องครักษ์หลวงทำงานไว หลังอาหารค่ำไม่นาน ก็มีองครักษ์หลวงนายหนึ่งส่งที่อยู่บ้านสวนเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ชำนาญเส้นทางในเมืองหลวง สั่งชิงหลวนไปตามเหวินเปียวที่ฟื้นคืนเป็นปกติแล้วเข้ามา ยื่นที่อยู่ให้เขาดู
เหวินเปียวดูแล้วพูดว่า “สถานที่นี้อยู่ฝั่งตะวันออกห่างออกไปไม่ไกล พอพ้นประตูเมืองฝั่งตะวันออกเดินเท้าประมาณยี่สิบสามสิบลี้ก็ถึงขอรับ”
อยู่ใกล้เขตเมืองมาก แบบนี้จัดการไม่ยาก ด้วยฝีมือของพวกเขา การจะเข้าเมืองโดยไม่ให้ถูกจับได้ย่อมไม่เป็นปัญหาเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกระดาษขึ้น พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะส่งคนไปติดต่อพวกเขา เจ้าบอกคนที่มีลักษณะพิเศษแก่ข้ามาสักคนเถอะ”
เหวินเปียวพยักหน้า “มีผู้คุ้มกันคนหนึ่งชื่อเหวินหย่ง เขาเคยคุ้มกันสินค้าไปกับข้า พบกลุ่มปล้นสะดม ได้รับบาดเจ็บที่ขา ทำให้เดินขากะเผลก ปีนี้มีอายุยี่สิบห้าปี”
เมิ่งเชี่ยนโยวท่องจำไว้ แล้วสั่งเหวินเปียวห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่เหวินหู่และเหวินเป้าก็ไม่ได้
เหวินเปียวย่อมรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่เคยปริปากพูดกับใคร วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีตรงมายังโรงงานเมืองฝั่งเหนือ เมิ่งฉีไปดูคนงานเก็บทำความสะอาด เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกบ่าวเข้ามาหา “วันนี้ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้าไปทำให้หน่อย”
บ่าวกริ่งเกรง รีบร้อนพูด “แม่นางมีเรื่องอันใดก็พูดได้เลย ผู้น้อยยินดีทำตามทุกอย่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกที่อยู่บ้านสวนของพี่น้องสำนักคุ้มภัย ถามเขา “เจ้ารู้จักสถานที่แห่งนี้หรือไม่”
“พอจะมีภาพคร่าวๆ ผู้น้อยจะไปสอบถามรายละเอียดจากคนแถวนั้นอีกทีขอรับ” บ่าวตอบกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดี เจ้าจงไปจัดการเรื่องหนึ่งให้ข้า”
บ่าวรับฟังอย่างอ่อนน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เขาไปตามหาคนชื่อเหวินหย่ง เป็นบ่าวที่เดินขากะเผลกอยู่ในเรือนแห่งนั้น ให้บอกเขาว่าเหวินเปียวนายน้อยสำนักคุ้มภัยยังมีชีวิตอยู่ ทั้งบอกให้เขาคิดหาวิธีออกมาเจอเหวินเปียวที่หน้าประตูเมืองฝั่งตะวันออก ช่วงยามโหย่วของวันนี้
บ่าวจดจำขึ้นใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย พวกเราจะแสดงเป็นนายบ่าว พอถึงเวลาให้เจ้าหาโอกาสลงมือ”
บ่าวรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกลาเมิ่งฉี ขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งบ่าวให้ไปนั่งบนคานด้านหน้า ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลัง จนพ้นประตูเมืองฝั่งตะวันออก
เมืองฝั่งตะวันออกเป็นเมืองเจริญมั่งคั่ง แม้จะพ้นประตูเมืองออกมายี่สิบสามสิบลี้แล้ว ก็ยังไม่มีภาพให้รู้สึกแร้นแค้นเหมือนเมืองฝั่งเหนือ
