อำนาจเพิ่มขึ้น

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน ผู้เล่นต่างก็เริ่มแห่กันเข้ามาเดินเล่นที่บริเวณถนนของเมืองไวท์ริเวอร์ ขณะที่ผู้เล่นบางคนก็เลือกจะเริ่มตั้งแผงขายของริมถนน และบางคนก็ได้ตรงไปพบปะและนั่งเล่นพูดคุยกับเพื่อนๆที่บาร์หรือไม่ก็ร้านอาหาร ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตประจำวันของตัวเอง

สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปในวันนี้ก็คือทุกคนในเมืองกำลังพูดคุยถึงหัวข้อเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือเมืองป่าหิน

“เฮ้ นายได้ยินมาไหมว่าเมืองป่าหินได้รับการป้องกันโดย NPC ขั้นสามมากกว่าห้าร้อยคน …” การ์เดี้ยนไนท์ เลเวลหนึ่งร้อยหนึ่ง ที่กำลังเพลิดเพลินไปกับเบียร์หนึ่งแก้วในบาร์กล่าวพูดกับเพื่อนข้างๆเขา

“ใครจะไม่รู้เรื่องนั้นกัน ? วีดีโอเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในเมืองป่าหินนั้นได้แพร่ไปทั่วฟอรั่มทางการนานแล้ว” Elementalist เลเวลหนึ่งร้อยสอง กลอกตาตอบพลางมองไปยังการ์เดี้ยนไนท์

“ฮี่ฮี่ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น …” การ์เดี้ยนไนท์ เลเวลหนึ่งร้อยหนึ่งพูดพลางโบกมือ “ฉันมีเพื่อสนิทอยู่คนหนึ่งที่สามารถกลายเป็นแกนหลักของมหาอำนาจได้ และเขาได้บอกความลับที่น่าสนใจมา ในตอนแรกมหาอำนาจต่างๆนั้นกำลังวางแผนที่จะเปิดการโจมตีร่วมกันเข้าใส่เมืองป่าหิน อย่างไรก็ตามเนื่องจาก NPC ขั้นสามจำนวนมากเหล่านี้ พวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะยอมแพ้ในเรื่องนี้ และตอนนี้มหาอำนาจเหล่านี้บางกลุ่มก็ได้เริ่มคิดจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีก”

“แม้ว่าสภาสิบแปดปีกในปัจจุบันจะยังไม่สามารถเทียบกับมหาอำนาจที่แท้จริงได้ในหลายๆด้าน แต่เนื่องจากข้อได้เปรียบเรื่องเมืองป่าหิน มันทำให้มหาอำนาจบาง
กลุ่มเริ่มยอมรับสภาสิบแปดปีกในฐานะมหาอำนาจที่แท้จริงแล้ว และหากสภาสิบแปดปีกได้ร่วมมือกับมหาอำนาจเพิ่มอีกสักสองถึงสามกลุ่ม ฉันก็เชื่อว่ามันคงอีกไม่นานแน่นอนก่อนที่กิลจะได้รับการยอมรับจากมหาอำนาจทั่วทั้ง God domain ให้เป็นมหาอำนาจที่แท้จริง เพื่อนของฉันยังบอกด้วยว่าตอนนี้นับเป็นเวลาดีที่จะเข้าร่วมสภาสิบแปดปีก หากเรารอจนกว่าสภาสิบแปดปีกกลายเป็นมหาอำนาจที่แท้จริง การจะเข้าร่วมกับพวกเขานั้นมันก็จะยากขึ้นมาก ตอนนี้เพื่อนของฉันกำลังวางแผนจะออกจากกิลของเขาและมาเข้าร่วมสภาสิบแปดปีกเลย ซึ่งเขาก็ได้เชิญฉันให้ไปสมัครเข้าร่วมสภาสิบแปดปีกพร้อมกับเขา ซึ่งหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะไปกับเขา ทำไมนายไม่มากับฉันด้วยล่ะ ? ด้วยความแข็งแกร่งของนาย เมื่อนายเข้าร่วมสภาสิบแปดปีก นายก็จะมีช่วงเวลาที่ดีเหมือนกับพวกเราแน่นอน และเราอาจกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกได้เลยด้วยซ้ำ”

