บทที่ 57 ความสมดุล (2) โดย Ink Stone_Fantasy
เหมือนจะจบแล้วใช่ไหม?
หรือว่ายังไม่จบ?
ยูริเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาเพียงแต่เดินไปในห้องที่มีภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพที่สองวางไว้
ความจริงแล้ว ก่อนที่งานประมูลครั้งที่สองจะเริ่มขึ้น เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่เยอะที่สุด
ยูริหยิบเหล้าที่เขาเองก็ไม่รู้จักชื่อขึ้นมาขวดหนึ่ง กัดจุกไม้โอ๊คเปิดออก ก่อนดื่มอย่างรีบร้อนและดุเดือด
ประมาณสามสิบหรือสี่สิบนาทีก่อน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ก่อนจะถูกเอดการ์พาตัวออกไปจากที่นี่
แต่ตอนนี้เยฟิมตายแล้ว ส่วนอีกคนที่เขาไม่รู้ชื่อก็ตายไปแล้ว…ในคฤหาสน์แห่งนี้ มีคนตายไปไม่น้อย
ยูริหลับตาลงช้าๆ ภาพลั่นไกสังหารคนแต่ละฉากๆ เมื่อหลายนาทีก่อนยังลอยวนอยู่ในหัวเขาตลอด
…
…
“แกกล้าตุกติก!”
เยฟิมสบถ เขาคิดว่าเจ้านี่จะต้องมีเล่ห์เหลี่ยมแน่ แต่เขาก็อยากเจอหน้าทายาทตระกูลดีคาปี้ที่ทำให้เขาตกต่ำขนาดนี้ จึงยอมให้ยูรินำทางเขาไปหา
“แกตายแน่” เยฟิมคำรามเสียงเย็นชา
แต่เทียนจุ้ยกลับไม่มีอะไรจะพูด เทียบกับเยฟิมแล้ว เขายอมเก็บกวาดสิ่งกีดขวางให้เรียบ แล้วส่งเยฟิมที่เหมือนหมูป่าหนีออกไปภายในเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้นดีกว่า
เขาเล็งปืนเบนเนลี่ M1 ที่บรรจุกระสุนเต็มแม็กไปที่โต๊ะหนังสือตัวนั้น กระสุนที่พุ่งออกมาก็เพียงพอที่จะยิงคนให้พรุนไปพร้อมๆ กับโต๊ะหนังสือได้
ฆ่าคน สำหรับเขาแล้วก็เหมือนกิจวัตรประจำวัน ท้องร้องก็ต้องกิน อยากฆ่าคน…ก็ฆ่าสิ
จังหวะที่เขาเหนี่ยวไกปืน ยูริก็ร้องตะโกนและพุ่งตัวออกมาจากหลังโต๊ะหนังสือทันที
ช่างกล้าหาญเหลือเกิน
เทียนจุ้ยแอบคิดในใจ…แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนแปลงจุดจบของหมอนี่ไม่ได้หรอก
เฮ้อ ภารกิจ ‘ส่งตัว’ ครั้งนี้…น่าเบื่อจริงๆ
เทียนจุ้ยพลันนึกถึงเรื่องราวมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็สั่นกลัวไปทั้งตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกหวาดกลัวนี้มาจากไหน…
สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ ขณะที่นิ้วมือของเขากำลังเหนี่ยวไกอยู่นั้น มันก็เกิดอาการแข็งทื่อ
ร่างกายแข็งทื่อ!
สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว
แต่ว่า!
ร่างกายของเขายังขยับไม่ได้ ในเวลาต่อมาเขาก็เห็นกระสุนนัดนั้นถูกยิงออกมาจากปืนในมือของยูริ เขาเห็นมันชัดเจนมาก จนกระทั่งมันพุ่งมาฝังในระหว่างตาทั้งสองของเขาอย่างแม่นยำ
เขารู้สึกถึงความเจ็บปวด..เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ตอนนี้ลูกกระสุนถูกยิงเข้าศีรษะเขาไปแล้ว
สุดท้าย เขาก็นึกถึงแก่นแท้ของ ‘**โคมตะเกียง*’**ได้
ทุกๆ การเคลื่อนไหวราวกับภาพถ่ายสโลว์โมชั่น เทียนจุ้ยหงายหลังล้มตึง จังหวะที่ร่วงลงพื้น ความยืดหยุ่นของผิวกายก็ทำให้ร่างของเขาเด้งขึ้นมาเล็กน้อย
จนฝุ่นที่อยู่ในพรมห้องหนังสือนี้ลอยขึ้นมา
ปังๆๆ…ปัง!
