่มีร่างกายอ่อนแอก็ตามเสด็จอยู่ข้างๆ เขาสวมใส่ชุดสีดำสนิททั้งร่าง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องเต้ที่มีพระวรกายสูงใหญ่แล้ว เขาก็ดูเตี้ยไปถนัดตา 

 

 

ท่าทางของหรานอ๋องราวกับคนที่เจ็บป่วยมานาน ดวงเนตรปูดโปน แม้แต่ใต้ตาก็เป็นสีดำ 

 

 

พอชาวบ้านเห็นดังนั้น ต่างก็พากันรู้สึกปวดใจขึ้นมา ท่านอ๋องหรานเป็นท่านอ๋องที่ดีมีความรับผิดชอบ ยามปกติก็มีเมตตารักษาคุณธรรม ไม่เคยถือยศถืออย่างว่าตนเป็นอ๋อง บางครั้งก็ออกไปให้กำลังใจชาวบ้านจนถึงที่บ้าน ในใจของพวกเขา หรานอ๋องก็คือพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตอยู่บนโลก ที่คอยช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากโดยเฉพาะ 

 

 

ก่อนหน้านี้เขายังดูสดใสกว่านี้บ้าง ตอนนี้กลับดูเหมือกำลังป่วยไข้อยู่อย่างไรอย่างนั้น นี่จะต้องเป็นเพราะว่าครั้งก่อนเขาใช้ร่างกายตนเองขวางแม่น้ำเอาไว้ จนทำให้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา 

 

 

ท่านอ๋องที่ดีเช่นนี้ นับว่าสูงส่งหาได้ยากจริงๆ 

 

 

พูดขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้ที่จริงหรานอ๋องก็นับว่าเป็นบุรุษที่งดงามผู้หนึ่ง ในบางครั้งเขาก็จะสวมใส่ชุดสีขาวทั้งร่าง หากมิใช่เป็นเพราะว่าลี่โจวตกอยู่ในความยากลำบาก เขาก็คงจะไม่กลายสภาพเป็นแบบนี้ 

 

 

ลองไปดูฝ่าบาทบ้างสิ อ้าาาา ช่างเป็นผู้ที่ดูแล้วสง่างามอะไรเช่นนี้ งดงามประหนึ่งเทพเซียนลงมาจากฟากฟ้า ชุดมังกรทองนั้นคงจะแพงมากสินะ 

 

 

ผู้คนในลี่โจวตั้งเท่าไหร่ที่ไม่มีข้าวและหมั่นโถกินสักคำ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว น้ำมหาศาลที่ทะลักเข้ามาครั้งนี้ แค่พวกเขายังมีเสื้อผ้าเอาไว้ใส่ ก็นับว่าดีมากแล้ว 

 

 

พอนำทั้งคู่มาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ผู้ใดมีใจห่วงใยชาวบ้าน ผู้ใดที่แค่มาตั้งขบวนเดินให้ดูเท่านั้น เพียงแวบเดียวก็สามารถบอกออกมาได้แล้ว 

 

 

หลายวันมานี้ ในเมืองลี่โจวมีข่าวเล่าลือว่า ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงประทานเสบียงบรรเทาทุกข์มาให้ แต่ว่ากลับถูกผู้ที่มาบรรเทาทุกขภิกภัยอย่างตู๋กูเจวี๋ยกักตุนเอาไว้ 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยผู้นั้นไม่เพียงกักตุนเงินบรรเทาทุกข์ เขายังเป็นสาเหตุให้เขื่อนแตก พอเกิดเรื่องก็ม้วนหางหนีหายไป กระทั่งเงินบรรเทาทุกข์ก็ถูกเขาหอบเอาไปด้วย 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว หากว่าเบื้องหลังไม่มีฮ่องเต้หนุนอยู่ละก็ ตู๋กูเจวี๋ยจะกล้าบังอาจเพียงนั้นได้อย่างไร 

 

 

