ไม่คิดว่านายท่านฮั้วมาถึงก็เอ่ยเรื่องไถ่ตัวเหวินเปียวทันที เมิ่งฉีตะลึงลาน เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเกร็ง

 

 

นายท่านฮั้วพูดต่อว่า “หลายวันมานี้ข้าให้คนสืบประวัติแม่นางเมิ่งแล้ว แม้จะไม่ละเอียดเจาะลึก แต่ก็ครอบคลุมเกือบทั้งหมด รู้มาว่าเจ้าซื้อเหวินเปียวและครอบครัวไว้ ในตอนที่พวกเขาทั้งหมดถูกส่งไปตำบลชิงซี อีกทั้งปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี เห็นพวกเขาเป็นดั่งคนในครอบครัว แม้เงื่อนไขที่ข้าเสนอให้ในวันนี้จะกะทันหันไปบ้าง แต่แม่นางเมิ่งก็รู้แล้วว่าเหตุผลคืออะไร ข้าจึงไม่ขอเก็บซ่อนอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับสู่สภาพปกติแล้ว ยิ้มพูดว่า “เมื่อนายท่านฮั้วสืบมาอย่างดีแล้ว ก็ควรจะรู้ว่าฮูหยินและบุตรของเหวินเปียวยังอยู่ที่บ้านข้า ไม่ทราบว่าการที่ท่านเอ่ยปากไถ่ตัวให้เหวินเปียวนี้เพื่อจุดประสงค์ใดบ้าง”

 

 

นายท่านฮั้วไม่ปิดบัง “แม่นางเมิ่งเป็นคนฉลาด คิดว่าวันที่บุตรสาวข้าเข้ามา เจ้าคงจะเห็นพฤติกรรมบางอย่างแล้ว หลิงเอ๋อร์เป็นบุตรสาวที่ฮูหยินข้ามีตอนอายุเกือบจะสี่สิบปี ก่อนหน้านี้พวกเรามีบุตรชายมาสามคนแล้ว ถือได้ว่ามีลูกตอนแก่ รักใคร่เอาใจดั่งไข่ในหิน ดังนั้นไม่ว่านางต้องการสิ่งใดพวกเราก็ไม่เคยปฏิเสธ โดยเมื่อห้าปีก่อน นายน้อยเหวินช่วยนางไว้ นางจดจำฝังใจ ภายหลังถึงวัยแต่งงาน นางกลับไม่ยอมหมั้นหมาย พอพวกเราเค้นถามถึงได้ยอมบอกว่าความคิดของตัวเอง ในตอนนั้นนายน้อยเหวินไม่รู้เป็นหรือตาย ข้าและฮูหยินทั้งโมโหและร้อนใจ เตรียมจะบังคับนางหมั้นหมาย ไม่คิดว่านางจะฉวยโอกาสตอนบ่าวเผลอ หมายจะปลิดชีวิตตัวเอง ข้าและฮูหยินกลัวจะเสียบุตรสาวคนนี้ไป จึงยอมตามใจนาง แต่ยื่นข้อเสนอว่า เมื่อนางอายุครบยี่สิบปี หากยังไม่มีข่าวของนายน้อยเหวิน นางจะต้องล้มเลิกความคิดนี้ ยอมแต่งงานแต่โดยดี ในตอนนั้นนี่เป็นเพียงแผนถ่วงเวลาของข้าและฮูหยิน ไม่คิดว่านายน้อยเหวินจะกลับมาจริงๆ ทั้งเกิดเรื่องราวใหญ่โต จนบุตรสาวข้ารู้ เข้ามาเอ่ยเรื่องนี้กับพวกเรา แม้พวกเราจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือก วันนี้ข้าถึงต้องแบกหน้ามาขอไถ่ตัวคน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “รักแท้ของคุณหนูฮั้วช่างน่าเชิดชูยิ่งนัก”

 

 

นายท่านฮั้วเริ่มมีสีหน้าแดงเรื่อ

 

 