“จริงๆงั้นหรอ ?” Elementalist เลเวลหนึ่งร้อยสองถาม

ในขณะนี้เองนับประสาอะไรกับ Elementalist แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆที่อยู่ในบาร์ก็ยังถูกล่อลวงด้วยเรื่องนี้

เงื่อนไขในการจะเข้าร่วมกับมหาอำนาจได้นั้นมันเข้มงวดมากๆ และเงื่อนไขในการจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นภายในมหาอำนาจต่างๆนั้นก็ยิ่งเข้มงวด ยิ่งไปกว่านั้นมหาอำนาจต่างๆมักจะสงวนตำแหน่งสำคัญบางอย่างไว้สำหรับบางคนอยู่แล้ว แม้ว่าผู้เล่นบางคนจะมีความสามารถและความแข็งแกร่งมากพอที่ควรจะได้รับตำแหน่ง แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะไปถึงตำแหน่งดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปที่สภาสิบแปดปีก

แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะยังไม่ได้เป็นมหาอำนาจ แต่พวกเขาก็ได้รับการยอมรับจากมหาอำนาจมากมายแล้ว ซึ่งด้วยข้อได้เปรียบมากมายที่เมืองป่าหินมอบให้นั้น มันก็คงจะไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นมหาอำนาจที่แท้จริง

กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออำนาจของสภาสิบแปดปีกนั้นจะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต เพราะท้ายที่สุดตอนนี้อาณาเขตที่สภาสิบแปดปีกครอบครองอยู่นั้นมันก็เท่ากับกิลชั้นสูงเท่านั้น และมันจะมีตำแหน่งว่างมากมายให้ต้องเติมอีกในอนาคต ดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชี่ยวชาญอิสระแบบพวกเขาที่จะเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก

“แน่นอน ทำไมฉันจะต้องโกหกนาย ? ตามที่เพื่อนของฉันบอกมา ตอนนี้มหาอำนาจจำนวนหนึ่งได้เริ่มส่งตัวแทนไปเจรจาความร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกแล้ว และเมื่อการเจรจาสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ข่าวเรื่องนี้จะแพร่ไปทั่วอย่างไม่อาจปิดได้แน่นอน ในขณะนี้มันมีผู้เล่นไม่มากนักที่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงควรใช้โอกาสนี้เข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก และถ้าเราโชคดี เราอาจถูกส่งให้เข้าไปอยู่ในทีมดีๆได้เลย” การ์เดี้ยนไนท์ เลเวลหนึ่งร้อยหนึ่งกล่าวอย่างจริงจัง “ความจริงถ้าไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของเรา และนายมีความแข็งแกร่งมากพอ ฉันก็คงจะไม่ขอให้นายมากับฉันหรอก ..”

มาตราฐานการรับสมัครของสภาสิบแปดปีกนั้นสูงมากมาโดยตลอด ข้อกำหนดในการจะเป็นแกนหลักหรือสูงกว่านั้นจะต้องเป็น ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งก้าวก่อนการปรับแต่งเป็นอย่างน้อย

ในขณะเดียวกันแม้ว่า Elementalist เลเวลหนึ่งร้อยสองผู้นี้จะเป็นผู้เล่นอิสระ แต่เขาก็ดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในรองผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยชั้นยอดของอาณาจักรทวินทาวเวอร์ และสำหรับความแข็งแกร่งของเขา เขาก็ได้เข้าสู่ขอบเขตการปรับแต่งแล้ว และเขาก็จะถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเลยในกิลชั้นสูง ซึ่งเขาจะไม่มีปัญหาแน่นอนในการจะเข้าร่วมกับกองกำลังหลักของกิลชั้นสูง อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องการจะเข้าร่วมกับกองกำลังหลักของมหาอำนาจ ไม่ใช่ของกิลชั้นสูง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้คลุกอยู่กับทีมนักผจญภัยแทบจะตลอดเวลา

