เหวินเปียวกอดเหวินหย่วน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเต็มแน่นของร่างกาย ทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่น ถูกต้องแล้ว พี่น้องของเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ประสบเคราะห์กรรม ต้องตายอย่างอนาถในถิ่นทุรกันดารอย่างที่เขาคิดไปเอง
เหวินหย่วนเองก็ดีใจจนพูดไม่ออก กอดเหวินเปียวแน่นราวกับสตรีนางหนึ่ง น้ำตาอุ่นไหลอาบแก้มลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ชายกำยำสองคนโอบกอดกันร้องไห้กลางถนน ภาพนี้ไม่ว่าจะมองยังไง ก็แปลกประหลาดพิกล ผู้คนที่เดินเข้าออกเมืองต่างเหลียวมอง แม้แต่ทหารเฝ้าประตูเมืองก็ยังอดพินิจมองมาไม่ได้
ด้วยกลัวจะทำให้พวกทหารสงสัย เมิ่งเชี่ยนโยวที่คอยมองดูสถานการณ์เปล่งเสียงใสพูดว่า “เหวินเปียว มีเรื่องอะไรก็มาคุยข้างรถม้าเถอะ”
เหวินเปียวถึงรับรู้ได้ถึงสายตาที่เพ่งมองมาของผู้คน รู้สึกว่าพฤติกรรมของพวกเขาไม่เหมาะสม ใบหน้าแดงเรื่อ ปาดน้ำตา โอบไหล่เหวินหย่วนพาเดินมาข้างรถม้า
เหวินหย่วนที่สงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง สติสัมปชัญญะกลับมา รู้ว่าที่นี่ไม่เหมาะจะพูดคุย ไม่ได้เอ่ยปากถามความหลังจากที่เหวินเปียวประสบเคราะห์กรรม เพียงถามสั้นๆ ว่า “นายน้อย ท่านให้คนส่งข่าวให้ข้าออกมาพบ มีเรื่องอะไรจะให้พวกเราทำหรือ”
เหวินเปียวไม่ตอบ ชี้เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำนาง “เหวินหย่วน นี่คือนายของข้า แม่นางเมิ่ง คุณชายเมิ่ง
แม้เหวินหย่วนจะคาดเดาไว้ว่าเหวินเปียวจะต้องถูกขายเป็นทาส แต่พอได้ยินเขาพูดจากปาก ก็ให้รู้สึกเศร้ารันทด ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายน้อย…” คำพูดต่อมาติดอยู่ในลำคออย่างไรก็พูดไม่ออก
เหวินเปียวรู้ว่าเขาคิดอะไร ตบบ่าเขาพูดว่า “แม่นางเมิ่งดีต่อพวกเรามาก เหมือนกับคนในครอบครัว เจ้าไม่ต้องเศร้าใจแทนข้าดอก”
แม้เขาจะพูดเช่นนี้ เหวินหย่วนก็ยังรู้สึกไม่ดี แต่ก็ยอมเช็ดน้ำตา ร้องเรียกอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง คุณชายเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดว่า “เวลามีไม่มาก พวกเจ้าพูดรวบรัดเถอะ”
เหวินหย่วนเห็นนางมีท่าทีสบายๆ เงยหน้าพินิจมองนางอย่างพิศวง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยิ้มตาหยีอยู่ในรถม้า สีหน้าเป็นธรรมชาติ ท่าทีเป็นกันเอง มองแวบเดียวก็ให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
เหวินหย่วนชะงักอึ้งในเสี้ยววินาที
เหวินเปียวตบบ่าเขาอีกครั้ง
เหวินหย่วนตื่นจากภวังค์
เหวินเปียวพูดว่า “ไม่นานมานี้เกิดเรื่องกับข้าในเมืองหลวง อาจจะเดือดร้อนมาถึงพวกเจ้าได้ ดังนั้นข้าอยากให้วันพรุ่งนี้ เจ้าหาวิธีพาพี่น้องเราทั้งหมดหลบหนีออกมาจากเรือนที่พักอยู่ตอนนี้ ไปอยู่ในที่ที่แม่นางของข้าจัดเตรียมให้พวกเจ้า”
เหวินหย่วนไม่ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา พยักหน้ารับคำ “ขอรับ ข้าจะกลับไปบอกพวกพี่น้อง”