เมิ่งฉีกลัวนายท่านฮั้วจะไม่มีทางลง กำลังจะเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวกลับถามต่อ “วันนี้นายท่านฮั้วมายื่นข้อเสนอไถ่ตัวเหวินเปียว ไม่ทราบว่าจะให้เอาฮูหยินและบุตรของเขาไปไว้ที่ไหน”

 

 

นายท่านฮั้วแสดงชัดว่าคิดถึงปัญหานี้ไว้แล้ว ตอบโดยไม่ลังเล “ข้าคิดไว้แล้ว หากแม่นางตอบตกลง ข้าจะไถ่ตัวพวกเขาทั้งหมด คืนสถานะเดิมให้พวกเขา”

 

 

“จากนั้นเล่า จะให้เหวินเปียวหย่าทอดทิ้งบุตร” เมิ่งเชี่ยนโยวเค้นถามต่อ

 

 

นายท่านฮั้วโบกมือเป็นพัลวัน “แม่นางเมิ่งเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้มาก่อน หากบุตรสาวข้าแต่งงานกับนายน้อยเหวิน จะอยู่ในฐานะภรรยารอง ไม่ให้เขาต้องหย่ากับฮูหยิน พวกเราไม่มีทางทำเรื่องใจไม้ไส้ระกำเช่นนั้นเด็ดขาด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “นายท่านฮั้วคิดว่าสิ่งที่ทำในตอนนี้มีคุณธรรมน่ายกย่องหรือ”

 

 

นายท่านฮั้วถึงกับสะอึก สีหน้าเริ่มบอกบุญไม่รับ “หนึ่งชายมากภรรยาเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งการแต่งงานกับสกุลเรา มีแต่จะส่งผลดีต่อนายน้อยเหวิน”

 

 

“ไม่ทราบว่านายท่านฮั้วมีภรรยากี่คนเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม

 

 

นายท่านฮั้วหน้าแดงก่ำ แสร้งกระแอมสองสามครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดอย่างไม่ไว้หน้า “ไม่แปลกที่นายท่านฮั้วไม่รังเกียจที่บุตรสาวจะแต่งเป็นภรรยารอง ที่แท้เพราะมีครอบครัวไม่สมประกอบ”

 

 

เมิ่งฉีตวาดนางทันควัน “น้องสาว ห้ามกล่าววาจาเช่นนี้”

 

 

โดนคำนี้เข้าไปทำให้นายท่านฮั้วเริ่มมีน้ำโห พยายามสะกดกลั้นข่มใจ ถึงฝืนพูดขึ้นว่า “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นสาวที่ยังไม่ออกเรือน ข้าจะไม่เอาความกับคำพูดนี้ของเจ้า นายน้อยเหวินอยู่ที่ไหน เชิญเขาออกมาพูดจา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บคืนอารมณ์ พูดอย่างไม่อินังขังขอบ “คงใกล้ตายแล้วกระมัง วันนี้ข้ายังไม่เห็นเขาเลย”

 

 

นายท่านฮั้วถลึงตัวลุกพรวด ร้องถาม “จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อวานสาวใช้กลับไปยังบอกว่าเห็นเขาดีขึ้นมากแล้ว อยู่ๆ จะใกล้ตายได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงไม่ไยดี “เมื่อนายท่านฮั้วทราบว่าสาวใช้ของท่านเข้ามา ก็น่าจะทราบจุดประสงค์การมาของนาง ข้าเกลียดคนโลเลเช่นเขาเป็นที่สุด แม้จะไม่ใช่ความผิดเขา ข้าก็จะไม่ปล่อยเขาไว้ จึงสั่งคนซ้อมเขา พวกเขาคงจะลงมือหนักไปหน่อย ได้ยินว่าพอถูกซ้อมเสร็จ เหวินเปียวก็ลุกจากเตียงไม่ได้อีก”

 

 

“เจ้า…” นายท่านฮั้วโมโหเดือดดาล เดินวนไปในห้องสองรอบ ถึงพูดว่า “เจ้าเอาชีวิตคนมาล้อเล่นได้อย่างไร”