เสียงปืนสามหรือสี่นัด นี่เป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินในโลกใบนี้
ทำไมถึงขยับไม่ได้? เขาไม่รู้ เขารู้เพียงแต่ว่า โคมไฟประดับเพดานห้องหนังสือดูสวยงามมากทีเดียว
เทียนจุ้ย…ตายแล้ว
เยฟิมล่ะ?
ตอนนี้เยฟิมเบิกตาโพลง มือทั้งสองกุมท้องตัวเองไว้อัตโนมัติ แต่ไม่ว่าเขาจะกุมท้องแรงแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดของเหลวสีแดงสดที่ไหลออกมาจากตัวเขาได้
แล้วร่างของเขาก็เริ่มชักเกร็งทันที เขายื่นมือออกไป เหมือนจะหาอะไรมายันตัวเองไว้ แต่เขาก็หาไม่เจอ ใช่แล้ว เขาหาไม่เจอแล้วก็ล้มลงไปบนพื้น
กระสุนนัดหนึ่งทะลุหน้าอกเขาไป
เยฟิมจ้องมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย…นั่นเป็นแววตาสุดสยองขวัญก่อนตาย
ความจริงแล้ว…เขามองไม่เห็นอะไรเลย ข้างหน้ามืดสนิท แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ยูริอยู่ข้างตัวเขา
เยฟิมยื่นมือเปื้อนเลือดของตนออกไปข้างหน้า ทำได้เพียงคว้าเสื้อของยูริเอาไว้เท่านั้น!
ทั้งสองถลึงตาจ้องกัน ลมหายใจหนักหน่วงเป็นเหมือนดินปืนที่ระเบิดได้ตลอดเวลา ต่างฝ่ายต่างร้ายกาจใส่กัน
“แก…แกไม่มีทางอยู่อย่างสบาย…จุดจบของฉัน…” เยฟิมพ่นเลือดออกมา ก่อนพูดต่อ “ก็คือจุดจบของแก…ฉันจะสาปแช่งแก!”
…
…
“ฉันจะสาปแช่งแก”
ยูริเบิกตาโพลงทันที เยฟิมตายแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นเหมือนจ้องเขม็งมาทางเขาที่ห่างออกไปสิบเซนติเมตร
“ตายหมดแล้วล่ะ…”
เขากุมขมับ แล้วหัวเราะเสียงขรึมทันที เขาหัวเราะอยู่อย่างนั้น จนเกือบจะกลายเป็นเสียงร้องไห้
‘จุดจบของฉัน ก็คือจุดจบของแก’
ประโยคนี้ ที่จริงก็เป็นแบบนั้น…ยูริรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานตัวเองก็จะหลับไปตลอดกาล
ฉับพลันเขาก็นึกถึงวันที่ตนเองมาถึงเมืองนี้ นับจากวันนั้นผ่านไปวันแล้ววันเล่า ถ้าจะบอกว่าตัวเองมีพรสวรรค์จริงๆ ล่ะก็…บางทีผลงานทั้งหมดนี้ อาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้
ความสำเร็จไม่มีทางลัดให้เดินเหรอ…แอนนาน่ารังเกียจไหม?…บางทีถ้าช่วงปีกว่าที่มาเมืองนี้ เขายังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย และไม่รีบร้อนอยากได้โอกาส ก็คงจะไม่ตกลงทำของปลอมง่ายๆ แบบนี้เหมือนกัน
โทษตัวเอง?
ตัวเองผิดเหรอ? ถ้าเป็นจิตรกรข้างทาง แล้วสุดท้ายเขาประสบความสำเร็จได้เหรอ?