“พวกเจ้าคิดว่าหลบหนีออกมาตอนไหนถึงจะเหมาะสม ข้าจะได้ส่งคนไปรับพวกเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินหย่วนครุ่นคิด พูดว่า “ในเรือนไม่ได้มีแต่พวกเรา ยังมีผู้คุมอีกหลายนาย และครอบครัวที่อาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อนแล้ว ผู้คุมพวกนั้นความจริงก็เพื่อมาจับตาดูพวกเรา ทว่าหลายปีมานี้พวกเราไม่เคยก่อเรื่อง พวกเขาก็เลยผ่อนคลายความระแวดระวัง ไม่จับตาดูพวกเราเช้าค่ำเหมือนก่อน แต่ตื่นและนอนในเวลาเดียวกับพวกเรา หากพวกเราจะหลบหนีออกมาโดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็ต้องรอให้พวกเขาหลับสนิทก่อน พวกเราจะปีนกำแพงเรือนนอนของพวกเราออกมาขอรับ”
นั่นหมายความว่า เป็นเวลากลางดึก เวลานั้นประตูเมืองปิดหมดแล้ว ต่อให้พวกเขาหนีออกมาได้ก็เข้าเมืองไม่ได้ หากปล่อยเวลาผ่านไปจนผู้คุมสังเกตเห็น ไล่ตามมาจะกลายเป็นเรื่องยุ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีต่างขมวดคิ้วยู่ย่น
เหวินเปียวและเหวินหย่วนก็คิดถึงปัญหานี้ ต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
ชิงหลวนและจูหลียืนเงียบไม่พูดอะไร
บรรยากาศข้างรถม้าพลันอึมครึม
“พวกเจ้าคิดว่าจะหนีออกมาได้ยามใด” ครู่หนึ่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงเอ่ยปากถาม
เหวินหย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย พูดว่า “หลังจากยามจื่อ เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังหลับสนิท ผู้คุมหลับลึกมาก ไม่มีทางสังเกตเห็นความเคลื่อนไหว”
“ได้ นัดกันยามจื่อ ตอนนี้เจ้าจงรีบกลับไปบอกพวกพ้อง ให้ตรงมาที่นี่ทั้งหมด ถึงตอนนั้นข้าจะคิดหาวิธีให้คนเปิดประตูเมือง ปล่อยพวกเจ้าเข้ามา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมื่อประตูเมืองปิด ไม่มีทางเปิดได้โดยง่าย นอกจากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจพิเศษในมือ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เหวินหย่วนยิ่งให้ตื่นตกใจ เดาไม่ออกว่านางมีสถานะใดกันแน่
เหวินเปียวเชื่อเมิ่งเชี่ยนโยว รู้ว่านางพูดแล้วจะต้องทำได้ ตบบ่าเหวินหย่วนพูดว่า “ไปเถอะ ไม่ต้องเอาอะไรมาทั้งนั้น ให้พี่น้องเราเตรียมตัวให้พร้อม จะต้องมาที่นี่ตรงตามเวลา”
เหวินหย่วนรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก พยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก หลังจากโค้งคำนับเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี ก็ตบบ่าเหวินเปียวหันหลังกลับไปทันที
เหวินเปียวยืนข้างรถม้า กระทั่งมองไม่เห็นหลังเขาแล้ว ก็ยังอาวรณ์ไม่ยอมขึ้นรถม้า
“ไปเถอะ หากล่าช้า ประตูเมืองจะปิดลงเสียก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เหวินเปียวถึงก้าวขึ้นรถม้า
พ้นประตูเมืองเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงสั่ง “ชิงหลวน เจ้าไปบอกซื่อจื่อที่จวนอ๋องฉี บอกว่าข้าต้องการพบเขา ให้เขามาหาพวกเราที่บ้าน”
ชิงหลวนรับคำ มุ่งหน้าไปจวนอ๋องฉี
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนรถตรงกลับบ้าน
ตอนที่นางบอกจะให้คนเปิดประตูเมืองในยามจื่อ เมิ่งฉีก็เดาได้แล้วว่านางจะต้องให้หวงฝู่อี้เซวียนช่วย จึงไม่คัดค้าน ตามนางกลับมานั่งรอภายในห้อง