 

 

“เขาเป็นทาสหลวง เป็นบ่าวที่ข้าซื้อมา ข้ามีสิทธิ์กำหนดความเป็นตายของเขา หรือสกุลฮั้วไม่ได้ทำเช่นนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเนิบๆ

 

 

นายท่านฮั้วสะอึกกึกอีกครั้ง ครู่หนึ่งถึงตำหนิถามนาง “เจ้ามิได้ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนญาติเรอะ”

 

 

“นั่นเป็นเมื่อก่อน เขาซื่อสัตย์จริงใจ มีฝีมือดี พอเป็นประโยชน์กับข้า ข้าย่อมต้องดีกับเขา บัดนี้เขากระทำเรื่องให้ข้าขุ่นข้อง ถูกลงทัณฑ์ก็สมควรแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเป็นความจริง นายท่านฮั้วไม่อาจโต้แย้ง เดินวนในห้องอีกสอบรอบ ถึงพูดว่า “นายน้อยเหวินอยู่ที่ไหน รบกวนแม่นางเมิ่งให้คนพาข้าไปดูหน่อยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “ย่อมต้องอยู่ที่เรือนบ่าว แต่พี่น้องและบุตรชายเขาก็อยู่ด้วย นายท่านฮั้วเข้าไปดูจะไม่เหมาะสม ข้าให้คนแบกเขาเข้ามาจะดีกว่า”

 

 

ว่าแล้ว ไม่รอให้นายท่านฮั้วตอบรับก็ร้องสั่งชิงหลวน “ไปดูสิว่าเหวินเปียวตายหรือยัง หากยังไม่ตายก็ให้คนแบกเขาเข้ามา”

 

 

ชิงหลวนยืนเฝ้าหน้าประตู ย่อมได้ยินบทสนทนาภายในห้องอย่างชัดแจ้ง เข้าใจความหมายของเมิ่งเชี่ยนโยว รับคำแล้วสาวเท้าไปเรือนบ่าวทันที

 

 

เมื่อครู่ชิงหลวนรีบร้อนเข้ามา บอกให้เหวินเปียวคิดหาวิธีให้ตนเองอยู่ในสภาพร่อแร่ แม้เหวินเปียวจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตามคำสั่ง ให้กัวเฟยช่วยเขาคิดหาวิธี

 

 

กัวเฟยเป็นหัวหน้าองครักษ์หลวง ย่อมมีวิธีทำให้คนตกอยู่ในสภาพเจียนตายได้ ล้วงยาเม็ดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มอบให้เหวินเปียวกิน

 

 

เหวินเปียวกินเข้าไป ไม่นานก็มีใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากซีดเผือด นอนแผ่หลาไร้เรี่ยวแรง มีสภาพร่อแร่เจียนตาย

 

 

เหวินหู่ เหวินเป้าและเหวินซงกำลังตกอกตกใจ ชิงหลวนก็เดินเข้ามา เห็นสภาพของเหวินเปียวก็แอบชื่นชมในใจ เข้าไปยกตัวเหวินเปียวขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

 

 

เหวินเปียวเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ ตอนนี้ตัวอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ร่างกายยิ่งหนักอึ้ง ชิงหลวนกลับยกเขาขึ้นได้อย่างง่ายดาย พวกกัวเฟยต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง ลอบคิดในใจ รอให้ตนเองหายดี จะหาเวลาประลองกับนางสักตั้ง ดูว่าวรยุทธ์ของชิงหลวนลึกล้ำเพียงใด

 

 

ชิงหลวนไม่รู้ความคิดพวกเขา หามเหวินเปียวตรงมายังห้องรับแขก โยนเขาไปบนพื้น

 

 

นายท่านฮั้วที่กำลังเดินไปมาอย่างรุ่มร้อนใจ เห็นชิงหลวนที่เข้ามาถึงก็โยนคนลงพื้น ตกใจก้มมองดู เห็นเหวินเปียวนอนร่างกายอ่อนยวบ เหมือนจะตายมิตายแหล่ ถึงกับหัวใจกระตุกวูบ