“เอาล่ะ ฉันจะรีบไปติดต่อผู้บัญชาการของฉันทันที หลังจากฉันจัดการเรื่องของฉันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็จะไปเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกกัน” Elementalist เลเวลหนึ่งร้อยสองกล่าวพลางพยักหน้า หลังจากเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของการ์เดี้ยนไนท์ ในเวลาเดียวกันความปราถนาและความคาดหวังก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา

หลังจากที่ได้เห็น Elementalist เลเวลหนึ่งร้อยสองคนนี้ยอมตกลงจะเข้าร่วมสภาสิบแปดปีกพร้อมกับการ์เดี้ยนไนท์ ผู้เชี่ยวชาญในบาร์คนอื่นๆเองก็ถูกล่อลวงด้วยเรื่องนี้เช่นกัน

ความแข็งแกร่งและรากฐานของสภาสิบแปดปีกนั้นได้รับการยอมรับจากมหาอำนาจมากมายแล้ว ดังนั้นนี่มันจึงเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผู้เชี่ยวชาญอิสระแบบพวกเขาที่จะยกระดับสถานะของตัวเองใน God domain และหากพวกเขาคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ในอนาคตพวกเขาอาจจะกลายเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงในประเทศต่างๆได้เลย หรืออาจได้รับมอบหมายให้จัดการเมืองกิลสักเมืองหนึ่ง เมื่อถึงจุดนั้นชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะท้ายที่สุดตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ใน God domain หลายแห่งนั้นได้ทุ่มทั้งเงินและทรัพยากรเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น God domain ยังเริ่มส่งผลกระทบไปถึงอุตสาหกรรมต่างๆในโลกจริงด้วย
ในช่วงเวลาที่ผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในเมืองไวท์ริเวอร์มุ่งมั่นจะเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก หญิงสาวคนหนึ่งก็กำลังนั่งสังเกตการณ์สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกอยู่ที่ร้านอาหารชั้นสูงที่อยู่ใกล้ๆ

“รองหัวหน้ากิล คนเหล่านั้นบอกว่าพวกเขาไม่มีอำนาจในเรื่องนี้ เว้นแต่ว่าเราจะมีวิธีจัดการกับ NPC ขั้นสามเหล่านั้นได้ ไม่งั้นพวกเขาก็จะไม่เคลื่อนไหวใดๆ” ชายร่างสูงที่มีความสูงเกินสองเมตรกล่าวรายงาน หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องส่วนตัวที่หญิงสาวสวยนั่งอยู่

“นี่มันน่าสนใจมาก ดูเหมือนว่าสภาสิบแปดปีกจะซ่อนความลับเอาไว้มากมายเลยจริงๆ …” เมื่อโคลท์ชาโด้วได้ยินรายงานจากลูกน้องของเธอ ไม่เพียงแต่เธอจะไม่มีท่าทีโกรธเคืองใดๆ แต่เธอยังยิ้มด้วย “เนื่องจากเป็นแบบนี้ เราจะเปลี่ยนไปใช้แผน B เราจะเลิกเล็งเป้าซื้อไปที่สภาสิบแปดปีกก่อน และค้นหาสิ่งทดแทนในทวีปด้านตะวันออก เพื่อทำภารกิจจากกิลให้สำเร็จก่อน อ้อแล้วก็ไปแจ้งท่านปรมาจารย์อาวุธโสในเรื่องนี้ด้วย บอกเขาให้เขาหาวิธีจัดการกับสภาสิบแปดปีกในเมืองเฟิงหลิน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถจัดการกับสภาสิบแปดปีกใน God domain ได้ แต่ฉันก็ปฎิเสธที่จะเชื่อว่าเขาไม่สามารถทำอะไรในโลกแห่งความจริงได้เช่นกัน”

แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าสภาสิบแปดปีกได้รับ NPC ขั้นสามจำนวนมากมาได้ยังไง แต่เธอก็ยังเชื่อว่ามันจะไม่มีมหาอำนาจใน God domain ที่หยุดความก้าวหน้าของไมโทโลจี้ได้ ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงสภาสิบแปดปีกเลย

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้มหาอำนาจหลายกลุ่มจะเลือกร่วมมือกับสภาสิบแปดปีก แต่มันก็มีมหาอำนาจหลายกลุ่มที่เลือกจะทำการเคลื่อนไหวอย่างลับๆต่อต้านกิลเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดสภาสิบแปดปีกได้เริ่มเข้ามาสัมผัสกับผลกำไรของพวกเขาแล้ว

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่ตำแหน่งของสภาสิบแปดปีก และจำนวนผู้เชี่ยวชาญในกิลกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซือเฟิงก็ได้ทำการผลิตม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุอย่างเมามันอยู่ที่บริษัทการค้าแสงเทียน

เนื่องจากการแสดงความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกที่เมืองป่าหิน ไจแอ้นฮาร์ท อันยีลดิ้งโซล และสิบสามบัลลังก์ซึ่งแต่เดิมวางแผนจะซื้อม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุนี้แค่เพียงเล็กน้อยได้เปลี่ยนใจสั่งพวกมันจำนวนมากแทน และเมื่อรวมกับคำสั่งซื้อจากศาลาลับ ตอนนี้ซือเฟิงจึงมียอดสั่งซื้อม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุทั้งหมดเจ็ดร้อยชุด ซึ่งนี่มันไปไกลเกินความคาดหมายของพวกเขามาก

เรื่องนี้นั้นก็เป็นผลให้ซือเฟิงกลายเป็นคนร่ำรวยในชั่วข้ามคืน และเมื่อรวมมันเข้ากับรายได้ของเมืองป่าหิน ตอนนี้มันจะมีมหาอำนาจแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะสามารถเทียบกับกองทุนสภาพคล่องที่เขามีอยู่ในมือได้ นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของคริสตัลเวทย์มนต์ ปัจจุบันซือเฟิงนั้นมีคริสตัลเวทย์มนต์อยู่ในมือเขาราวสี่ล้านชิ้น และแม้ว่าจะใช้ส่วนหนึ่งไปในการผลิตม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุ แต่จำนวนที่เขาเหลืออยู่ มันก็ยังจัดว่าน่ากลัวมากๆ

“หัวหน้ากิลจนถึงตอนนี้มีมหาอำนาจอีกสามกลุ่มแล้วที่มาขอร่วมมือกับเรา และพวกเขาก็ยินดีจะใช้ส่วนหนึ่งของมรดกขอบเขตการปรับแต่งของตัวเองเพื่อแลกกับม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุ ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้เอง มันก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมาสมัครเข้าร่วมกับกิลเรา ปัจจุบันเราได้รับสมัครผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเพิ่มอีกมากกว่าสองพันคนแล้ว ซึ่งในจำนวนนี้มีมากกว่าสามสิบคนที่อยู่ในขอบเขตการปรับแต่ง ขณะที่มันก็มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามบางส่วนตัดสินใจเข้าร่วมกับเราด้วย ในอัตรานี้ มันก็ไม่นานนักก่อนที่เราจะมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าหนึ่งร้อยคน และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งสองร้อยคน …” อควาโรสรายงานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิง

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งสองร้อยคน !!!

ตัวเลขนี้อาจเทียบไม่ได้กับจำนวนที่มหาอำนาจต่างๆมี แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งจำนวนมากขนาดนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนของสภาสิบแปดปีกได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นกิลยังสามารถจะตั้งทีมสำรวจใหม่เพิ่มขึ้นได้อีกมากมายเพื่อสำรวจแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย

“นี่เรามีจำนวนมากขนาดนั้นแล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้ยินรายงานของอควาโรส เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเปิดเผยความแข็งแกร่งของกองอัศวินของเขาจะนำผลประโยชน์มากมายมาสู่กิล

เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้กองอัศวินของตัวเองในการป้องกันมหาอำนาจต่างๆเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดหากสภาสิบแปดปีกต้องต่อสู้กับกองทัพร่วมของมหาอำนาจต่างๆจริงๆ ผลลัพธ์นั้นมันก็จะเป็นชัยชนะของพวกเขาแน่นอน เพียงแต่ว่าพวกเขาก็จะเสียหายอย่างรุนแรง เพราะท้ายที่สุดแล้ว NPC ขั้นสามนั้นไม่ได้เป็นอมตะ และมันก็ยากจะคืนชีพให้กับพวกเขาเช่นเดียวกับองครักษ์ส่วนตัว

ในทางกลับกัน ผู้เล่นนั้นต่างกัน แม้ว่าผู้เล่นจะตายไปโดยไม่มีใครใช้สกิลชุบชีวิตให้ แต่พวกเขาก็จะกลับมาฟื้นคืนชีพในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และอย่างเลวร้ายที่สุด พวกเขาก็จะสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปบางส่วนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะยังคงเป็นผู้เล่นขั้นสาม และพลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะยังคงเหนือกว่าผู้เล่นขั้นสองมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญถึงเป็นตัวแทนของรากฐานและความแข็งแกร่งในกิล ขณะที่ NPC นั้นทำหน้าที่เป็นเพียงแค่เครื่องมือสนับสนุน และไม่มีวันจะกลายเป็นพลังที่แท้จริงของกิลได้

ในขณะเดียวกันหากสภาสิบแปดปีกมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งสองร้อยคน พวกเขาก็จะเริ่มสามารถรุกรานมหาอำนาจอื่นๆได้บ้างเพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือพื้นที่ใน God domain

“อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเช่นเดียวกับที่หัวหน้าคาดการณ์ไว้ ตอนนี้มหาอำนาจต่างๆบางส่วนได้เริ่มการดำเนินการร่วมกันอย่างลับๆในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย ซึ่งไม่เพียงแต่พวกเขาจะเริ่มกำหนดเป้าหมายมาที่คนของเราเท่านั้น แต่พวกเขายังเริ่มวางข้อจำกัดมากมายเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการทำโพชั่นและเครื่องมือขั้นสูง โดยสถานการณ์นี้มันบังคับให้เราต้องซื้อวัสดุจากศาลาลับในราคาสูง” อควาโรสกล่าวด้วยความหงุดหงิด

แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะชนะสงครามโดยไม่ต้องหลั่งเลือด และเริ่มได้รับการยอมรับว่ามีความเท่าเทียมกับมหาอำนาจต่างๆ แต่กิลก็กลายเป็นที่จับตามองของมหาอำนาจต่างๆด้วยเช่นกัน ตอนนี้มหาอำนาจเหล่านี้ไม่ถือว่าสภาสิบแปดปีกเป็นตัวตนที่ไม่สำคัญอีกแล้ว และพวกเขาก็ถือว่าสภาสิบแปดปีกอยู่ในฐานะคู่แข่ง

“พวกเขานั้นเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วจริงๆ” ซือเฟิงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา พลางส่ายหัว “ไปบอกไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆให้เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อฉันทำการผลิตม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุเรียบร้อย เราจะมุ่งหน้าไปทวีปด้านตะวันตกกัน”

ซือเฟิงนั้นไม่แปลกใจเลยกับการกระทำของมหาอำนาจต่างๆ เพราะท้ายที่สุดมันมีผลกำไรมากมายจริงๆให้ควานหาใน God domain ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สภาสิบแปดปีกจะต้องเจอกับการต่อต้านอย่างหนักเมื่อพยายามจะตัดเค้กชิ้นใหญ่

อยอ่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะเขามีปัญหาที่น่าห่วงมากกว่าที่จะต้องจัดการและไม่สามารถเพิกเฉยได้ เนื่องจากความแข็งแกร่งของกิลนั้นมีไม่เพียงพอ

