บทที่ 492 บีบคั้น

บัลลังก์พญาหงส์

พระชายาจวงอ๋องและและพระชายาอู่อ๋องมาพร้อมกัน หลังจากเข้ามาเห็นสภาพของไทเฮาแล้ว น้ำตาก็ไหลพรากทันที แม้ว่าจะไม่ได้ร้องไห้โวยวาย แต่ก็เสียใจมาก “ไทเฮาเพคะ ท่านตื่นขึ้นมาเถิดเพคะ!”

 

 

ถาวจวินหลันนั่งมองอยู่ข้างๆ อย่างตกตะลึงตาค้าง แล้วก็ได้สติกลับมา เมื่อเทียบดูแล้ว ตนเองเหมือนคนที่ไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อย แต่พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องกลับดูเป็นหลานสะใภ้ที่กตัญญูรู้คุณ

 

 

แต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ดูเกินเหตุไปเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันนวดขมับของตนที่รู้สึกปวดขึ้นมา เอ่ยเสียงเตือน “พระชายาจวงอ๋อง พระชายาอู่อ๋อง ตอนนี้ไทเฮาต้องการพักผ่อนอย่างสงบ หากพวกท่านเสียใจจริง ก็ออกไปร้องไห้ก่อนแล้วค่อยเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ อีกอย่างอาการของไทเฮายามนี้ยังดีอยู่ พวกท่านร้องไห้เช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ” คนที่ไม่รู้เรื่องคงคิดไปว่าไทเฮาเสียชีวิตไปแล้ว

 

 

เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป นางกำนัลและขันทีที่อยู่ข้างๆ ต่างก็พากันคิดเช่นนั้น

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องไม่ได้คิดเช่นนั้น คิ้วของพระชายาจวงอ๋องขมวดแน่น ดวงตาฉายแววไม่พอใจหรี่ลงมองถาวจวินหลันอย่างเฉียบคม ท่าทีเช่นนั้นแสดงออกมาว่าไม่ได้เห็นถาวจวินหลันอยู่ในสายตา

 

 

อย่างที่คาดเอาไว้ เมื่อพระชายาจวงอ๋องเอ่ยปาก ก็แฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย “ชายารองถาว เพราะไทเฮาป่วยอยู่ ข้าเองจะไม่ไปเอาเรื่องเอาราวที่เจ้าเสียมารยาท แต่เจ้ากลับทำท่าทางทะนงได้ใจ ทำตัวสูงส่งกับพวกเรา เจ้าเรียนมารยาทมาอย่างไรกัน ดูท่าทางจวนตวนชินอ๋องคงไม่มีนายหญิงคอยสั่งสอน ช่างไม่ถูกต้องเสียจริง”

 

 

จากที่พระชายาจวงอ๋องดูแล้ว ถาวจวินหลันจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด จะมีหน้ามีตาต่อหน้าไทเฮามากเพียงใด ก็เป็นเพียงชายารองคนหนึ่งเท่านั้น ต่ำศักดิ์กว่าพวกนางอยู่ขั้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด จะเอาอะไรมาทัดเทียมกัน?

 

 

ถาวจวินหลันมองพระชายาจวงอ๋องอย่างตื่นตะลึง ไม่เข้าใจว่าพระชายาจวงอ๋องต้องการทำอะไร หลังจากตั้งสติได้แล้ว นางก็ยิ้มบางๆ พูดว่า “แต่เดิมข้าที่เป็นชายารองพบพระชายาทั้งสองท่านก็ต้องทำความเคารพ แต่พระชายาทั้งสองท่านคงจะลืมบางเรื่องไป ตอนนั้นที่ฮ่องเต้ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ประทานให้ตัวข้ามีเกียรติยศเท่ากับชายาเอก ดังนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ”

 

 

ด้วยไทเฮาต้องการพักผ่อนอย่างสงบ หากพระชายาจวงอ๋องไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้ บางทีนางอาจยังถอยให้ได้ก้าวหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้หรือ นางถอยออกมาก้าวหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามก็คงไม่ยอมเลิกรา อีกอย่างนางในตอนนี้เป็นตัวแทนของจวนตวนชินอ๋อง ยิ่งไม่อาจก้มหน้าได้

 

 

พระชายาจวงอ๋องถูกคำพูดของถาวจวินหลันทำให้สะอึกไป จนแทบไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อ

 

 

กลับเป็นพระชายาอู่อ๋องที่หัวเราะเสียงเย็น “ก็แค่ทัดเทียมกับชายาเอกเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ใช่”

 

 