บ่าวคอยวิ่งลงจากรถม้าไปสอบถาม กระทั่งมองเห็นเรือนหลังหนึ่งไกลๆ บ่าวลงไปสอบถามบ้านใกล้เรือนเคียงครั้งสุดท้าย รู้ว่าก็คือเรือนหลังนี้ ก็รีบวิ่งกลับมารายงาน “แม่นางเมิ่ง ถึงแล้วขอรับ เรือนอยู่ด้านหน้านั่นขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแหวกม่านออก มองดูบ้านสวนที่ตั้งตระหง่านนอกหมู่บ้าน พยักหน้าพูดว่า “พวกเราตรงไปหน้าหมู่บ้าน แสร้งทำเป็นผ่านทางมาขอน้ำดื่ม แล้วเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงความเป็นไปของเรือนหลังนั้น”
คนรถบังคับรถม้าเข้ามาในหมู่บ้าน บ่าวลงมาจากรถม้า เดินมาถึงประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง ตะโกนร้องเข้าไปด้านใน “ในบ้านมีคนอยู่หรือไม่”
ชายชราอายุห้าสิบปีเศษได้ยินเสียง ค่อยๆ เดินออกมาจากในบ้าน เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดห่างออกไปจากหน้าบ้านตนเอง ร้องถามขึ้น “พวกเจ้ามาหาใคร”
บ่าวประสานมือคำนับชายชรา “ท่านผู้เฒ่า พวกเราเดินทางผ่านมา คุณหนูของพวกเรากระหายน้ำ พอจะขอน้ำดื่มจากท่านได้หรือไม่”
มักจะมีคนผ่านทางมาขอน้ำดื่มอยู่เป็นนิจ ชายชราไม่ใส่ใจ พูดว่า “ขาข้าไม่ค่อยดี เจ้ายกรั้วกั้นขึ้นออกแล้วเข้ามาเถอะ”
บ่าวกล่าวขอบคุณ ยกไม้กั้นขึ้นเดินเข้ามาในลาน
ชายชราค่อยๆ เดินกลับเข้าไปในบ้าน หยิบถ้วยใบหนึ่งออกมา ยื่นให้เขา ทั้งชี้ไปที่อ่างน้ำ “เจ้าตักเองเถอะ”
บ่าวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วถามขึ้น “บ้านนี้มีท่านเพียงคนเดียวหรือ”
“พวกเขาไปทำงานที่บ้านสวน ข้าขาไม่ดี จึงต้องอยู่เฝ้าบ้าน” ชายชราตอบ
บ่าวถามต่อ “คนในหมู่บ้านไปทำงานที่ไหนหรือ ข้าเห็นหมู่บ้านนี้เงียบเชียบนัก”
“เจ้าของเรือนเป็นเศรษฐีในเมือง มีคนดี ให้ค่าแรงสูง ทั้งอยู่ใกล้บ้าน นอกจากเด็กและคนที่เดินเหินไม่สะดวกเช่นข้า คนในหมู่บ้านต่างไปทำงานกับเขา”
บ่าวพูดไป ก็ตักน้ำในอ่างออกมาครึ่งถ้วย ยกมาถึงข้างรถม้าด้วยความระวัง ยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วส่งสายตาให้นางเททิ้งอีกด้านของรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา กลับแหงนหน้าดื่มลงไป
บ่าวเกือบจะร้องอุทานออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มคืนถ้วยให้เขา ทั้งพูดว่า “มอบเงินเล็กน้อยให้ชายชรา”
บ่าวรู้ความ ถือถ้วยกลับมาคืนให้ชายชรา ทั้งล้วงเงินก้อนหนึ่งจากอกยื่นให้ชายชรา “ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”
ชายชราลนลานโบกมือ “ไม่ต้องๆ แค่น้ำถ้วยเดียว จะรับเงินจากพวกเจ้าได้อย่างไร”
บ่าวหยิบมือข้างหนึ่งของชายชรา วางเงินไว้กลางฝ่ามือเขา “รับไปเถอะ คุณหนูของพวกเรายังมีอีกเรื่องอยากขอร้องท่าน”
การรับเงินโดยเปล่า ชายชรารู้สึกไม่สบายใจ ได้ยินดังนั้นก็ตอบรับทันควัน “พูดมาเถอะ ขอเพียงข้าทำได้ ข้าจะต้องช่วย”
“คืออย่างนี้ หลายปีก่อนพี่ชายของคุณหนูพวกเราเกิดมีเรื่องบางหมางกับคนในครอบครัว หนีออกจากบ้านมา หลายวันก่อนพวกเราเพิ่งได้ข่าวว่า ด้วยความโมโหในตอนนั้นทำให้เขาขายตัวมาเป็นบ่าวบ้านสวนละแวกนี้ พวกเราตามหาเรือนละแวกนี้มาหมดแล้ว ก็หาเขาไม่พบ ข้าจึงอยากถามท่านว่า ท่านเคยพบเขาในบ้านสวนหลังนั้นหรือไม่ อ่อ จริงสิ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ เดินขากะเผลกเล็กน้อย”