ชิงหลวนมาถึงจวนอ๋องฉี ตรงไปบอกคนเฝ้าประตูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้นางมาหาซื่อจื่อ คนเฝ้าประตูรีบปล่อยนางเข้าไป ชิงหลวนเดินมาถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เห็นนางก็ให้ตกใจเล็กน้อย ถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงเข้ามาเวลานี้ เกิดเรื่องกับแม่นางเมิ่งหรือ”
หลายวันมานี้ค่อนข้างยุ่ง หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวที่บ้านหลายวันแล้ว กำลังคิดคำนึงหา พอได้ยินเสียงหวงฝู่อี้ ก็รีบเดินออกมา รบเร้าถาม “เกิดเรื่องกับโยวเอ๋อร์เรอะ”
ชิงหลวนรีบตอบ “เรียนซื่อจื่อ นายท่านสบายดี ให้ข้ามาตามท่านเข้าไป บอกว่ามีเรื่องอยากพบท่านเจ้าค่ะ”
ได้ยินดังนั้น หวงฝู่อี้เซวียนรีบเดินออกมา เดินไปสั่งการไป “อี้เอ๋อร์ ส่งคนไปบอกพระบิดาและพระมารดา วันนี้พวกเราจะไม่กินอาหารค่ำที่จวน อีกอย่าง เจ้ารีบไปจูงม้าเข้ามา”
หวงฝู่อี้รับคำ วิ่งเหยาะๆ ออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนเร่งฝีเท้าเดิน
ชิงหลวนเดินตามหลัง
หวงฝู่อี้จูงมาออกมา หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดขึ้นหลังม้า ควบม้าตะบึงมุ่งหน้าไปเมืองฝั่งใต้
หวงฝู่อี้ถูกทิ้งรั้งท้ายไว้ เขามองดูตัวเองที่ยังไม่ทันขึ้นหลังม้า ซื่อจื่อก็ทะยานหายไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว เขาส่ายหน้าแหนงหน่าย พูดกับชิงหลวนเสียงหวาน “พี่ชิงหลวน พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
ชิงหลวนยิ้มมองเขาแวบหนึ่ง ขยี้ศีรษะหยอกเอินเขา แล้วกระโดดตัวลอยขึ้นหลังม้า
หวงฝู่อี้ไม่คิดว่านางจะกระโดดขึ้นหลังม้า มองตาค้าง แล้วเกาหัวทำหน้าลำบากใจพูดว่า “พี่ชิงหลวน ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน พวกเราขี่ม้าไปด้วยกันคงไม่เหมาะสม เราเดินไปด้วยกัน…เถอะ”
เขายังพูดไม่ทันจบ ชิงหลวนก็ตบก้นม้า ม้าส่งเสียงร้อง ควบทะยานออกไป
ม้าวิ่งควบฝุ่นฟุ้งกระจาย ทำเอาหวงฝู่อี้สำลักไอไม่หยุด กระทั่งฝุ่นจางลง ร่างก็ของชิงหลวนก็หายไปแล้ว
หวงฝู่อี้ยืนงงอ้าปากค้าง ครู่หนึ่งถึงโมโหกระทืบเท้าร้องโวยวาย “ชิงหลวนคนนี้ เพิ่งจะติดตามพี่สาวเมิ่งไม่กี่วัน ก็รู้จักแกล้งคนแล้ว”
คนเฝ้าประตูเห็นทั้งหมดนี้ ปิดปากแอบขำ
หวงฝู่อี้มองเขาแวบหนึ่ง เดินปึงปังกลับเข้าไปจูงม้าอีกตัวออกมา มุ่งหน้าไปเมืองฝั่งใต้
หวงฝู่อี้เซวียนมาถึงหน้าบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ลงจากหลังม้า โยนบังเ**ยนให้คนเฝ้าประตูที่เข้ามาทักทาย แล้วเดินเข้าไปในจวน เพิ่งจะเข้ามาถึงเรือนเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว “โยวเอ๋อร์ เจ้าอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีเพิ่งถึงบ้านได้ไม่นาน ยังดื่มชาไม่ทันหมด ก็ได้ยินเสียงเขา ให้ประหลาดใจลุกขึ้น เปิดม่านออกถาม “ไยเจ้าถึงมาเร็วเช่นนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาถึงหน้าห้องแล้ว เดินเข้าไปด้านในพลางตอบความ “ดึกขนาดนี้ เจ้าอยากพบข้าจะต้องมีธุระด่วน ข้าถึงได้รีบมาอย่างไร” พูดจบ เห็นเมิ่งฉีนั่งอยู่ในห้อง จึงกล่าวทักทาย “พี่รอง ท่านก็อยู่ด้วย”