คำพูดของพระชายาอู่อ๋องนั้นเฉียบคม ถาวจวินหลันจึงยิ้มรับน้อยๆ มองไปยังพระชายาอู่อ๋อง “เป็นตามนั้น แต่ตำแหน่งเท่ากับชายาเอก ก็เท่ากับว่าข้ามีสิทธิไม่ต้องทำความเคารพ ใช่ หากข้าเทียบกับพระชายาจวนตวนชิงอ๋อง ข้าก็คงไม่ใช่พระชายา แต่ต่อหน้าคนอื่น ข้าคิดว่าจากคำพูดของฮ่องเต้ที่บอกว่ามีตำแหน่งเท่าชายาเอกยังคงมีผลอยู่”

 

 

ในเมื่อต้องการแย่งชิง นางย่อมต้องไม่กลัว นางยังมีคำสั่งสวรรค์อยู่ ยังจะต้องกลัวอะไรอีก? อีกอย่างหากเป็นเรื่องขึ้นมาก็เป็นสองคนนี้ ไม่ใช่นาง

 

 

แต่ด้วยความหวังดี ถาวจวินหลันก็ยังคงพูดเตือน “หากพระชายาทั้งสองไม่พอใจข้า พวกเราก็ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อหน้าฮองเฮาเหนียงเหนียง ทำไมจะต้องมาสร้างเรื่องวุ่นวายต่อหน้าไทเฮาด้วยเล่า? ยามนี้ไทเฮายังบรรทมอยู่ พวกเราเงียบเสียหน่อยจะดีกว่า”

 

 

แต่ประโยคเตือนด้วยความหวังดีเพียงประโยคเดียว พอดังเข้าไปในหูของพระชายาอู่อ๋องและพระชายาจวงอ๋องแล้วกลับเป็นการวางอำนาจและหาเรื่องมากกว่า

 

 

พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องสบตากัน สุดท้ายแล้วก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ยอมยุติการทะเลาะ และในขณะเดียวกันก็พร้อมใจกันเดินไปข้างหน้าเพื่อเฝ้าไทเฮา

 

 

ถาวจวินหลันมองดูแล้วว่าไม่มีที่ให้นางได้เดินแทรกเข้าไป จึงไม่คิดจะเข้าไปด้วย แต่กลับไปหาซวนเอ๋อร์และหมิงจู เพราะว่าไทเฮายังไม่ตื่น ดังนั้นจึงไม่พาพวกเขาเข้าไป

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ยาของไทเฮาก็ถูกส่งมา ถาวจวินหลันย่อมต้องรับเอาไว้เตรียมป้อนยาให้ไทเฮา

 

 

พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องกลับไม่มีท่าทีจะขยับออก แต่กลับยิ้มพลางยื่นมือมาทางถาวจวินหลัน แสดงท่าทีให้ถาวจวินหลันเอาถ้วยยาไปให้พวกนาง

 

 

ถาวจวินหลันทำเป็นมองไม่เห็น เดินตรงเข้าไปข้างใน สุดท้ายพระชายาจวงอ๋องก็ขยับตำแหน่งให้เล็กน้อย เพื่อให้ถาวจวินหลันได้ป้อนยาให้ไทเฮา ในใจของนางไม่อยากให้ทาง แต่มีคนยืนมองอยู่มากมาย นางคงไม่อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกับถาวจวินหลันได้ และยิ่งไม่อาจขวางถาวจวินหลันป้อนยาไทเฮาได้มิใช่หรือ?

 

 

ถาวจวินหลันนั่งลงสำเร็จ แล้วยังส่งยิ้มให้พระชายาจวงอ๋อง แทบจะทำให้พระชายาจวงอ๋องกระอักเลือด

 

 

พอเป่ายาให้หายร้อนจนรู้สึกว่าพอดีแล้ว ถาวจวินหลันก็เอ่ยกำชับพระชายาจวงอ๋อง “รบกวนพระชายาหยิบปากเป็ดเงินมาให้เสียหน่อย ข้าจะป้อนยาไทเฮา”

 

 

ปากเป็ดเงินนั้นทำมาเพื่อกรอกยาโดยเฉพาะ มีลักษณะคล้ายกับปากของเป็ด สามารถใช้สอดเข้าไปในฟันได้ ใช้สำหรับกรอกยา มิเช่นนั้นแล้ว ใช้ช้อนป้อนเข้าไปทีละคำคงวุ่นวายมากเกินไป แต่พอใช้สิ่งนี้ก็ประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะหกกระจาย เพียงแค่อดทนเสียหน่อย ป้อนเข้าไปช้าๆ ถึงจะดี แต่จะเร่งรีบไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจสำลักได้

 

 

ริมฝีปากของพระชายาจวงอ๋องขยับเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ทำตามที่บอก เรื่องการป้อนยาไทเฮานั้น พวกนางไม่ว่าใครก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ และยิ่งรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว

 

 