ชายชราขบคิด แล้วพูดว่า “ในบ้านสวนนั้นเหมือนจะมีอยู่คนหนึ่ง อายุยี่สิบกว่าปี แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นคนเดียวกับที่พวกเจ้าตามหาหรือไม่”
บ่าวสะท้อนแววตายินดี พยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆๆ จะต้องใช่แน่ๆ ท่านผู้เฒ่าพอจะช่วยคิดหาวิธี ให้พวกเราพบหน้ากันได้หรือไม่”
“คือว่า…” ชายชราเริ่มลำบากใจ “ตามปกติบ่าวในบ้านสวน นั้นจะมีคนคอยเฝ้าดู พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อพวกเราได้ตามใจ”
บ่าวแสดงสีหน้าร้อนรน “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี นับแต่ที่พี่ชายของคุณหนูพวกเราหายไป ท่านแม่ของเขาก็เอาแต่กินน้ำตาต่างหน้า ร่างกายทรุดโทรม พวกเราอุตส่าห์สืบได้ข่าวคราวของเขา คิดจะพิสูจน์ว่าหากเป็นเขาจริง จะให้เขากลับไปพบหน้าท่านแม่เขาสักครั้ง ตอนนี้จะทำอย่างไรดี”
บ่าวร้อนใจจนน้ำตาเอ่อคลอแล้ว
ชายชราทำใจไม่ได้ ครุ่นคิดหาวิธีให้เขา “บุตรชายข้าทำงานอยู่ที่นั่น เขาปลอมเป็นญาติของพวกเราเข้าไปหาเขา ให้เขาหาวิธีช่วยเจ้าก็แล้วกัน”
บ่าวประสานมือโค้งคำนับให้เขา พร่ำกล่าวขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณท่านผู้เฒ่า ขอบคุณท่านผู้เฒ่า”
ชายชราโบกมือ “บุตรชายของข้าชื่อซุนซิง ทำงานในเรือนแห่งนั้น เจ้าเข้าไปหาเขาเถอะ”
บ่าวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง หันหลังเดินออกไป เขาพยักหน้าให้เมิ่งเชี่ยนโยวเล็กน้อย ขึ้นนั่งบนรถม้า กำชับคนรถมุ่งหน้าไปบ้านสวนข้างหน้า
ชายชรามองส่งพวกเขาจากไป ก้มมองเงินในมืออย่างมีความสุข แล้วค่อยๆ เดินกลับเข้าบ้าน
รถม้าจอดห่างออกมาจากบ้านสวนระยะหนึ่ง บ่าวลงจากรถม้า เดินเข้าไปหากลุ่มคนที่กำลังทำงานในแปลงดิน
ยังไม่ทันเข้าใกล้คนกลุ่มนั้น คนที่มีลักษณะเป็นผู้คุมเห็นชายแปลกหน้า รีบเขาไปขวางเขาไว้ “หยุดนะ เจ้ามาทำอะไร”
บ่าวชะงักฝีเท้า โค้งคำนับพูดกับเขา “ข้าเป็นญาติของซุนซิง มีธุระมาหาเขาขอรับ”
ผู้คุมมองประเมินเขาขึ้นลง ชี้ไปทางขวามือของตัวเอง “เขาทำงานอยู่ตรงนั้น เจ้าเดินไปหาเขาเถอะ”
บ่าวโค้งคำนับกล่าวขอบคุณ เดินตรงไปทางนั้น ทั้งลอบมองประเมินคนที่ทำงานอยู่
พอดีกับมีคนที่ขากะเผลกหอบหญ้าแห้งฟ่อนหนึ่งเดินผ่านหน้าเขา กำลังจะนำไปทิ้งในคันดิน
บ่าวช้อนสายตาพินิจมองเขา เห็นว่าตรงกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวบรรยายไว้ หัวใจสั่นไหว ขาโงนเงน ร่างกายซวนเซ ทิ้งตัวตรงเข้าหาเขาทันที
ชายคนนั้นเห็นอาการของเขา ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา คว้าเขาเอาไว้ไม่ให้เขาล้มไปกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “พื้นที่นี่ไม่เรียบ เดินระวังหน่อย”
บ่าวจับแขนเขา ถามเสียงเบา “ท่านคือเหวินหย่งใช่หรือไม่”
ชายผู้นั้นตกตะลึง
บ่าวรู้ว่าตนเองเดาถูกแล้ว รีบพูดเสียงต่ำด้วยความเร็วสูง “นายน้อยเหวินสำนักคุ้มภัยให้ข้ามาบอกท่านว่า เขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้กลับมาเมืองหลวงแล้ว ให้ท่านหาวิธีออกมาพบเขาที่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกวันนี้ก่อนยามโหย่ว”
