บทที่ 491 ลมจับ

บัลลังก์พญาหงส์

อย่างที่คาดเอาไว้ อีกสองสามวัน หลี่เย่ก็ต้องเริ่มเข้าวังหลวงไปที่ศาลาว่าการทุกวัน

 

 

เพราะว่าวันเกิดครบปีของเซิ่นเอ๋อร์ใกล้ถึงแล้ว ดังนั้นถาวจวินหลันจึงต้องเลื่อนเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น เจียงอวี้เหลียนเป็นมารดาของเซิ่นเอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องถามความเห็นของเจียงอวี้เหลียน

 

 

แต่ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกว่า ปีนี้ไม่ค่อยเหมาะจัดงานใหญ่นัก อย่างไรก่อนหน้านี้ก็มีคนตายไปมากมาย เพิ่งจะจัดการกับผู้ประสบภัยได้ แม้แต่ภายในวังหลวงเองก็พูดถึงเรื่องการประหยัดมัธยัสถ์

 

 

แน่นอนว่านางจะพูดเช่นนี้ออกไปตรงๆ คงไม่ดี เพียงแค่พูดอ้อมค้อมเท่านั้น ส่วนเจียงอวี้เหลียนจะเข้าใจหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาของนางแล้ว

 

 

เจียงอวี้เหลียนน่าจะเข้าใจ ก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางพูดว่า “ร่างกายของข้าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่แล้ว ถ่อมตัวลงเสียหน่อยก็ดี อีกอย่างเซิ่นเอ๋อร์เองก็ไม่ใช่ลูกของภรรยาเอก และไม่ใช่ลูกคนโต จัดใหญ่คงไม่เหมาะนัก”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เรียบง่ายหน่อย แต่ท่านอ๋องเองก็กำชับว่าไม่อนุญาตให้ละเลยหรือไม่ยุติธรรมกับเซิ่นเอ๋อร์ ดังนั้นก็ไม่ต้องเรียบง่ายมากเกินไป”

 

 

“เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ ข้าเองก็สบายใจ” เจียงอวี้เหลียนแย้มยิ้มพูดว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางทำเรื่องอยุติธรรมกับเซิ่นเอ๋อร์แน่นอน” แค่เพียงประโยคเดียว กลับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันเองก็ไม่ดึงดัน รับคำพลางกลับไปยังเรือนเฉินเซียง

 

 

ตั้งแต่เจียงอวี้เหลียนติดโรคระบาด ก็สร้างความวุ่นวายให้กับนางน้อยครั้งนัก

 

 

เรื่องนี้ถาวจวินหลันรู้สึกพอใจมาก แน่นอนว่าไม่อยากที่จะไปดึงดันเรื่องอื่นอีก

 

 

แต่ยังไม่ทันรอให้ได้จัดงานครบขวบของเซิ่นเอ๋อร์ ภายในวังหลวงก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น นางกำนัลข้างกายของฮ่องเต้ตั้งครรภ์

 

 

หลังจากตรวจพบแล้ว ขันทีดูแลวังก็รีบตรงไปรายงานฮองเฮาทันที อย่างไรก็ควรให้ฮองเฮาจัดการเรื่องนี้ ฮองเฮาคิดแค่ว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของฮ่องเต้ จึงเอ่ยปากยกฐานะให้นางกำนัลคนนั้น

 

 

ใครจะรู้ว่าพอนางกำนัลหญิงคนนั้นได้ยินกลับร้องไห้เสียงดัง แม้กระทั่งอยากจะกระแทกกำแพงให้ตายไป

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็พอจะมองบางอย่างออก ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องนี้วุ่นวายไปกันใหญ่ ฮ่องเต้เองก็รับทราบ ให้คนพานางกำนัลหญิงคนนั้นเข้ามาทันที

 

 

ขุนนางชั้นนอกที่พอรู้กาลเทศะก็พากันหลบไป เหลือเพียงแค่หลี่เย่และองค์รัชทายาท รวมถึงอู่อ๋อง และยังมีองค์ชายเจ็ด

 

 

นางกำนัลถูกพาเข้ามา ฮ่องเต้เองก็จำได้ พูดว่า “นี่ไม่ใช่นางกำนัลในห้องชาหรอกหรือ?” ด้วยจำได้ ดังนั้นฮ่องเต้ถึงได้มั่นใจว่าลูกในท้องของนางกำนัลหญิงคนนี้ ไม่ใช่ของตนด้วยซ้ำไป

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้สีหน้าของฮ่องเต้ก็ไม่น่าดู ใบหน้าดำคล้ำลง ความกดดันแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ นางกำนัลคนนั้นพลันหวาดกลัวจนตัวสั่น

 

 

ตอนแรกฮ่องเต้คิดจะถามให้รู้เรื่อง แต่นางกำนัลหญิงคนนั้นกลับทนไม่ไหว มองไปยังองค์รัชทายาท แล้วร้องไห้พลางพูดว่า “องค์รัชทายาทช่วยข้าด้วย!”