ตอนนี้ศัตรูตายหมดแล้ว…ชีวิตเขาก็เหลืออีกไม่นาน เวลาที่เหลือจะทำอะไรได้?เสวยสุขให้สุดเหวี่ยง ก่อนความตายจะมาเยือน เสพสุขกับชีวิตเศรษฐีให้ถึงที่สุด? แล้วก่อนที่ความตายจะมาเยือน จะเจ็บปวดแค่ไหนกัน? เวลาที่เหลืออยู่วันแล้ววันเล่า…จะเจ็บปวดแค่ไหนกัน?
ทันใดนั้น
ยูริเริ่มหมดอาลัยตายอยาก ก่อนค่อยๆ ยกปืนในมือขึ้น
เขารู้ว่ายังมีกระสุนอีกหนึ่งนัด
สายตาของเขาดูล่องลอย เหมือนกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์
ยูริอ้าปากช้าๆ แล้วค่อยๆ จ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับตัวเอง
เขาหลับตาลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ขยับนิ้วพร้อมเหนี่ยวไก…เขานับถอยหลังเวลามีชีวิตอยู่ ก่อนเลือกจบชีวิตตัวเอง
ปัง*!*
จบสิ้นแล้ว
…
จบสิ้นแล้ว
แต่เขายังลืมตาได้โดยไร้ความเจ็บปวด…และเห็นทั้งหมดรอบๆ นี้อย่างชัดเจน
ยูริหันหัวไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่ามีฝ่ามือหนึ่งมาอยู่บนหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไร และเจ้าของฝ่ามือก็คือ…เจ้าของสมาคม
“ปืนพกขนาดหกนัดนี้อานุภาพไม่เลวเลยจริงๆ นะครับ”
กระสุนนัดหนึ่งร่วงจากฝ่ามือเจ้าของร้านลั่ว แล้วตกลงพื้นอย่างช้าๆ ยูริมองดูกระสุนนัดที่ร่วงลงบนพื้นนี้ ก็โมโหขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ทำไมต้องขวางผมด้วย? ไม่ต้องรอให้หมดเวลา คุณก็เอาวิญญาณผมไปได้เลย คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
“พวกเราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร…” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่น…การซื้อขายที่ครอบคลุม”
“อะไรนะ?”
ยูริเผยสีหน้างงงวย
แต่ตอนนี้ลั่วชิวกลับดีดนิ้วเบาๆ แล้วยูริก็สลบล้มลงไปบนพื้นทันที…
และตอนนี้ แอนนาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากข้างหลังลั่วชิว
เธอคุกเข่าลง ยื่นมือไปลูบหน้ายูริ
“ท่าทางคุณแอนนาจะรักยูริมากจริงๆ ถึงได้ขอไปแบบนี้” ลั่วชิวพูดเสียงเบา
แอนนาเงยหน้าขึ้น พลางส่ายหน้า “คุณเข้าใจ…ว่ารักคืออะไรไหม?”
ลั่วชิวอึ้งไป ตั้งแต่จำความได้ นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามนี้กับเขา
เขาส่ายหน้า
“งั้นเหรอ” แอนนาหัวเราะช้าๆ “แต่ฉันว่า ฉันไม่ควรรักผู้ชายคนนี้…แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็รู้สึกติดค้างเขา”
แอนนาสูดหายใจเข้าลึกๆ “น่าขำสินะ? ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้น ฉันรู้ว่าเขารักฉันมากแค่ไหน ฉันคิดว่า…ฉันจะเปิดใจรักเขาได้สักวัน อย่างน้อยก็ถือเป็นการชดเชย? หรือเป็นเพียงแค่การตอบแทน แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความรักเลย ฉันเป็นคนที่ไม่ควรถูกรัก…ฉันก็แค่ละอายใจเท่านั้นแหละ”
เธอลุกยืนขึ้น “ฉันคิดจะทำอะไรสักอย่างที่ชดเชยเขาได้จริงๆ ในเมื่อฉันควรตายไปแล้ว และสุดท้ายเยฟิม…ก็ตายด้วยน้ำมือของยูริเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าวิธีการจะต่างกับที่ฉันหวังไว้ก็ตาม”