ชายผู้นั้นเบิกตาโพลง หญ้าแห้งในมืออีกข้าวร่วงหล่นพื้น
ผู้คุมเห็นดังนั้น เดินเข้ามาตวาดถามพวกเขา “พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน”
บ่าวยืนตัวตรง ตอบกลับ “ข้าไม่ระวังเกือบเดินล้ม โชคดีได้พี่ชายท่านนี้เข้ามาประคองขอรับ”
เหวินหย่งไม่พูดอะไร ย่อตัวลงรวบหญ้าแห้งที่แตกกระจายเข้ามารวมกัน ในเวลานี้หากผู้คุมตั้งใจมอง จะต้องเห็นว่ามือเขาสั่นระรัว
ผู้คุมไม่สงสัยอะไร มองบ่าวเดินไปหาซุนซิง จึงเดินกลับมาที่เดิม
เหวินหย่งก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โยนหญ้าแห้งลงไปในคันดิน เดินกะเผลกกลับไป
ผู้คุมไม่เห็นความผิดปกติของเขา มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ว่าภายในใจของเขาตอนนี้ดีใจมากเพียงใด นายน้อยยังไม่ตาย ทั้งยังกลับมาเมืองหลวงแล้ว พอคิดว่าพลบค่ำก็จะได้เจอเหวินเปียว เหวินหย่งก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
บ่าวได้เจอเหวินหย่งแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปเจอซุนซิงอีก เขาฉวยโอกาสตอนที่ผู้คุมเผลอ เดินอ้อมไปทางที่ซุนซิงทำงานอยู่ แล้วเดินกลับมา โค้งคำนับกล่าวขอบคุณผู้คุม จากนั้นก็กลับมาขึ้นรถม้า บอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แก่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งคนรถเดินทางกลับ
เหวินหย่งกลับมายังสถานที่ทำงานของตัวเอง ยังคงสะกดกลั้นความยินดีในใจไม่ได้ มือคู่นั้นสั่นไม่ยอมหยุด ชายฉกรรจ์ที่ทำงานข้างๆ เขาสังเกตเห็นอาการเขา ถามอย่างเป็นห่วง “อาหย่ง เจ้ามือสั่นขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรนะ จะให้ผู้คุมไปตามหมอมาดูอาการหรือไม่”
เหวินหย่งมองเขา ไม่พูดอะไร เอาแต่แสยะยิ้ม
แค่เอาหญ้าแห้งไปทิ้ง กลับมาก็เปลี่ยนเป็นอีกคน แวบแรกชายฉกรรจ์คิดว่าเขาไม่สบาย ยื่นมือออกไปหมายจะแตะหน้าผากเขาดูว่ามีไข้หรือไม่
เหวินหย่งเบี่ยงศีรษะหลบ มองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีคนสนใจพวกเขา จึงกระซิบที่ข้างหูชายฉกรรจ์ว่า “พี่เสียง นายน้อยยังมีชีวิตอยู่”
เหวินเสียงนิ่งอึ้ง
เหวินหย่งพยักหน้ายิ้ม รอดูเขาทำหน้ายินดี
เหวินเสียงถลึงตาโตมองเขาครู่หนึ่ง ถึงโพล่งคำอุทานออกมา “เหวินหย่ง นี่เจ้าถูกผีเข้าเรอะ ทำไมถึงพูดจาเลอะเลือนเช่นนี้”
เหวินหย่งยิ้มเก้อ
คนโดยรอบได้ยินเสียงเขาต่างหันมองมา แม้แต่ผู้คุมนายหนึ่งก็มองมาที่พวกเขา
เหวินหย่งรีบก้มหน้า ทำงานในมือตัวเอง
เหวินเสียงเห็นเขากลับคืนสู่สภาวะปกติ ให้นึกกังขา ร้อนใจถามเขา “ตกลงว่าเจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เหวินหย่งไม่สนใจเขาอีก ฉวยโอกาสที่ผู้คุมเผลอ ค่อยๆ เขยิบมาหาชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปีเศษคนหนึ่ง ด้านหนึ่งเงยหน้าระวังผู้คุม อีกด้านพูดกระซิบบอกเขา “พี่หย่วน ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน ท่านจะต้องกลั้นความรู้สึกไว้ อย่าร้องตะโกนเหมือนพี่เสียงเด็ดขาด”