 

 

เมื่อคำพูดนี้หลุดปากไป ฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องไล่ถามต่อไป ความจริงถูกตีแผ่ออกมาต่อหน้าทุกคนแล้ว เด็กคนนั้นเป็นลูกขององค์รัชทายาท

 

 

หากเปลี่ยนเป็นนางกำนัลหญิงที่ไม่ได้ดูแลปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ก็ดีไป แต่นางกำนัลคนนี้กลับดูแลปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ แม้นวังหลวงไม่ได้มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ว่าสตรีที่ดูแลรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ถือเป็นสมบัติของฮ่องเต้ แต่ในใจของทุกคนต่างคิดเช่นนี้ ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ควรทำลาย

 

 

องค์รัชทายาททำเช่นนี้ก็เท่ากับแตะต้องผู้หญิงของบิดา

 

 

ไม่เพียงแค่สีหน้าของฮ่องเต้ที่เปลี่ยนไปในทันใด คนอื่นก็เช่นเดียวกัน และองค์รัชทายาทก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน

 

 

องค์รัชทายาทยืนต่อไปไม่ไหว คุกเข่าลงไปเสียงดัง ก้มหมอบนิ่งอยู่กับพื้นตัวสั่นสะท้าน “เสด็จพ่อได้โปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ฮ่องเต้จะระงับโทสะได้อย่างไร? แล้วจะระงับโทสะอย่างไร? ฮ่องเต้ไม่สนใจว่าเป็นลูกชายของตน และยิ่งไม่สนใจว่าจะต้องไว้หน้าองค์รัชทายาท หยิบของที่อยู่ใกล้มือเขวี้ยงออกไปอย่างแรง

 

 

ที่เขวี้ยงออกไปเป็นแท่นฝนหมึกหยก อย่างน้อยหนักประมาณสองสามขีด หากปาโดนเข้าไปอย่างน้อยชีวิตขององค์รัชทายาทก็จะต้องหายไปกว่าครึ่ง

 

 

สายตาของหลี่เย่เป็นประกายเล็กน้อย ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเอาแขนบังเอาไว้ ต่อให้ออกแรงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถรับไว้ได้หมด ไม่เพียงแค่ไม่สามารถบังเอาไว้ได้เท่านั้น แขนของเขาก็ถูกกระแทกสะบัดไปอีกข้าง เจ็บกระดูกจนเหมือนแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

แท่นฝนหมึกเบี่ยงทิศไปเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้กระแทกเข้ากับศีรษะขององค์รัชทายาท แต่กลับกระแทกเข้าไปที่ไหล่ขององค์รัชทายาท ถือว่าเป็นการช่วยชีวิตองค์รัชทายาทเอาไว้ได้

 

 

หลี่เย่จะไม่บังไว้ก็ได้ แต่ถ้าหากไม่บังเอาไว้ องค์รัชทายาทถูกกระแทกจนเสียชีวิตหรือว่าเป็นอะไรหนักไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบฮ่องเต้ เขาก็ต้องถูกนินทาเหมือนกัน ต่อให้ทำเพื่อแสดงท่าทีน้องรักพี่ให้คนอื่นดู เขาเองก็ต้องแสดงออกมา

 

 

องค์ชายเจ็ดตกใจมาก ไม่สนใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว รีบพุ่งไปพลางตะโกนเสียงดัง “พี่รอง!”

 

 

ข้อศอกของหลี่เย่นั้นสั่นเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ เจ็บจนเหงื่อไหลซึม ฝืนยิ้มออกมา “ข้าไม่เป็นอะไร ไปดูองค์รัชทายาทเถิด”

 

 

ฮ่องเต้เห็นตนเองเขวี้ยงของไปโดนลูกชายสองคน และถูกเสียงร้องดังด้วยความตกใจขององค์ชายเจ็ดทำให้ตกใจจนได้สติกลับมา ฉับพลันนั้นก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ในตอนนี้ไฟโกรธของเขากำลังลุกโชน และไม่อาจทำใจเย็นได้ เพียงแค่หันไปสั่งองค์ชายเจ็ดว่า “ประคองพี่รองของเจ้าออกไป” ในใจของเขานั้นกล่าวโทษหลี่เย่ ทำไมอยู่ดีไม่ว่าดีถึงได้ขึ้นมาบังเอาไว้! อีกเดี๋ยวพอไทเฮารู้ก็จะต้องกริ้วอีกมิใช่หรือ?