ฮ่องเต้พระองค์นี้ เพียงแต่ใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาหลอกลวงผู้คนเท่านั้น 

 

 

เกรงว่าล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ตู๋กูเจวี๋ยก็คงจะหอบเอาเงินบรรเทาทุกข์กลับไปถึงเมืองหลวงแล้วละมั้ง และก็ทิ้งความยากลำบากยุ่งเหยิงทั้งหลายเอาไว้ให้หรานอ๋องดูแลต่อไป ที่ฮ่องเต้เสด็จมายังลี่โจว ก็เพียงเพื่อนเอาหน้าเท่านั้น 

 

 

ก็แค่มาจัดพิธีบูชาขอพรที่อารามสักรอบหนึ่ง เขาคิดว่าผู้คนทั้งหลายเป็นไอ้โง่กันหมดหรืออย่างไร 

 

 

เทพธิดาประจำสายน้ำองค์นั้นหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นสิบปีแล้ว ขนาดพวกเขายังไม่มีใครไปจุดธูปให้เลย เขามาขอพรที่อารามที่ไร้ความศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร 

 

 

ตลอดทางที่เดินทางมาจีหรานทรงคอยสังเกตดูปฏิกริยาของผู้คนอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าได้ผลตอบรับเช่นนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง 

 

 

เช้าวันนี้ เดิมทีฮ่องเต้ทรงสวมฉลองพระองค์สีดำมาสวดขอพร แต่ว่ากลับถูกเขาทูลทัดทานไว้ 

 

 

เขาบอกกับฮ่องเต้ว่า ในพิธีขอพรนั้นต้องแสดงออกถึงความรู้สึก ให้เห็นถึงความจริงใจอย่างที่สุด ถึงจะสามารถสร้างความประทับใจอันซาบซึ้งให้เทพธิดากลับมาปกป้องลี่โจวอีกครั้ง 

 

 

ดังนั้น จำเป็นจะต้องสวมใส่ชุดมังกร เพื่อจะได้แสดงออกถึงการให้ความเคารพ 

 

 

ฝ่าบาททรงรับฟังแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผล จึงเปลี่ยนเป็นชุดมังกรแทน 

 

 

ดูเอาสิ เจ้าโง่นี่ กลับเป็นคนหูเบาถึงเพียงนี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร พระองค์ก็ทรงทำตามนั้นไปหมด 

 

 

ในสถานการณ์เช่นนี้กลับสวมใส่ชุดมังกรที่หรูหรางดงาม มิใช่ว่าเท่ากับลากเอาความเกลียดชังของชาวบ้านทั้งหลายมาเทรวมกันหรอกหรือ 

 

 

ดูเอาสิ ถึงแม้ว่าพระองค์จะมีรูปโฉมงดงาม แต่พอปรากฏพระองค์ออกมากลับทำให้เหล่าชาวบ้านเกิดความรู้สึกย่ำแย่ด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

เมื่อประกอบกับข่าวลือที่เขาจงใจปล่อยออกไป ไม่ต้องเดาก็รู้แน่ว่าประชาชนทั้งหลายกำลังก่นด่าพระองค์อยู่ 

 

 

ไม่ต้องรีบร้อน พอพิธีขอพรเริ่มขึ้น ยังจะมีเรื่องให้พระองค์ได้โดนซ้ำเติมอีกเยอะ 

 

 

ที่จริงแล้วช่วงนี้จีหรานทรงครุ่นคิดถึงปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด อี้อ๋องจีเย่ผู้นั้นจะต้องเป็นคนโง่เง่าถึงขนาดไหน จึงได้พ่ายแพ้ให้กับคนอย่างจีเฉวียนได้กัน 

 

 

พลังอำนาจของราชวงศ์จีนั้นตกต่ำจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ฮ่องเต้ขาดคุณสมบัติถึงเพียงนี้ หากว่าแผ่นดินต้าโจวไม่ได้ถูกเขารับเอาไว้ เกรงว่าอีกไม่นานก็คงต้องเปลี่ยนแซ่ของผู้ปกครองกันแล้ว 