 

 

เหวินเปียวที่เบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก็ต้องปิดลงทันทีอย่างหมดแรง

 

 

นายท่านฮั้วรบเร้าเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้ารีบให้คนไปตามหมอมารักษานายน้อยเหวินสิ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขำในใจ สีหน้ากลับไม่แยแส พูดว่า “เขาสะกิดถูกขีดจำกัดของข้า ต่อให้ไม่ตายข้าไม่มีทางให้เขาได้อยู่สบาย ตอนนี้เขามีสภาพเช่นนี้ก็ดี จะไปตามหมออะไรมาอีก”

 

 

“เจ้า…” นายท่านฮั้วทำอะไรนางไม่ได้ ร้องตะโกนสั่งบ่าวที่ตนเองพามา “ฮั้วซื่อ รีบไปเชิญหมอมารักษานายน้อยเหวิน!”

 

 

มีเสียงขานรับจากด้านนอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชักสีหน้า ถามอย่างไม่สบอารมณ์ “นายท่านฮั้วคิดจะมาสอดเรื่องในจวนของข้าหรือ”

 

 

นายท่านฮั้วสะอึกกึก บ่าวด้านนอกไม่กล้าขยับ

 

 

ครู่หนึ่ง นายท่านฮั้วถึงพูดว่า “ต้องทำอย่างไรแม่นางเมิ่งถึงจะยอมปล่อยคน”

 

 

“เหวินเปียวเป็นถึงขนาดนี้แล้ว นายท่านฮั้วแน่ใจว่ายังต้องการไถ่ตัวเขาไป” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ

 

 

นายท่านฮั้วก้มหน้ามองเหวินเปียวที่นอนหายใจรวยริน กัดฟันพูดว่า “เป็นต้องได้คน ตายต้องได้ศพ แม่นางยื่นข้อเสนอมาเถอะ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “เห็นแก่ความรักมั่นของคุณหนูฮั้ว ข้าจะให้โอกาสนางก็ได้ ท่านลองถามเหวินเปียวดู หากเขายินยอมให้ท่านไถ่ตัว ข้าจะให้เขาไปกับท่านทันที โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น หากเขาไม่ยินยอม เชิญท่านกลับจวนไป ต่อไปไม่ต้องมาเรียกหาคนที่จวนข้าอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยอมถอยให้หนึ่งก้าว นายท่านฮั้วย่อมไม่อิดออดอีก ตวัดชายผ้าขึ้น คุกเข่า โน้มตัวก้มถามเหวินเปียว “นายน้อยเหวิน ข้าคือบิดาของฮั้วเซียงหลิง วันนี้มาไถ่ถอนตัวเจ้า เจ้ายินดีจะกลับจวนไปกับข้าหรือไม่ นับจากนี้เจ้าจะกลายเป็นชนชั้นสูง มีแต่ลาภยศสรรเสริญ”

 

 

เหวินเปียวพยายามลืมตาขึ้น ส่ายหน้าแผ่ว พูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ขอบคุณในความกรุณาของคุณหนูฮั้ว ข้าไม่อาจรับได้จริงๆ”

 

 

นายท่านฮั้วไม่ตัดใจ พูดอีก “หากเจ้ายินดีไปกับข้า ข้ารับปากเจ้า จะเปลี่ยนสถานะให้เจ้าและคนในครอบครัว ได้มีชีวิตอย่างอิสรเสรีอยู่ในเมืองหลวง”

 

 

เหวินเปียวยังส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว แม่นางเมิ่งดีต่อพวกเรามาก ข้าสาบานไว้ว่า ชีวิตนี้จะขอติดตามนางผู้เดียว”

 

 