เมิ่งฉีพยักหน้า ผายมือออกให้เขานั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งจูหลีไปชงชามา
หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันนั่งดี ก็ถามขึ้นอีกครั้ง “โยวเอ๋อร์ เจ้าอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ดอก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ดื่มชาก่อน ข้าจะค่อยๆ เล่าให้เจ้าฟัง”
หวงฝู่อี้เซวียนถึงวางใจลง
จูหลียกชาเข้ามา วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วถอยออกไปเฝ้าหน้าประตู
หวงฝู่อี้เซวียนยกชาขึ้นจิบ พูดว่า “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงบอกเรื่องที่นายท่านฮั้วมาขอไถ่ตัวเหวินเปียวด้วยตัวเอง ทั้งใช้พี่น้องสำนักคุ้มภัยมาข่มขู่เขา
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว พูดว่า “สกุลฮั้วคิดจะมาไม้ไหนกันแน่ บุตรสาวงดงามพริ้มเพรา ไม่หาคนที่เหมาะสมแต่งงาน จะมาเป็นภรรยารองของเหวินเปียวให้ได้ พิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “บอกว่าเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิต ยอมพลีกายตอบแทน อีกทั้งเพราะเหวินเปียวช่วยนาง ล่วงเกินเฮ่อเหลี่ยน ถึงต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ การที่คุณหนูฮั้วจะรักลึกซึ้งเช่นนี้ก็มีเหตุผล”
“เช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร เจรจาเงื่อนไขกับสกุลฮั้วหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งก็พอ” ว่าแล้ว ก็บอกเรื่องที่ตัวเองส่งคนไปติดต่อพวกพ้องของเหวินเปียว ทั้งนัดเวลามารับพวกเขาที่ประตูเมืองฝั่งตะวันออกยามจื่อกับเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจพลัน “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเปิดประตูเมืองให้ตามเวลานัดหมาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เจ้าเป็นเชื้อพระวงศ์ มีอำนาจในมือ การให้คนเปิดประตูเมืองย่อมเป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
หวงฝู่อี้เซวียนดวงตาเปล่งประกาย ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง “เช่นนั้นคืนนี้ข้าก็อยู่กับเจ้าที่นี่ได้นะสิ”
เมิ่งฉีกระแอมเสียงลั่นขึ้นฉับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าเตรียมรับคำตำหนิ
เป็นดังคาด เมิ่งฉีกระแอมไอเสร็จ ยังหายใจหอบอยู่ก็พูดขึ้น “พวกเจ้ายังไม่แต่งงานกัน จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร หากเจ้าอยากพักที่นี่ ก็ไปนอนที่ห้องของข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร ยกถ้วยชาขึ้นจิบ
หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ พอรับพวกเขามาแล้ว ข้ากลับไปที่จวนก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งฉีแสร้งพูดขึ้น “ตอนเจ้าอยู่กับพวกเรา พวกเราพี่น้องนอนห้องเดียวกันมาตั้งหลายปี ไม่เห็นเจ้าจะรังเกียจรังงอน ตอนนี้เป็นซื่อจื่อแล้ว รู้สึกว่านอนห้องเดียวกับพี่รอง ไม่สมฐานะสูงศักดิ์ของเจ้าเรอะ”