พอป้อนยาเข้าไปได้ ถาวจวินหลันก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง “ดีแล้ว ขอเพียงแค่ดื่มยาเข้าไปได้ก็ดีแล้ว” เกรงว่ากรอกยาลงไปเช่นนี้แต่ไม่สามารถกลืนเข้าไปได้ นั่นก็ถือว่าอันตรายมาก ขอเพียงแค่ดื่มยาได้ ถ้าเช่นนั้นก็สามารถป้อนข้าวต้ม ป้อนน้ำแกง ประคองชีวิตต่อไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นกินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แล้วจะต้องหิวตายไป

 

 

พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องเองก็ผ่อนคลายเช่นกัน

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มยาเข้าไปหรือไม่ ผ่านไปไม่นานไทเฮาก็ตื่นขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่ก็หลับไปอีกอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ทำให้คนตื่นเต้นดีใจมากแล้ว สติของไทเฮายังคงแจ่มแจ้งชัดเจนดี

 

 

ทุกคนต่างพากันผ่อนลมหายใจออกมา หมอหลวงก็พูดแล้ว ขอเพียงแค่ตื่นขึ้นมาได้ ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมากแล้ว ที่เหลือจำเป็นต้องใช้เวลาในการบำรุงรักษาแล้ว

 

 

ในเมื่อไทเฮาไม่ได้มีอันตรายอะไร ทุกคนย่อมต้องเกิดความคิดอื่นขึ้นมา

 

 

พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องแอบกระซิบข้างหูกันเบาๆ สุดท้ายแล้วก็เบนความสนใจมาที่ร่างของถาวจวินหลัน “ชายารองถาวรู้หรือไม่ว่าภายในวังหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

 

 

ถาวจวินหลันมองท่าทีของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋อง ก็รู้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่รู้เรื่องภายในเลยแม้แต่น้อย ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าหลี่เย่ตั้งใจให้หลิวเอินกลับมา นางเองก็คงไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเดียวกัน

 

 

อาจด้วยในใต้หล้านี้ นอกจากหลี่เย่ที่เล่าเรื่องทุกสิ่งอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ให้นางฟังแล้ว คนอื่นก็คงจะไม่ทำหรอกใช่หรือไม่? โดยเฉพาะเรื่องเช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นเรื่องลับ หากคนรู้น้อยคนหนึ่งก็ย่อมดีกว่า

 

 

แต่แน่นอนว่านางเองก็ต้องไม่พูดออกมา จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่รู้” พวกนางไม่ได้สานสัมพันธ์กันเยอะมาก แล้วทำไมจะต้องพูดคุยให้เยอะด้วย? ยิ่งพูดออกไปก็ยิ่งปิดเป็นความลับได้ยาก เพราะเรื่องจะถูกพูดต่อกันไป

 

 

ใบหน้าของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่ก็ไม่สนใจถาวจวินหลันอีก ถาวจวินหลันเองก็ไม่สนใจ แล้วก็หยิบส้มขึ้นมาปอกเปลือก พลางดึงกลีบส้มออกอย่างช้าๆ แล้วเอากากส้มสีขาวออก วางลงบนถาดเบญจรงค์สีขาว คิดว่าอีกครู่หนึ่งจะให้ซวนเอ๋อร์และหมิงจูกิน ตอนนี้ผิงไฟอยู่ทั้งวัน หากไม่กินผลไม้หรือของกินที่ลดความร้อนในร่างกายก็จะเป็นร้อนในได้ง่าย ดังนั้นนางจึงต้องเตรียมผลไม้สดใหม่เอาไว้หนึ่งจานทุกวัน

 

 

วันนี้รีบร้อนเข้าวังหลวงมา แต่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องนี้ได้ อีกอย่างไทเฮากินก็ดีเช่นเดียวกัน อย่างไรกินยาแล้วขมปาก กินผลไม้ที่พอมีรสชาติหรือว่าน้ำผลไม้ก็จะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

 

 

แต่กลับไม่รู้ว่าการกระทำของนางตกไปอยู่ในสายตาของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องแล้ว แล้วยังถูกเอาไปนินทาอีกรอบหนึ่ง รู้สึกว่านางเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ได้เป็นห่วงไทเฮาจากใจจริง

 

 

ที่จริงแล้วถาวจวินหลันกำลังกังวลเรื่องหลี่เย่ แม้จะรู้ว่าหลี่เย่ใช้แขนกันแท่นฝนหมึกให้องค์รัชทายาท แต่ไม่รู้ว่าจะบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ มองดูท่าทีนั้นก็รู้ว่าไม่ง่ายดายเหมือนที่หลี่เย่พูดอย่างแน่นอน แต่ด้วยตอนนั้นเร่งรีบ นางจึงยังไม่ได้ถาม คราวนี้นางจึงรู้สึกกังวลใจมาก

 

 

แล้วยังมีฮ่องเต้ เรื่องนี้เกรงว่าฮ่องเต้คงจะโมโหมาก ไม่รู้ว่าจัดการจบเรื่องนี้อย่างไร จะสั่งกำจัดองค์รัชทายาทหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับหลี่เย่

 

 

แต่หากเรื่องเช่นนี้ก็ยังโมโหขนาดนี้ แล้วต่อจากนี้เล่า? ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องอี๋เฟย ก่อนหรี่ตาลงน้อยๆ หากฮ่องเต้รู้เรื่องนั้นแล้วจะทำเช่นไร? จะโมโหตายตรงนั้นไปเลยหรือไม่?