นายท่านฮั้วทั้งโมโหทั้งร้อนรน สูดลมหายใจเข้าลึก งัดไพ่ตายในมือออกมา “พวกพ้องสำนักคุ้มภัยในอดีตของเจ้า ข้าได้ใช้วิธีแลกเปลี่ยนตัวพวกเขากลับมา บัดนี้อยู่ที่เรือนนอกเมืองของข้า หากเจ้ารับปากไปกับข้า ข้าจะถอนสถานะทาสของพวกเขา ให้เขากลับมามีชีวิตอิสรเสรีอีกครั้ง หากเจ้าไม่ไปกับข้า พวกเขาจะต้องอยู่ในเรือนนอกเมืองนั้นไปจนตาย”

 

 

เหวินเปียวถลึงตาโพลง จ้องนายท่านฮั้วเขม็ง

 

 

นายท่านฮั้วก็จ้องตาเหวินเปียว เค้นถามกลับ “ว่าอย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบนัยน์ตา

 

 

เมิ่งฉีเริ่มชักสีหน้าเข้ม

 

 

ครู่หนึ่ง เหวินเปียวก็ส่ายหน้าหนักแน่น หลับตาลงอีกครั้ง

 

 

“นายน้อยเหวินต้องคิดให้ดีๆ ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านค้าแล้ว คนอย่างข้าพูดจริงทำจริง นับแต่นี้ไปพวกพ้องของท่านจะไม่มีวันได้อยู่อย่างเป็นสุข” เมิ่งเชี่ยนโยวข่มขู่เขาอีกครั้ง

 

 

เหวินเปียวนอนแน่นิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว สั่งคนด้านนอกเสียงเกรี้ยว “ชิงหลวน ส่งแขก!”

 

 

ชิงหลวนรับคำ เดินเข้ามา ผายมืออย่างมีมารยาท พูดอย่างไม่อ่อนน้อมแต่ก็ไม่แข็งกร้าว “นายท่านฮั้ว เชิญ”

 

 

เมื่อครู่ชิงหลวนแบกชายฉกรรจ์อย่างเหวินเปียวเข้ามาได้อย่างง่ายดาย นายท่านฮั้วรู้ว่านางเป็นยอดฝีมือ ไม่กล้าแข็งข้อกับนาง หันไปพูดเหวินเปียวด้วยความหวังอีกครั้ง “นายน้อยเหวิน ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง ท่านคิดได้เมื่อไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

 

 

เหวินเปียวยังคงไม่มีปฏิกิรยาตอบสนอง

 

 

นายท่านฮั้วจนใจลุกขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางช่วยดูแลนายน้อยเหวินให้ดีด้วย ในอดีตเขาเป็นชายฉกรรจ์กระดูกเหล็ก ไม่ควรตายด้วยการถูกทารุณเพียงเล็กน้อยนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพูดว่า “เรื่องนี้นายท่านฮั้วไม่ต้องเป็นกังวล ข้ารู้อะไรควรไม่ควร ท่านต่างหากที่ควรกลับไปตักเตือนคุณหนูฮั้ว โลกนี้มีบุรุษดีดาษดื่น อย่าเอาแต่คิดจะผูกคอตายใต้ต้นไม้ พลอยทำให้เหวินเปียวต้องตายตามไปด้วย”

 

 

นายท่านฮั้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมองเหวินเปียวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังเดินออกไป

 

 

ทั้งสองส่งเขาออกไปจากห้องรับแขก มองดูเขาเดินจากไป ถึงกลับเข้ามาในห้องรับแขก

 

 

เหวินเปียวยังคงนอนแผ่บนพื้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลงข้างเขา มองซ้ายมองขวาอย่างประหลาดใจ กลับไม่เห็นพิรุธใดๆ ยิ้มถามเขา “เจ้าทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”

 

 

เหวินเปียวกลั้นขำ “แม่นาง ข้าจะไปมีความสามารถนั้นได้อย่างไร กัวเฟยมอบยาให้ข้าหนึ่งเม็ด พอข้ากินเข้าไปก็มีสภาพอย่างที่เห็น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลูบคาง คิดจะขอกัวเฟยมาศึกษาบ้างสักเม็ด