เหวินหย่วนได้ยินเสียงร้องเมื่อครู่ของเหวินเสียงแล้ว ยังให้กังขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอเหวินหย่งทำลับๆ ล่อๆ เข้ามาพูดกับเขา จึงมองเขาอย่างประหลาดใจ เห็นเขาใบหน้าเปื้อนยิ้ม เอาแต่ดีใจจนเนื้อเต้น ยิ่งให้คับข้องใจ ตั้งแต่เกิดเรื่องกับสำนักคุ้มภัย แม้ตอนที่นายท่านฮั้วหาวิธีแลกเปลี่ยนตัวพวกเขามาได้ จัดที่พักให้อยู่ที่นี่ ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ เหวินหย่งก็ไม่เคยจะดีใจเช่นนี้มาก่อน จึงยอมตกปากรับคำ “พูดเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่แหกปากร้อง”
เหวินหย่งโน้มตัวเข้าหาเขาในท่าทางของคนทำงาน พูดกับเขาเสียงสั่น “นายน้อยยังมีชีวิตอยู่ ให้คนมาส่งข่าวบอกข้า ให้ข้าหาวิธีออกไปพบเขาที่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกก่อนยามโหย่ววันนี้”
“เคล้ง” เสียงอุปกรณ์ทำงานในมือเหวินหย่วนร่วงหล่นพื้น
เหวินหย่งรีบหยิบขึ้นมาใส่มือเขา
เหวินหย่วนรับไว้อย่างเลื่อนลอย เบิกตาโพลงมองเขา
เหวินหย่งไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าทำงาน ให้เขาตกตะกอนเอง
“เหวิน เหวินหย่ง ที่เจ้าพูดเป็นความจริง” ครู่หนึ่ง เสียงสั่นระริกของเหวินหย่วนเอ่ยถามขึ้น
เหวินหย่งเงยหน้า พยักหน้าเต็มแรง “เมื่อครู่ตอนข้าไปทิ้งหญ้าแห้ง มีคนเข้ามาส่งข่าวบอกข้า”
เหวินหย่วนดีใจจนมือสั่น กำเครื่องมือทำงานในมือแน่น แล้วก็คลายออก แล้วก็กำ แล้วคลาย วนซ้ำไปซ้ำมา ถึงสงบสติอารมณ์ลงได้ มองไปโดยรอบ กดเสียงต่ำพูดว่า “ดังนั้นพวกเราต้องหาวิธีช่วยเจ้าออกไปจากเรือนนี้”
เหวินหย่งส่ายหน้า
เหวินหย่วนตะลึงค้าง
เหวินหย่งพูดว่า “ข้าไม่รู้จักคนที่มาส่งข่าว ที่นายน้อยให้เขามาหาข้า คงเพราะข้าขาไม่ดี เป็นที่จดจำง่าย นายน้อยไม่ได้เจาะจงให้ข้าไป ท่านเป็นคนไปเถอะ ท่านแขนขาดี วรยุทธ์ก็ดีกว่าข้า ไปกลับจะต้องใช้เวลาน้อยกว่าข้า”
ผู้คุมเดินเข้ามา เหวินหย่วนรีบก้มหน้า โน้มตัวทำงาน
ผู้คุมเดินตรวจตราโดยรอบ ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด จึงเดินไปที่อื่น
กระทั่งเขาเดินไปไกล เหวินหย่วนถึงพูดเสียงแผ่วว่า “ประเดี๋ยวตอนพัก ไปเรียกระดมพลพี่น้อง ปรึกษากันว่าต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยข้าออกไปจากเรือนนี้ได้”
นายท่านฮั้วปฏิบัติต่อคนงานเป็นอย่างดี ทุกหนึ่งชั่วยามจะให้พวกเขาพักได้ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ดังนั้นวันนี้หลังจากถึงเวลาพัก พี่น้องสำนักคุ้มภัยก็เข้ามารวมตัวกัน
ตอนที่นายท่านฮั้วส่งพวกเขามาอยู่ที่นี่ เพียงสั่งผู้คุมว่า อย่าปล่อยพวกเขาออกไปเดินเพ่นพ่าน เลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาตามมา ไม่ได้กำชับสิ่งอื่นเป็นพิเศษอีก ดังนั้นการที่พวกเขารวมตัวกัน ผู้คุมเพียงมองมาแวบหนึ่ง เห็นพวกเขาไม่มีอะไรผิดแปลก จึงไม่ได้สนใจพวกเขาอีก
พอเห็นพวกพ้อง เหวินหย่วนในตอนนี้ดีใจลิงโลดอย่างหาที่สุดไม่ได้
เหวินหย่วนวางมือทาบปาก บอกเป็นนัยไม่ให้พวกเขาส่งเสียงดัง กระทั่งทุกคนสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง ถึงพูดเสียงเบาหารือเรื่องที่ตนเองจะออกไปจากเรือน