 

 

ไม่ ฮ่องเต้คงจะต้องจัดการโบยองค์รัชทายาทให้ตายก่อน คราวนี้ฮ่องเต้เขวี้ยงของชิ้นนั้นไป ก็ต้องมีสาเหตุมาจากความโกรธ แต่ก็ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก ทำให้หลี่เย่ต้องไปบังเอาไว้ หากหลี่เย่ไม่ได้บัง ตอนนี้องค์รัชทายาทจะตกอยู่ในสภาพใด?

 

 

หากองค์รัชทายาทถูกเขวี้ยงจนตายจริง ถ้าเช่นนั้นในราชกาลนี้ก็ต้องมีเรื่องน่าขันอย่างยิ่งแน่นอน หลังจากนี้ไปเรื่องนี้จะต้องถูกพูดถึงไปตลอดกาล และกลายเป็นเรื่องน่าขันหลายพันปี

 

 

เรื่องที่ถาวจวินหลันยังเป็นกังวลก็คือนางกำนัลคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง จะเก็บไว้หรือไม่? หากเก็บเอาไว้ ฮ่องเต้ก็จะต้องตะขิดตะขวงใจเป็นแน่ หากไม่เก็บเอาไว้ องค์รัชทายาทที่ไม่มีผู้สืบทอดอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ดูน่าเวทนาไปเสียหน่อย

 

 

ดังนั้นความคิดเห็นของฮองเฮาจึงสำคัญมาก ครั้งนี้ฮองเฮาจะตัดใจทำร้ายหลานของตนเองได้ลง หรือว่าจะใจอ่อนทำให้ฮ่องเต้โมโหอีกครั้งหนึ่ง?

 

 

เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถาวจวินหลันก็จัดการปอกส้มที่อยู่ถาดทั้งหมดแล้ว นางจึงยกไปให้พวกซวนเอ๋อร์กิน แต่พอออกไปก็เห็นจางหมัวหมัวนั่งใจลอยอยู่ตรงระเบียง

 

 

จางหมัวหมัวตกใจเล็กน้อย ถาวจวินหลันก็ก้าวขึ้นไปปลอบว่า “หมัวหมัว นั่งอยู่ตรงนี้ทำอะไรหรือ? หนาวขนาดนี้เข้าไปนั่งข้างในห้องเถิด”

 

 

จางหมัวหมัวส่ายหน้า พลางพูดว่า “ต้องเห็นท่าทางของไทเฮาเช่นนั้น ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก หมอหลวงก่อนหน้านี้เคยพูดไว้แล้วว่าให้รักษาสุขภาพให้ดี มิเช่นนั้นหน้าหนาวจะเป็นอันตรายยิ่ง ข้าเองก็ระมัดระวังมาโดยตลอด แต่กลายเป็นว่า…”

 

 

“คราวนี้ไทเฮาไปขวางสายตาใครเข้าเสียแล้ว” จางหมัวหมัวยิ้มเย็น น้ำเสียงสะท้อนความโกรธแค้นออกมา “ไทเฮาเจอคลื่นภัยมามากมายเท่าไร คราวนี้ไฉนเลยจะต้องมาล้มลงตรงนี้เล่า?”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดอย่างจริงจัง “ในเมื่อหมัวหมัวคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องดูแลไทเฮาให้ดีถึงจะถูก จะได้ไม่มีคนฉวยโอกาสลงมืออีก”

 

 

จางหมัวหมัวถอนหายใจ แล้วพูดว่า “วันหน้าท่านก็ให้ซินหลันเข้าวังหลวงมาสักครั้งหนึ่ง มาเย้าแหย่ไทเฮาให้มีความสุขขึ้นก็พอแล้ว ซินหลันเหมาะหยอกเล่นกับไทเฮาที่สุดแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “รอไทเฮาตื่นแล้ว ข้าจะให้ซินหลันเข้าวังมาสักครั้ง” ขอเพียงแค่ไทเฮาอาการดีขึ้น ไม่ว่าอะไรนางก็ยินยอมทำ ตอนนี้ไทเฮาไม่อาจเป็นอะไรไปได้ หลี่เย่เองก็ยิ่งไม่อาจสูญเสียเสาหลักนี้ได้