 

 

เหวินเปียวเห็นนางอยู่ในภวังค์ พูดวิงวอน “แม่นาง อย่างน้อยท่านก็ให้คนมาพยุงข้าขึ้นก่อนเถอะ พื้นเย็นจะแย่แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา “สมน้ำหน้า ใครใช้ให้เจ้าหว่านเสน่ห์ไปทั่ว ยอมรับผลกรรมที่ก่อเองเถอะ”

 

 

เหวินเปียวตาค้าง หันไปมองเมิ่งฉีขอความช่วยเหลือ

 

 

เมิ่งฉีทำใจไม่ได้ ย่อตัวพยุงเหวินเปียวขึ้นมา ประคองเขาไปนั่งบนเก้าอี้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการด้านนอก “จูหลี ไปขอยาถอนพิษจากกัวเฟยมา”

 

 

จูหลีรับคำ รีบวิ่งไปยังเรือนบ่าว ไม่นานก็กลับเข้ามา เปล่งเสียงกังวานรายงานว่า “นายท่าน กัวเฟยบอกว่าไม่มียาถอนพิษ อีกสองชั่วยามพอยาหมดฤทธิ์ก็จะหายเองเจ้าค่ะ”

 

 

เหวินเปียวตาค้างอีกครั้ง

 

 

“พรืด” เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะออกมา

 

 

เมิ่งฉีมองดูสภาพจะตายมิตายแหล่ของเหวินเปียว หัวเราะร่วนอย่างทนไม่ไหว

 

 

เหวินเปียวถึงตระหนักได้ว่าตนเองถูกกัวเฟยแกล้งแล้ว โมโหกัดฟันเสียงดังกรอดๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะจนพอใจ ถึงชักสีหน้าพูดกับเหวินเปียวอย่างขึงขัง “วันนี้พวกเราร่วมมือกันแสดงละคร อาจจะตบตาไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อพวกเขารู้ว่าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว จะต้องตามมาตอแยอีก แล้วใช้พวกพ้องของเจ้ามาข่มขู่เจ้า เกรงว่าเจ้าคงผ่านด่านนี้ไปได้ยาก แผนการในตอนนี้ ก็คือคิดหาวิธีรับตัวพวกพ้องของเจ้ามาจากเรือนของเขา เช่นนี้เจ้าก็จะไม่ต้องถูกพวกเขาข่มขู่ได้อีก”

 

 

เหวินเปียวที่เดิมได้รู้ว่าพวกพ้องพี่น้องยังมีชีวิต ก็ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน แต่พอได้ยินคำพูดข่มขู่ของนายท่านฮั้วเมื่อครู่ เหวินเปียวก็เย็นวาบไปทั้งหัวใจ บัดนี้พอได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็ให้เกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เบิกตากว้าง ถามด้วยความยินดี “แม่นาง มีวิธีหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ย่อมต้องมีวิธี แต่ต้องอาศัยคนที่มีไหวพริบไปจัดการ”

 

 

“แม่นางพอจะพูดให้ฟังได้หรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกความคิดของตัวเองออกมา “พวกเราต้องหาคนที่ไว้ใจได้ไปติดต่อกับพวกพ้องของเจ้า บอกพวกเขาเรื่องที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ให้พวกเขาหาวิธีออกมาจากเรือนอย่างไร้ร่องรอย แล้วให้พวกเขามาอยู่บ้านสวนที่ข้าเพิ่งซื้อไว้นอกเมือง”

 

 

เมิ่งฉีรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ พยักหน้าเห็นชอบ “น่าจะลองดู”

 

 