พอกลับมาถึง บ่าวก็บอกเรื่องเมื่อครู่กับเมิ่งเชี่ยนโยวไปตามความจริง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็พยักหน้า พูดชมเชยเขา “ทำได้ดีมาก รอให้พ้นช่วงเวลานี้ไป ข้าจะตกรางวัลเจ้าอย่างงามเทียว”
หลายวันมานี้บ่าวกระจ่างแจ้งแก่ใจดี แม้แต่นายท่านของตนเองยังโอนอ่อนให้เมิ่งเชี่ยนโยวสามส่วน สถานะนางจักต้องไม่ได้เป็นเพียงคนทำการค้าธรรมดา หากตนเองสร้างผลงานให้เมิ่งเชี่ยนโยวประทับใจได้ ไม่แน่ว่าภายหน้าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล จึงรีบพูดปฏิเสธ “นี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ที่ต้องทำให้ท่านอยู่แล้ว จะรับรางวัลจากแม่นางได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน พูดว่า “เจ้าเป็นคนของใต้เท้าเปา ทำเรื่องให้ข้าเป็นการช่วยเหลือ สมควรตกรางวัลให้เจ้าแล้ว อย่าได้ปฏิเสธอีกเลย”
บ่าวเป็นคนมีไหวพริบดี ฟังออกถึงน้ำเสียงไม่ยอมให้ปฏิเสธอีกของเมิ่งเชี่ยนโยว เขาจึงไม่บอกปัด ทั้งกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม
รถม้ากลับมาถึงเมืองฝั่งเหนือ ทิ้งบ่าวไว้ รับเมิ่งฉีเดินทางกลับไป
ระหว่างทาง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่บ่าวบอกนางแก่เมิ่งฉี
เมิ่งฉีได้ฟังก็เริ่มเป็นห่วง พูดว่า “ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหลบออกมาได้หรือไม่”
“พวกเขาเคยบุกป่าฝ่าดงมาหมดแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ใช่เรื่องยาก พวกเรากลับไปรับเหวินเปียวไปรอที่เมืองฝั่งตะวันออกแต่เนิ่นๆ เถอะ”
ทั้งสองกลับมาบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเหวินเปียวมาพบในห้องตัวเอง บอกเขาว่าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว รอเพียงพวกเขาออกมาพบตามเวลานัดหมาย
เหวินเปียวตื่นเต้นดีใจ เดินมาเดินไปภายในห้อง เอาแต่มองท้องฟ้า เฝ้ารอให้เวลานัดหมายมาถึงโดยไว
เหลืออีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงยามโหย่ว เหวินเปียวนั่งไม่ติดแล้ว เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่แยแสสถานะ “แม่นาง นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว พวกเราไปรอที่ด้านนอกเมืองฝั่งตะวันออกเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะพบหน้าพี่น้องเสียให้ได้ ยอมโอนอ่อนให้เขา พาเขานั่งรถม้าออกมานอกเมืองฝั่งตะวันออกพร้อมเมิ่งฉี ทั้งหมดหาสถานที่ลับตาคนจอดรถม้า รอคอยการมาถึงของเหวินหย่งเงียบๆ
เหวินเปียวกระโดดลงจากรถม้า เดินไปยืนกลางถนน คอยชะเง้อคอยืดยาวมองออกไป
กระทั่งเหลืออีกหนึ่งเค่อถึงจะถึงยามโหย่ว ถึงมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำนายหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
เหวินเปียวเห็นร่างของเขาก็จำได้ทันที ร้องตะโกนเรียก “เหวินหย่วน ข้าอยู่นี่!”
เหวินหย่วนที่จิตใจกระสับกระส่าย เหงื่อไหลโทรมกาย ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเหวินเปียว วิ่งดีใจเข้ามากอดเหวินเปียวไว้แน่น “นายน้อย เป็นท่านจริงๆ ท่านยังมีชีวิตอยู่!”