แอนนาส่ายหน้าเล็กน้อย “รู้ไหม? ที่จริงฉันมีโอกาสฆ่าเยฟิมตั้งหลายครั้ง”
เธอเผยยิ้มเย้ยหยัน “เท่าที่ฉันดู หมอนี่หลงใหลเรือนร่างของฉันมาก…แต่การฆ่าเขาให้ตายไปเลยไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ เขาตายแล้วก็แค่มีเจ้าของเหมืองคนใหม่มาแทน ถ้าไม่สามารถขุดคุ้ยความเกี่ยวข้องระหว่างผู้มีอำนาจและเหมืองได้ และปล่อยให้คำวิพากษ์วิจารณ์จากมวลชนของประเทศนี้มาโจมตีความโสมมของพวกมันล่ะก็ เยฟิมตายไปคนหนึ่งแล้ว ก็จะมีคนต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในเมื่อเยฟิมตายไปแล้ว ฉันก็สมควรตายเหมือนกัน…ถ้างั้นก็มาจบเรื่องนี้กันเถอะ เขา…”
แอนนามองยูริที่อยู่บนพื้น พูดเสียงเบาๆ ว่า “เป็นเพียงคนน่าสงสารคนหนึ่งที่ดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉัน ที่จริงแล้วเขาสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว ฉันเชื่อว่า แค่ให้เวลาเขามากพอ เขาจะต้องเฉิดฉายเป็นจิตรกรที่เยี่ยมคนหนึ่งได้แน่”
“คุณเลือกที่จะทำเป้าหมายเดิมให้สำเร็จได้นะครับ” เจ้าของร้านลั่วพูดขึ้นทันที
แอนนาหัวเราะเบาๆ เธอคิดว่ามันตลก “คุณนี่ประหลาดจริงเชียว เสนอตัวเลือกให้ฉันหลายต่อหลายครั้ง ล้วนเป็นตัวเลือกที่เกิดประโยชน์ต่อตัวฉันเองจนปฏิเสธไม่ได้เลย ดูเหมือนคุณยินดีเห็นฉันเลือกตัวเลือกที่เป็นประโยชน์กับตัวเองนะ”
ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “เพราะพวกผมยืนอยู่ข้างลูกค้าครับ”
“งั้นเจ้าของอย่างคุณก็คงล้มเหลวมามากแล้ว” แอนนาส่ายหน้าเล็กน้อย พลางพูดว่า “มีบางเรื่อง…ที่คนเรายอมทำร้ายตัวเองเพื่อคนอื่น”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย เขาแบมือทั้งสองข้างยื่นมาข้างหน้าเล็กน้อย จากนั้นบันทึกหนังแกะเก่าๆ ม้วนหนึ่งก็โผล่ออกมากลางอากาศ ก่อนไปอยู่ตรงหน้าแอนนาช้าๆ แล้วกางออก
“ข้อตกลงในสัญญา ถ้าคุณแอนนาไม่มีปัญหา ก็เซ็นชื่อได้เลยครับ”
แอนนากดฝ่ามือลงบนสัญญาเบาๆ
…
“นายท่าน เสียใจเหรอคะ?”
คุณสาวใช้มองออกว่าตอนนี้นายท่านของตนเงียบขรึมไปเล็กน้อย…เธอยืนเป็นเพื่อนลั่วชิวอยู่ที่จุดที่สูงที่สุดของคฤหาสน์แห่งนี้ มองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างล่าง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาหลายนาทีแล้ว
แต่เจ้าของร้านลั่วกลับไม่พูดอะไรสักคำ สาวใช้ที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็นึกขึ้นได้ทันที ว่าก่อนหน้านั้นเขามักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เข้าไปยุ่งมากนัก
“เสียใจ?” ลั่วชิวหันหน้ามามองโยวเย่อย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”
คุณสาวใช้พูดเสียงเบาๆ ว่า “เพราะคุณภาพวิญญาณของคุณแอนนาไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ที่เธอได้รับการช่วยเหลือตอนนั้น ถ้าให้พูดอย่างจริงจัง ยัง…”
“ยังลดลงไปนิดหน่อยใช่ไหม?” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “เธอก็รู้ว่าแค่ได้ยินเรื่องแย่ฉันก็ไม่ด่าเธอหรอก ยังไงพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว”