 

 

องค์รัชทายาทเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ ที่เขาโดนนั้นกระแทกเข้ากับสะบักไหล่ของเขาพอดี พูดง่ายๆ คืออาการบาดเจ็บของเขารุนแรงกว่าของหลี่เย่ หมอบคลานอยู่บนพื้น องค์รัชทายาทเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าซีดเผือด อ้าปากพะงาบคล้ายปลาใกล้ขาดอากาศหายใจตาย นางกำนัลคนนั้นตกใจนิ่งอึ้งไป ตอนที่แท่นฝนหมึกลอยมา นางตกใจจนบื้อไป พอเห็นองค์รัชทายาทตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งตกใจ รู้สึกว่าวันตายของตนเองมาถึงแล้ว

 

 

“คนอกตัญญู!” ฮ่องเต้ด่าเสียงดัง เต็มไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจ และหยิบของที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง เขวี้ยงไปที่องค์รัชทายาททีละอย่าง แต่กลับไม่ใช่ของหนักอะไร เป็นของจำพวกพู่กันหรือว่าฎีกาอะไรทำนองนั้น ไม่เจ็บไม่ปวด

 

 

ฮ่องเต้ยังเขวี้ยงอย่างไม่สบกับอารมณ์ ฉับพลันก็รู้สึกแน่นอก และกลิ่นคาวเลือดในลำคอ ไอออกมาทีหนึ่ง แต่กลับอาเจียนออกมาเป็นโลหิตจำนวนมาก

 

 

ฮ่องเต้พลันนิ่งไปเช่นเดียวกัน มองดูรอยเลือดสีแดงสด อ้าปากค้าง ตัวเอนไปทางหนึ่งทันที

 

 

คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นขันทีเป่าฉวน หรือว่าหลี่เย่ องค์ชายเจ็ด หรืออู่อ๋อง ต่างก็พุ่งขึ้นไปข้างหน้าเหมือนรวงผึ้ง คราวนี้ไม่มีใครสนใจทั้งองค์รัชทายาทและนางกำนัลหญิงคนนั้น ทำให้ทั่วทั้งพระราชฐานยุ่งวุ่นวายไปหมด

 

 

เรื่องนี้ที่ถาวจวินหลันรู้ได้ ก็เพราะว่าต้องเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติอาการบาดเจ็บของหลี่เย่และอาการประชวรหนักของไทเฮา คราวนี้ฮ่องเต้โมโหไม่น้อย ลมแทบจับไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาเจียนเป็นโลหิตออกมา เกรงว่าครั้งนี้คงมีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดีเป็นแน่

 

 

แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือไทเฮา ไทเฮาลมจับหน้ามืดไปจริง ผลการตรวจของหมอหลวงไม่ค่อยดีนัก พูดแค่ว่าครั้งนี้คงจะทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

หลี่เย่ให้ถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้ามาในวังหลวง อย่างแรกก็ด้วยไทเฮาจะได้อารมณ์ดีขึ้นหากพบซวนเอ๋อร์ อย่างที่สองก็ด้วยกลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกะทันหัน ก็จะได้เห็นหน้าไทเฮาเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันรีบเข้าไปที่วังหย่งโซ่ว หลี่เย่กำลังบันดาลโทสะอยู่ “ใครกันที่บอกข่าวนี้กับไทเฮา!”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่ เรื่องใหญ่เช่นนี้ และไม่ใช่เรื่องดี คิดแล้วคงไม่มีใครกล้าบอกไทเฮาเป็นแน่ แต่ไทเฮาก็ยังรู้ แล้วยังลมจับหน้ามืดไปเพราะเรื่องนี้

 

 

แต่ที่ทำให้นางเป็นกังวลมากที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่นางเห็นแขนข้างหนึ่งของหลี่เย่พันผ้าเอาไว้มิดชิด แล้วยังแขวนเอาไว้ที่คอ

 

 

“เป็นอะไรไปเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่สนใจว่ามีคนเยอะหรือไม่ รีบเดินขึ้นไปถามหลี่เย่

 

 

สีหน้าของหลี่เย่ไม่น่ามองเท่าไรนัก ส่ายหัวเล็กน้อย “ไม่เป็นอะไร เพียงแค่กระแทกจนบาดเจ็บเท่านั้น กระดูกไม่ได้หัก รักษาแค่ไม่กี่วันก็หายแล้ว” กระดูกไม่หัก แต่ว่าแตก แต่เรื่องนี้เขาไม่คิดจะบอกถาวจวินหลัน

 

 