ตอนนี้สภาสิบแปดปีกนั้นมีเมืองในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยอยู่ในการครอบครองแล้ว และตัวเขาเองก็กลายเป็นลอร์ดที่แท้จริงแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกกังวลเรื่องการรุกรานของกองกำลังแห่งความมืดมากๆ และเมื่อถึงเวลานั้นผู้เล่นสายความมืดจะได้รับการยกเลิกข้อจำกัดบางอย่าง และสามารถเริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านผู้เล่นทั่วไปได้

กองกำลังแห่งความมืดนั้นยังคงไม่ถูกเปิดใช้งานพลังที่แท้จริง อันเนื่องมาจากผู้เล่นสายความมืดนั้นยังไม่ได้เริ่มการสำรวจแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเมื่อผู้เล่นสายความมืดจำนวนมากเริ่มมาถึงขั้นสามมากขึ้น และเริ่มการสำรวจแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย พวกเขาก็จะเริ่มได้พบกับกองกำลังแห่งความมืดที่ถูกประเทศต่างๆขับไล่ให้มาอยู่ในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย และในเวลานั้นการพัฒนาของผู้เล่นสายความมืดก็จะพุ่งสูงขึ้น และสงครามปิดล้อมเมือง รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นสายความมืดกับผู้เล่นทั่วไปก็จะเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น และหากไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ กิลจะไม่สามารถอยู่รอดในแผนที่ล่าได้เลย นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมมหาอำนาจบางส่วนถึงถูกลบหายไป หลังจากเลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นทั่วไปเริ่มมาถึงหนึ่งร้อยกัน

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าสภาสิบแปดปีกจะสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่องในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย เขาจึงจำเป็นต้องทำให้กิลมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นกิลก็ยังต้องมีความสามารถในการผลิตอาวุธและอุปกรณ์ชั้นยอดเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่านั้นเป็นจำนวนมาก การพึ่งพาเพียงแค่บอสประจำพื้นที่หรือโจมตีดันเจี้ยน มันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกิลได้ ดังนั้นกิลจึงจำเป็นจะต้องมีวัสดุที่เพียงพอเช่นกัน

“ฉันจะรีบไปแจ้งพวกเขาทันที” เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง อควาโรสก็เต็มไปด้วยความสุข เธอนั้นอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับทวีปด้านตะวันตกมาโดยตลอด
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ใช้เวลาอีกประมาณสามวันทำการผลิตม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุ ซึ่งในท้ายที่สุด เขาก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้มากถึงหนึ่งพันสามร้อยชุด และในเวลาเดียวกันจากความพยายามทั้งหมดนี้ของเขา มันก็ทำให้เขามาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบแล้ว ซึ่งความเร็วในการเก็บเลเวลของเขานั้นก็ไม่ได้ช้าไปกว่าผู้เล่นที่ล่าในแผนที่ล่าเลย และในจำนวนนี้นั้นซือเฟิงก็ต้องมอบเจ็ดร้อยชุดให้กับศาลาลับและพันธมิตรทั้งหมดของสภาสิบแปดปีกที่สั่งซื้อมา ในขณะที่อีกหกร้อยชุดที่เหลือถูกสงวนไว้สำหรับทีมผู้เชี่ยวชาญของสภาสิบแปดปีก

ในช่วงเวลาที่มหาอำนาจต่างๆเหล่านี้ล้วนใช้ประโยชน์จากม้วนคัมภีร์วงเวทย์บาเรียเสาสิบสองธาตุเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย ซือเฟิงก็ได้นำอควาโรสพร้อมกับสมาชิกของสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆ ซึ่งเป็นพวกระดับสูงของกิลทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังประตูเวทย์มนต์ของภูเขาปีศาจหมาป่า

หลังจากจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนตสองหมื่นชิ้น ทีมสิบคนของซือเฟิงก็ได้กลายเป็นลำแสงและหายไปจากบริเวณประตูเวทย์มนต์

การเทเลพอร์ตข้ามไปยังทวีปอีกด้านนั้นมันต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเสร็จเรียบร้อย และเมื่อทุกคนลืมตาขึ้นมาสิ่งที่พวกเขาพบก็คือทะเลทรายกว้างขวางที่ไร้สิ่งมีชีวิตโดยสิ้นเชิง