“พี่รอง” หวงฝู่อี้เซวียนรีบร้อนอธิบาย “ท่านพูดไปไหนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรท่านก็คือพี่รองของข้า เพียงแต่ตอนนี้ข้าโตแล้ว ไม่ชินที่จะต้องนอนห้องเดียวกันท่านอีก”
เมิ่งฉีชักสีหน้า พูดขึงขังกับเขา “พี่รองยังคงพูดคำเดิม พวกเจ้ายังไม่ได้แต่งงานกัน ห้ามทำเรื่องผิดจารีตเด็ดขาด พี่รองจะคอยจับตาดูพวกเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเพียงก้มหน้าดื่มชาไม่ปริปาก
เมิ่งฉีก็พูดเพียงเท่านี้ ไม่พูดอะไรอีก
กินอาหารค่ำเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนยังคงวนเวียนอยู่ในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว รอเวลายามจื่อ
เมิ่งฉีคิดว่าประเดี๋ยวมีเรื่องสำคัญต้องทำ คงไม่เกิดเรื่องอะไรกับคนทั้งสอง จึงไม่ห้ามปราบ กลับมาพักผ่อนที่ห้องตัวเองก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนกอดเมิ่งเชี่ยนโยวนอนลงบนเตียง ทั้งสองก็งีบหลับไป
กระทั่งอีกสองเค่อจะถึงยามจื่อ คนทั้งหมดตื่นขึ้นมา แต่งกายเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอก เหวินเปียวเตรียมรถม้าห้าคันตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเอาไว้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีรวมถึงหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปนั่งบนรถม้าคันสุดท้าย รถม้าทั้งหมดเคลื่อนขบวนไปประตูเมืองฝั่งตะวันออกท่ามกลางรัตติกาลมืดมิด
นายทหารเฝ้าประตูเมืองมาหลายปี รู้ว่าคนที่จะออกจากเมืองยามนี้จะต้องเป็นเศรษฐีคนใหญ่คนโต ไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งลงมาจากประตูเมือง ขวางหน้ารถม้าถามอย่างอ่อนน้อม “ไม่ทราบว่านายท่านท่านใดจะออกจากเมือง และมีป้ายคำสั่งหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนเดินลงจากรถม้า
นายทหารเห็นเขาแต่งกายสูงศักดิ์ ท่าทีองอาจ ยิ่งให้พินอบพิเทา
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งนายทหาร “ใครรับผิดชอบที่นี่ ไปตามเขาเข้ามา”
นายทหารไม่กล้ารอช้า วิ่งกลับไปรายงานหัวหน้ารักษาการณ์ด้านบน
หัวหน้าเดินลงมา กระทั่งเห็นว่าคนตรงหน้าคือหวงฝู่อี้เซวียน ก็รีบทำถวายคำนับ “ผู้น้อยคำนับซื่อจื่อขอรับ”
ได้ยินเขาเอ่ยสถานะตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนถึงกับหรี่ตามอง
หัวหน้ารีบพูดว่า “ซื่อจื่อจำผู้น้อยไม่ได้แล้วหรือ ผู้น้อยก็คือหัวหน้าโต้วอย่างไรขอรับ”
เพราะเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวทำให้หัวหน้าโต้วถูกลดขั้นมาเฝ้าประตูเมือง ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเฝ้าประตูเมืองฝั่งตะวันออกพอดี หวงฝู่อี้เซวียนขบคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าสั่งให้ชายสิบกว่าคนออกไปทำเรื่อง พวกเขาส่งข่าวกลับมาบอกว่าจะกลับเข้าทางประตูเมืองฝั่งตะวันออกยามจื่อ ข้ารู้ว่าพวกเขาจะเข้าเมืองไม่ได้ จึงมารับพวกเขา ไม่ทราบว่าหัวหน้าโต้วพอจะอำนวยความสะดวกได้หรือไม่”