 

 

ฮ่องเต้ยังทรงมีสีพระพักตร์ที่ไร้อารมณ์ใดๆ ดังเช่นเคย นับตั้งแต่ที่พระองค์ย่างพระบาทออกมาจากตำหนักของหรานอ๋อง ก็มิได้กวาดพระเนตรมองดูประชาชนสักแวบหนึ่ง พระวรกายของโอรสสวรรค์ตั้งตรงงามสง่าดุจดั่งต้นสน ยามเสด็จผ่านก็ดูสูงส่งอย่างไร้ที่เปรียบ 

 

 

แต่ว่าในสายตาของจีหรานแล้ว ก็ไม่ถือว่ามีค่าใดๆ ทั้งสิ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็คุ้นเคยกับท่าทางดั่งเสือกระดาษของจีเฉวียนไปเสียแล้ว 

 

 

อารามเทพธิดาผุพังมานาน เนื่องเพราะการเสด็จมาของฮ่องเต้จึงได้รับการบูรณะ ต้นฮว๋ายกลางลานเ**่ยวเฉามานานหลายปีแล้ว ถึงแม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแต่ก็ไม่เคยมียอดใหม่แทงออกมาเลยสักนิด 

 

 

จีเฉวียนเสด็จเข้าไปในอาราม ประทับยืนอยู่กลางลานใต้ต้นฮว๋ายต้นนั้น ทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ลำต้นทั้งใหญ่และหนามาก ดูท่าอย่างน้อยๆ คงมีอายุนับร้อยปีแล้ว 

 

 

จีหรานเห็นพระองค์ทอดพระเนตรมองอยู่ครู่ใหญ่ ก็เกรงว่าจะเลยเวลาขอพร จึงทูลว่า ” ฝ่าบาท ต้นไม้ต้นนี้เมื่อสิบปีก่อนก็เ**่ยวเฉาไปแล้ว ไม่มีอันใดน่ามองหรอกพะยะค่ะ “ 

 

 

เขาไม่ได้เข้ามาในอารามนี้มานานแล้ว ยิ่งไม่ได้เห็นต้นฮว๋ายต้นนี้มานานเช่นกัน 

 

 

ต้นฮว๋าย เรียกผีได้ 

 

 

ตอนนั้นต้นฮว๋ายต้นนี้เติบโตอย่างยิ่งใหญ่และงดงาม ยามที่ดอกฮว๋ายผลิบานนั้น ก็จะกลายเป็นช่อดอกสีขาวบานสะพรั่งไปทั้งต้น ดอกฮว๋ายพร่างพราวเต็มไปหมด 

 

 

ทุกๆ ปียามที่ดอกไม้นี้ผลิบาน กลิ่นหอมขจรไปไกลหลายลี้ ดึงดูดเหล่าภูติผีเข้ามาไม่น้อย ชือหลีมักจะหัวเราะพลางกล่าวว่า รอให้เขาตายแล้ว ก็ให้ฝังร่างของเขาเอาไว้ใต้ต้นฮว๋ายนี้ เช่นนี้ดวงวิญญาณของเขาก็จะได้วนเวียนอยู่ในอารามเทพธิดา อยู่เป็นเพื่อนนางได้ตลอดไป 

 

 

พอคิดถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมา ในใจของจีหรานก็รู้สึกอึดอัดคับข้อง 

 

 

ยังดีที่พอจิตวิญญาณของชือหลีแตกสลายไปแล้ว ต้นฮว๋ายนี้ก็เ**่ยวเฉาตามไปด้วย 

 

 

จีเฉวียนทรงประทับอยู่ใต้ต้นฮว๋าย ในพระทัยก็คิดไปถึงตู๋กูซิงหลัน สาวน้อยที่ไม่รู้จักความสงบเสงี่ยมผู้นั้น ชอบออกไปวิ่งวุ่นวายอยู่เสมอ 

 

 