“นี่คือทวีปด้านตะวันตกงั้นหรอ ?” อควาโรสรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อมองไปที่ทะเลทรายที่กว้างขวางตรงหน้าเธอ

เหตุผลที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือความขาดแคลนของมานาในสถานที่แห่งนี้ เพราะมานาในสภาพแวดล้อมโดยรอบที่นี่มันเบาบางกว่าในดินแดนต้องห้ามของทวีปด้านตะวันออกด้วยซ้ำ เธอนั้นสามารถบอกได้เลยว่า แม้แต่เธอก็จะมีความยากลำบากมากๆในการร่ายเวทย์ขั้นสาม แม้ว่าจะมีร่างมานาขั้นสูงก็ตาม และผู้เล่นขั้นสามที่อ่อนแอนั้นอาจไม่สามารถใช้สกิลหรือเวทย์ขั้นสามที่นี่ได้เลย พวกเขาจะถูกจำกัดให้ใช้ได้แค่เฉพาะสกิลและเวย์ที่อ่อนแอเท่านั้น

แน่นอนว่าความหนาแน่นของมานาที่นี่นั้นต่ำกว่าทวีปด้านตะวันออกมาก เมื่อซือเฟิงสัมผัสได้ถึงมานาโดยรอบ เขาก็รู้สึกไม่สบายตัวมากเช่นกัน และมันก็เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นของมานาต่ำแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก และเขาก็เพียงแค่เปิดแผนที่ขึ้นมาทำการบันทึกพิกัดของประตูเวทย์มนต์ไว้ ก่อนจะเรียกอินทรีสายฟ้าออกมา เพื่อพาทุกคนไปยังเมือง NPC ที่ใกล้ที่สุด

ทะเลทรายที่เป็นที่ตั้งของประตูเวทย์มนต์นั้นมันใหญ่กว่าที่ซือเฟิงคาดไว้มาก โดยอินทรีสายฟ้าของเขาต้องใช้เวลาบินกว่าสองชั่วโมงจึงจะสามารถออกจากที่นี่ได้ และในระหว่างการเดินทางเขาก็ได้ค้นพบลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่และแกรนลอร์ด เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยจำนวนมาก และเจอแม้กระทั่งมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ ซึ่งก็โชคดีที่อินทรีสายฟ้านั้นมีความเร็วมากเพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหลบหนีจากระยะการโจมตีของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายตัวนี้ได้ทันเวลา และหากพวกเขาใช้อะเม้าท์บนบก พวกเขาจะต้องถูกสังหารหมู่แน่นอน

“หัวหน้ากิล มันมีการต่อสู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นหลายหมื่นคนเหมืองแร่เงินปีศาจ” อควาโรสกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขณะที่เธอจ้องมองไปยัง
เหมืองใกล้ๆกับที่อินทรีสายฟ้าบินอยู่

เหมืองแร่เงินปีศาจนั้นเป็นเพียงเส้นเลือดแร่เกรด 3 แต่กระนั้นมันก็ได้ก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นหลายหมื่นคน ยิ่งไปกว่านั้นผู้เข้าร่วมสงครามครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะมีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยห้าเท่านั้น แต่ยังมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าหนึ่งร้อยคนอยู่ในแต่ละฝ่ายด้วย นี่มันเป็นสงครามระหว่างมหาอำนาจสองกลุ่มอย่างแท้จริง

หอการค้าอาซู ?

เมื่อซือเฟิงทำการใช้สกิลตรวจสอบที่ผสานเข้ากับตราทองคำของเขาเช็คตัวตนของผู้เล่นที่อยู่เบื้องล่าง เขาก็สังเกตเห็นผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเหมืองที่เป็นตัวคนที่เขาคุ้นเคยมากๆ ซึ่งนั่นก็คือ หยานเซี่ยวเฉียน อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การดูแลของหอการค้าอาซู