“ค่ะ ความใจกว้างของนายท่าน ทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ ค่ะ” โยวเย่ตอบเสียงเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างลังเลว่า “แต่ว่า สัญญาฉบับนี้ของคุณแอนนา…”
“แน่นอนว่าทำตามความต้องการของลูกค้า” ลั่วชิวตอบช้าๆ “อันดับแรก จัดการเรื่องราวในคฤหาสน์แห่งนี้”
ราวกับเรียกความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ในทันที เจ้าของร้านลั่วหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนแรกฉันคิดว่ามนุษย์หมาป่ากับมนุษย์ยาคงจะสู้กันอีกนาน ไม่ใช่เหรอ? แถมยังเพิ่มตัวละครใหม่เข้ามาอีก”
โยวเย่มองเทียนไป้ เยียร์เกอร์ และเวร่าที่อยู่บนพื้นโดยอัตโนมัติ…เธอไม่ได้รู้สึกว่าพลังต่อสู้ที่น่าขำนี้จะน่าสนุกตรงไหน
แต่ในเมื่อนายท่านของเธอแสดงท่าทางสนอกสนใจ ในฐานะที่เป็นสาวใช้ที่ดีคนหนึ่ง เธอควรอยู่เป็นเพื่อนเขา ดีใจไปกับเขา กระทั่งช่วยสร้างบรรยากาศให้เขาสนุกยิ่งขึ้น
“นายท่าน ดูสิคะ ท่าทางคุณเวร่าจะเรียน BJJ*มา ท่านี้ก็คือ…”
…
เจอคนไม่ปกติแบบนี้ สำหรับเวร่าแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ความสนใจเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่ยังมีอีกคนหนึ่ง
อืม…เกรงว่าจะไม่ใช่คนที่ควบคุมชีพจรหมาป่าในตัวได้ดีนัก ตอนนี้คงขาดสติไปแล้วสินะ?
เวร่าสังเกตเยียร์เกอร์ที่อยู่ในสภาพสัตว์ร้ายอย่างสมบูรณ์แวบหนึ่ง แล้วก็มองไปที่ ‘ยักษ์’ ที่อยู่ข้างหน้าตนนี้
“น่าตื่นเต้นจริงๆ”
เวร่าหายตัวไปในคฤหาสน์แห่งนี้อย่างรวดเร็ว เธอจำโครงสร้างของที่นี่ได้ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว
เห็นได้ชัดมากว่า ครั้งนี้เธอไม่หลงทางเลย ที่โชคร้ายกว่าหลงทางก็คือ เธอหลุดเข้าไปในการต่อสู้ประหลาดพร้อมกับ ‘ยักษ์’ ตนนี้ แล้วไหนจะ ‘หมาป่า’ ที่ขาดสติตัวนี้อีก
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอมนุษย์เช่น ‘ยักษ์’ ไปจนถึง ‘หมาป่า’ ขาดสติ เธอที่ไม่คิดจะใช้พลังสกปรกก็จำต้องยอมเปลี่ยนความคิด ไม่อย่างนั้นเธอก็จะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด
“ถ้าไม่ใช่เพราะนายเองก็เป็น ‘หมาป่า’ ฉันจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย!” เวร่ามองหมอนี่ที่พุ่งเข้ากัด ‘ยักษ์’ อย่างบ้าคลั่ง ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด
อืม…ว่าแต่นี่ที่ไหนกัน?
ห้องภาพเหรอ?
ที่แท้ช่วงที่กำลังต่อสู้ไล่ล่าและหลบหนี ทั้งสามคนก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องวาดภาพแห่งนี้แล้ว
*โคมตะเกียงคนจีนเปรียบเทียบแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์เหมือนแสงไฟโคมตะเกียงเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิดไม่มีหยุดนิ่ง
**BJJบราซิลเลียนยิวยิตสู (อังกฤษ: Brazillian Jiu-jitsu) เรียกสั้นๆว่า BJJ เป็นศิลปะการต่อสู้สมัยใหม่ซึ่งมีลักษณะเด่นในการต่อสู้จับล็อกบนพื้น แต่ก็มีจุดเด่นทั้งการทุ่มและการควบคุมคู่ต่อสู้จากทางด้านบน จินตนาการง่ายๆคือคล้ายกับการเอากีฬายูโดมาผสมกับมวยปล้ำแล้วมีการฝึกท่าจับล็อกบนเพิ่มเข้าไป