บนร่างของนางมีกลิ่นดอกฮว๋ายอยู่ตลอดเวลา คิดดูแล้วคงจะต้องชอบต้นฮว๋ายเป็นแน่ ไว้หลังจากกลับวังไปแล้ว เขาจะสร้างตำหนักใหม่ขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง ด้านในปลูกต้นฮว๋าย จากนั้นก็ขังนางเอาไว้ คอยจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลา ดูสิว่านางยังจะกล้าไม่เชื่อฟังอีกไหม 

 

 

พอคิดถึงตู๋กูซิงหลันแล้ว พระขนงของฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา 

 

 

เมื่อเห็นพระองค์พระอารมณ์ของพระองค์ จีหรานก็ทูลขึ้นมาว่า ” ฝ่าบาท ต้นฮว๋ายนี้มีลักษณะชั่วร้าย ถึงแม้จะเ**่ยวเฉามานานปี แต่ก็ยังคงมีความน่ากลัวอยู่ พระองค์อย่าได้ทอดพระเนตรนานจนเกินไปจะดีกว่าพะยะค่ะ “ 

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ จีเฉวียนถึงได้เก็บสายพระเนตรกลับมา พระพักตร์ที่งดงามก็กลับไปเย็นชาดุจดังน้ำแข็งอีกครั้ง 

 

 

ทรงหันไปทอดพระเนตรดูภายในอารามอีกรอบ ก็เห็นว่าบริเวณที่แตกหักผุพังทั้งสี่ด้านมีแต่ใยแมงมุม รูปปั้นเทพธิดายืนอยู่เพียงลำพังบนแท่นด้านใน ดวงหน้าเปี่ยมเมตตาแฝงรอยยิ้มที่ขมขื่น 

 

 

 

 

 

——

 

 

槐花 ดอกฮว๋าย Sophora japonica : ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ดอกไม้ที่มีสรรคุณทางยา นำมาผัดกิน สรรพคุณลดความดันเลือด ออกดอกเป็นช่อสีขาวทั้งต้น

 

 

(สำหรับกลิ่นหอมประจำตัวของอาหลันนั้นก็คือดอกฮว๋าย (槐) ไม่ใช่ดอกกุหลาบ (瑰) ต้องของอภัยทุกท่านด้วยสำหรับความผิดพลาดในการแปลที่ผ่านมา เนื่องจากตัวอักษรทั้งสองมีความคล้ายกันมากค่ะ)

 

 

槐树 ‘ ต้นฮว๋าย เรียกผีได้ ‘ : ที่จีหรานคิดเช่นนี้ เพราะในบางความเชื่อของคนจีน มีต้นไม้สี่ชนิดที่ว่ากันว่ามีความผูกพันและสามารถดึงดูดจิตวิญญาณเหนือธรรมชาติและภูตผี นั่นก็คือ 桑 (ต้นหม่อน) ,槐 (ต้นฮว๋าย) ,杨 (ยาง) ,柳 (ต้นหลิว, วิลโลล์) (ผู้แปลคิดว่านี่เหมือนกับที่บ้านเราเชื่อเรื่อง ต้นโพธิ์ , ต้นไทร, กล้ายตานีและต้นตะเคียนทอง)

 

 

ในส่วนของต้นฮว๋ายนั้นก็เป็นเพราะคำว่า 槐 นี้ ประกอบขึ้นมาจากตัวอักษรสองตัว ก็คือ 木 (มู่, ไม้) และ 鬼 (กุ่ย,ผี) นั้นเอง ประกอบกับความเขียวขจีของต้นไม้ชนิดนี้ทำให้สะสมธาตุหยินเอาไว้มาก จึงดึงดูให้มีวิญญาณเข้ามาสิงสถิต

 

 

แต่ว่าหากไปดูในตำราฮวงจุ้ยนั้น จะบอกว่าต้นฮว๋ายนี้ ไม่ได้เรียกผี แต่เป็นการสะกดข่มผีและขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างหาก ทั้งยังช่วยเรียกทรัพย์ด้วย