เมืองฝั่งตะวันออกรีบตอบความ “ซื่อจื่ออย่าได้เรียกขานผู้น้อยเช่นนี้อีกเลย ตอนนี้ผู้น้อยเป็นเพียงคนเฝ้าประตูเท่านั้น”
“หัวหน้าโต้วเป็นคนมีความสามารถ เฝ้าประตูก็เพียงชั่วคราว ไม่แน่ว่าวันไหนจะได้กลับคืนตำแหน่งเดิม” หวงฝู่อี้เซวียนพูดเรียบๆ
หัวหน้าโต้วหัวใจกระตุกไหว เงยหน้ามองเขา เห็นเขาไม่มีสีหน้าล้อเล่น ก็ยินดีปรีดา น้ำเสียงยิ่งให้นอบน้อมหลายส่วน “ผู้น้อยจะสั่งพวกเขาเปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ไม่ต้องรีบ ยังไม่ถึงเวลา พวกเขามาค่อยเปิดประตูเมืองก็ยังไม่สาย”
หัวหน้าโต้วขานรับคำ รีบพูดว่า “ผู้น้อยจะไปเฝ้าด้านบน พอเห็นพวกเขาเข้ามาจะรีบมารายงานซื่อจื่อขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หัวหน้าโต้วกลับขึ้นไปด้านบน
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมารอในรถม้า
กระทั่งยามจื่อสามเค่อ เหวินหย่วนก็พากลุ่มคนเดินเข้ามา
หัวหน้าโต้วเห็นพวกเขา รีบวิ่งลงมาบอกให้ทหารเปิดประตูเมือง
เหวินหย่วนนำคนทั้งหมดเดินพ้นประตูเมืองเข้ามาโดยไว
เหวินเปียวเข้าไปต้อนรับ ร้อนรนถาม “มาครบทั้งหมดใช่หรือไม่”
คนทั้งหมดเห็นเหวินเปียว ต่างดีอกดีใจ ยื้อแย่งกันทักทายเขา
เหวินเปียวเอามือวางทาบปาก บอกเป็นนัยว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะพูดคุย ให้พวกเขาอย่าเพิ่งส่งเสียง
คนทั้งหมดเข้าใจทันที เม้มริมฝีปาก พยักหน้าหงึกๆ
เหวินหย่วนตอบกลับเสียงต่ำ “มากันหมดแล้ว ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว”
เหวินหย่วนพยักหน้า บอกพวกเขาขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้านหลัง
หัวหน้าโต้วเปิดประตูเมือง เดินมาข้างรถม้า
หวงฝู่อี้เซวียนเปล่งเสียงเข้ม สั่งเขาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหัวจะหลุดจะบ่าได้”
หัวหน้าโต้วหัวใจกระตุกวูบ ลนลานพูด “ซื่อจื่อวางใจเถอะ ผู้น้อยขอเอาศีรษะเป็นประกัน เรื่องในวันนี้จะไม่เล็ดลอดออกไปเด็ดขาด”
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง “อือ”
หวงฝู่อี้ก้าวเข้ามา ยัดเงินก้อนหนึ่งใส่มือหัวหน้าโต้ว “นี่เป็นรางวัลที่ซื่อจื่อมอบให้พวกเจ้า เอาไปดื่มสุรา”
หัวหน้าโต้วก็ไม่ปฏิเสธ เก็บเงินใส่ชายแขนเสื้อ โน้มตัวขอบคุณ “ขอบคุณซื่อจื่อขอรับ”
คนรถหักเลี้ยวรถม้า รถคันอื่นก็หักเลี้ยวตาม ไม่นานก็หายลับไปกับความมืดของรัตติกาล
กระทั่งไม่เห็นรถม้าแล้ว หัวหน้าโต้วถึงล้วงเงินในแขนเสื้อออกมา ยิ้มหน้าบานเดินขึ้นไปด้านบน แกว่งไกวต่อหน้านายทหาร “นี่เป็นรางวัลจากซื่อจื่อ”
นายทหารเห็นเงินก้อนใหญ่ต่างก็ดีใจลิงโลด นายทหารคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย “หัวหน้า เขาเป็นซื่อจื่อจากไหนหรือ ถึงใจใหญ่ใจโตเช่นนี้”
ไม่แปลกที่นายทหารจะเอ่ยถาม “เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์เปิดประตูเมืองกลางดึก แต่ไม่มีนายท่านคนไหนใจใหญ่เช่นนี้ ถึงกับตบรางวัลด้วยเงินก้อนใหญ่”
หัวหน้าโต้วได้ฟังคำพูดเขา ถลึงตาใส่ พูดเสียงเข้ม “ไม่ควรถามก็อย่าถาม รู้มากไปก็ไม่มีประโยชน์กับพวกเจ้า จำไว้ให้ดี เรื่องในวันนี้ห้ามใครพูดออกไปเด็ดขาด”