“เจ้าไปดูไทเฮาก่อนเถิด” หลี่เย่ถอนหายใจ “ฮองเฮาและนางสนมเฝ้าเสด็จพ่ออยู่ ทางด้านไทเฮานี้มีหลานสะใภ้เช่นพวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ เจ้าดูแลไทเฮาแทนข้าให้ดี ข้ายังจะต้องไปดูเสด็จพ่อ”

 

 

ถาวจวินหลันย่อมไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่สมควรทำ จึงพูดออกมาอย่างเด็ดขาด “ท่านวางใจ ข้าจะต้องดูแลไทเฮาเป็นอย่างดีเพคะ”

 

 

หลี่เย่เพียงแค่พยักหน้าอย่างรีบร้อย และรีบจากไป ทางด้านถาวจวินหลันก็ไม่กล้าล่าช้าอีก รีบเข้าไปภายในห้องเพื่อดูไทเฮา ส่วนซวนเอ๋อร์และหมิงจู นางก็ยังไม่กล้าให้พวกเขาเข้าไป ให้แม่นมคอยท่าอยู่ข้างนอกก่อน อย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าข้างในมีสถานการณ์เป็นอย่างไร หากว่าทำให้เด็กๆ ตกใจก็คงไม่ดี

 

 

ไทเฮายังไม่ฟื้นขึ้นมา สีหน้าเทาซีด ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ลมหายใจก็เบาบาง

 

 

ถาวจวินหลันเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใจพลันตกฮวบ ครั้งนี้ไทเฮาอยู่ในขีดอันตรายแล้วจริง ต่อให้ไม่ต้องถามหมอหลวง เพียงแค่ใช้สายตาของตนเองก็ยังมองออก

 

 

นางเข้าใจความรู้สึกโมโหของหลี่เย่ทันที ไม่ว่าจะมีความคิดเช่นไร ก็จะต้องลากคนที่บอกเรื่องนี้ให้ไทเฮารู้มาโบยตีให้ตายคาที่

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทไม่ได้อยู่ในห้อง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเดาว่านางคงไปดูแลองค์รัชทายาท อย่างไรองค์รัชทายาทก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ภายในห้องตอนนี้ไม่มีใคร พระชายาอู่อ๋องก็ยังไม่มา

 

 

ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของจางหมัวหมัวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก จึงก้าวขึ้นไปพลางพูดว่า “หมัวหมัวไปพักก่อนเถิด หากล้มพับไป เสาหลักของวังหย่งโซ่วก็ต้องล้มลงไปด้วย ที่นี่มีข้าอยู่ ท่านสบายใจได้”

 

 

จางหมัวหมัวเองก็มีท่าทีไม่ค่อยไหวแล้วเหมือนกัน เมื่อเทียบกับไทเฮา นางก็อายุน้อยกว่าไม่เท่าไร จึงพยักหน้ารับคำ นางจะล้มลงไม่ได้ มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะทำร้ายไทเฮาอย่างไร เมื่อครู่นี้คลาดสายตาไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็มีคนเอาเรื่องนี้มาบอกไทเฮาเสียแล้ว

 

 

คิดถึงตรงนี้สายตาของจางหมัวหมัวก็เป็นประกายเฉียบคม ประหนึ่งมีดคมมองไปยังนางกำนัลและขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องทีละคน คนที่ขี้ขลาดพลันก็รู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย แม้แต่หน้าก็ยังไม่กล้าเงยขึ้นมา

 

 

อยู่ในวังหย่งโซ่วมาหลายปี จางหมัวหมัวเป็นคนที่อยู่เบื้องหน้าไทเฮามานาน อำนาจที่สั่งสมมาย่อมไม่อาจล่วงเกินได้

 

 

เพียงแค่มองดูย่อมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ ดังนั้นสุดท้ายจางหมัวหมัวก็เก็บสายตาไป ในใจของนางนั้นคิดขึ้นมาในทันใด ในตอนนี้คนเลวทั้งหลายแหล่ภายในวังหลวงต่างพากันปรากฏตัวออกมา ฮ่องเต้ยังไม่ทันเป็นอะไรไป แต่สถานการณ์ก็เป็นขนาดนี้แล้ว หาก…

 

 

ที่จางหมัวหมัวเป็นกังวลที่สุดก็คือไทเฮา หากไทเฮาทนต่อไปไม่ไหว แล้วจะทำเช่นไร?

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร นอกจากเฝ้าดูไทเฮาแล้ว นางก็ไม่มีเรื่องที่ทำได้อีก นางไม่ใช่หมอ ทำได้แค่รอเท่านั้น

 

 

ในขณะเดียวกับที่นั่งนิ่ง นางก็เรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ในหัวอีกที โดยเฉพาะเรื่องวันนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าภายในวังหลวงเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