เหวินเปียวกลับเป็นกังวล “หากนายท่านฮั้วรู้เรื่องเข้า เขาจะมาหาเรื่องแม่นางหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือไม่ยี่หระ “ขอเพียงพวกเขาหาคนไม่เจอ ก็ไม่มีทางมาหาเรื่องพวกเราได้ และต่อให้พวกเขาหาคนเจอ ก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเรา เพราะเขาสืบประวัติของข้ามาอย่างละเอียดแล้ว ย่อมต้องรู้ความสัมพันธ์ของข้าและอี้เซวียน อีกทั้ง เขาก็ใช้วิธีสกปรกแลกพวกพ้องของเจ้ามา หากเรื่องแพร่งพราย ก็หาได้เป็นผลดีกับเขาไม่ นายท่านฮั้วทำการค้ามาจนใหญ่โต ย่อมมีสติปัญญาคิดอ่านเป็น เขาไม่มีทางออกโรงต่อกรกับพวกเราโดยไม่ยั้งคิด”

 

 

เหวินเปียววางใจลง ถามขึ้น “เช่นนั้นพวกเราหาใครที่เหมาะสมดีขอรับ”

 

 

“เมื่อนายท่านฮั้วจัดให้พวกเขาไปอยู่บ้านสวนนอกเมือง ไม่มีทางปล่อยตามยถากรรม จะต้องมีคนคอยเฝ้าดู คนในจวนของเราต่างรู้วรยุทธ์ คนฝึกยุทธ์ย่อมดูกันออก ไม่เหมาะจะส่งไปติดต่อกับพวกเขา สองวันนี้ข้าค่อยคิดหาคนที่เหมาะสม สิ่งสำคัญตอนนี้คือหาเรือนที่สกุลฮั้วเก็บซ่อนคนว่าอยู่ที่ไหนก่อน พวกเราจะได้ส่งคนไปได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

เหวินเปียวขบคิด

 

 

เมิ่งฉีไม่รู้วิธีจัดการ ไม่อาจเสนอความคิดเห็น ได้แต่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งประกาย เปล่งเสียงออกไปด้านนอก “ไปหยิบกระดาษพู่กันมา”

 

 

ชิงหลวนรีบไปหยิบกระดาษพู่กันเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ แล้วมอบให้ชิงหลวน “นำไปมอบให้หลงจู๊เหลาจวี้เสียน ให้เขาจักต้องส่งคนไปตรวจสอบสถานที่ซ่อนให้ได้ความภายในวันนี้”

 

 

ชิงหลวนรับกระดาษมา หมุนตัวออกไปทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมานั่งบนเก้าอี้ พูดอย่างสบายใจ “รอก่อนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้พวกเราก็จะได้รับข่าว”

 

 

เหวินเปียวที่ไร้เรี่ยวแรง นั่งบนเก้าอี้ตัวไหลลงไปเรื่อยๆ เอ่ยปากร้องขอ “แม่นาง ท่านให้คนพาข้าส่งกลับไปได้หรือไม่ ข้าทรมานเหลือเกินแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ยกยิ้มร้องสั่ง “จูหลี พาเหวินเปียวส่งกลับไป”

 

 

เหวินเปียวตื่นตะลึง โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ต้องๆ ให้คนเฝ้าประตูมาพยุงข้ากลับไปก็พอ”

 

 

จูหลีเดินชักสีหน้าเข้ามา ยกตัวเหวินเปียวขึ้นเดินออกไป

 

 

เหวินเปียวร้องโวยวาย “แม่นางจูหลี ไม่ต้องรบกวนเจ้าดอก ข้าคลานกลับไปเองก็ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน

 

 

เมิ่งฉีก็หัวเราะเสียงขรม

 

 

จูหลีไม่ยี่หระ แบกเหวินเปียวมาถึงเรือนบ่าว ขณะที่สายตาทุกคู่ยังตกตะลึงนั้น ก็โยนเขาลงไปบนเตียง แล้วหันหลังเดินกลับไป

 

 

เหวินเปียวฟุบไปบนเตียงอย่างสิ้นสภาพ ไร้การเคลื่อนไหว

 

 

พอทุกคนได้สติกลับมา ต่างหัวเราะครื้นเครง แม้แต่เหวินซงก็อดไม่ได้หัวเราะก๊ากออกมา