ส่วนที่ 4 ตอนที่ 53 - 1 หินราชางู

ความลับแห่งจินเหลียน

หลินเสวียนหลานได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ปู่ของผมอยากเจอคุณครับ”

 

“มีเรื่องอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่ทันได้พูดอะไรต่อ จ่านป๋ายชิงพูดขึ้นมา “เขาเป็นแค่ชายแก่คนหนึ่ง ไม่เหมือนหนุ่มหล่อเหมือนคุณ แล้วทำไมซีเหมินจินเหลียนของพวกเราจะต้องไปพบกับเขาด้วย เขามีอะไรน่ามองกัน”

 

ซีเหมินจินเหลียนที่เดิมทีหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา จ่านป๋ายพูดได้เรื่อยเปื่อยเก่งจริงๆ

 

หลังได้รู้การกระทำทุกอย่างที่หลินเจิ้งทำลงไป เธอก็พอรู้ว่าคนที่เป็นเบื้องหลังของเรื่องนี้น่าจะเป็นคุณปู่ตระกูลหลิน แน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้สึกสนใจคุณปู่หลินอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไปตรงๆ เหมือนจ่านป๋าย

 

“จินเหลียน?” หลินเสวียนหลานเรียกเธออีกครั้ง “คุณปู่ผมอาการไม่ดีแล้ว…ท่านเลยอยากจะพบคุณ…”

 

“ทำไมคุณปู่หลินถึงต้องอยากเจอฉันด้วยคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย ความจริงแล้วเธอกับเขาก็ไม่ใช่ศัตรูกัน เขาก็ปล่อยไปไม่ได้เลยเหรอ น่าจะจัดการสะสางกับมรดกหลังจากนี้สิ หรือไม่ก็อยากจะเจอลูกหลานหรือคนในตระกูล แต่เขาอยากจะเธอนี่นะ? เธอเป็นแค่คนนอกเท่านั้น   

 

“คุณปู่ผมคิดมาตลอดเลยว่าคุณคือศิษย์ทางสำนักใต้” หลินเสวียนหลานถอนหายใจพูด   

 

“ศิษย์สำนักใต้?” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ หรืออาจจะใช่? หรืออาจจะไม่ใช่…มีแค่เบื้องบนเท่านั้นที่รู้ ญาติสนิทของเธอก็ได้ล้มหายตายจากโลกนี้ไปแล้ว ส่วนพ่อแม่ของเธอก็ตายไปนานแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอเลยไม่รู้จักประวัติของตัวเองดีพอ แต่เธอยินดีที่จะเชื่อว่าคุณย่าและคุณครูของเธอเป็นแค่คนแก่ธรรมดาอยู่ในชนบทคนหนึ่ง ส่วนเรื่องราวที่บอกว่าผู้สืบทอดจากทางใต้ที่มีเงินอะไรนั่น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอ

 

ถ้าหากเธอเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้จริงๆ มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ ใช้ชีวิตผ่านความยากลำบากมาเนิ่นนาน เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงบ้านนอกคนหนึ่งมาตลอด

 

แต่ถ้าหากเธอเป็นเด็กผู้หญิงบ้านนอกธรรมดา แล้วทำไมที่หลังมือของเธอถึงมีดอกบัวสีทอง มีพลังวิเศษที่สามารถมองทะลุได้?

 

ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่รอยดอกบัวสีทองที่อยู่บนหลังมือนั่น ดอกบัวนั้นเหมือนกึ่งบานกึ่งตูม แต่สีไม่เหมือนลายสัก มันจะสว่างหรือมืดขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาส แต่ว่าสว่างสะดุดตาอย่างชัดเจน

 

ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าวันนั้นหลินเสวียนหลานดื่มเหล้ามากไป บางทีพลังวิเศษของเธอทั้งชาตินี้คงไม่ได้รับการปลุกขึ้นมา แต่พลังวิเศษนี้มาได้อย่างไร? คงไม่ได้จะหายไปในพริบตาหรอกนะ นี่เธอก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น

 

แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องขอบคุณเขา เมื่อคิดได้เช่นนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าตอนเก้าโมงเป็นยังไงคะ” กฎของการเยี่ยมแขกของพวกเขาคือ คนที่มาเยี่ยมไม่สามารถรอถึงบ่าย ไม่เช่นนั้นจะฤกษ์ไม่ดี มีแค่งานศพเท่านั้นที่เริ่มมาในตอนบ่าย 

 

“ตกลงครับ ผมจะมารับคุณ!” หลินเสวียนหลานได้ยินคำตอบรับของเธอก็ดีใจ รีบเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง   

 

 เมื่อได้กลิ่นหอมอบอวนของเค้กที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะลองชิม รสชาติก็ไม่เลวเลย ไม่หวานไม่เลี่ยนกำลังดี

 

พูดตามความจริงแล้ว ฝีมือในการทำอาหารของหลินเสวียนหลานก็นับว่าไม่ธรรมดา อาจจะอร่อยกว่าร้านอาหารที่มีเชฟชำนาญการอยู่ตั้งหลายคน ถ้าหากรับเข้าไว้เป็นเชฟประจำบ้าน ต่อจากนี้ไปคงมีความสุข กินอิ่มนอนหลับแน่

 

แต่ความคิดนี้ก็แปลกเกินไป ซีเหมินจินเหลียพยายามควบคุมสติตัวเอง บางทีเธอก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป อยากจะให้เขามาเป็นเชฟประจำตัวเธอเนี่ยนะ?   

 

หลินเสวียนหลานทำกับข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้ยื้อที่จะอยู่กินข้าวต่อ หาข้ออ้างบอกลาแล้วไปจากที่นี่ทันที ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องภายในบ้านของเขา เพราะอย่างนั้นเลยไม่ได้รั้งเขาเอาไว้ เมื่อมื้อเย็นผ่านไปเธอขึ้นไปอาบน้ำข้างบน

 

จ่านป๋ายก็ไปอาบน้ำเช่นกัน ทั้งสองคนเดินลงไปห้องใต้ดินข้างล่างพร้อมกันแล้วเปิดไฟ ตอนที่จ่านป๋ายซื้อธูปเทียนมานั้น เขาได้หยิบกระถางธูปมาด้วย

 

ซีเหมินจินเหลียนมองกระถางธูปสีมืดนั่นเลยถามว่า “ของโบราณเหรอ”

 

“เขาว่ากันอย่างนั้นนะครับ” จ่านป๋ายยิ้ม “ผมได้มาจากคุณยายคนหนึ่ง ท่านบอกว่าของชิ้นนี้ก็อยู่ในบ้านของท่านมานานกว่าหลายสิบปีแล้ว ผมไม่ได้สนใจว่าเป็นของจริงหรือปลอม เพราะยังไงตอนกลางคืนพวกเราก็ต้องใช้”

 

ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ ก็จริง จะสนใจไปทำไมว่าเป็นของจริงหรือของปลอม? คืนนี้พวกเขาต้องการธูปก็ได้แล้ว ถึงจะเป็นราคาแพงหรือของโบราณแล้วมันจะแตกต่างอะไรกัน

 

จ่านป๋ายหยิบธูปออกมาสามดอกแล้วจุดไฟ จากนั้นส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียน

 

ซีเหมินจินเหลียนรับมันมา แล้วหันหน้าไปที่หินหยกก้อนนั้นพร้อมปักธูปลงไปที่กระถางธูป สมัยก่อนตอนที่ผ่าหินหยกก็มักจะทำพิธีขอกราบไหว้บูชาก่อน แต่ตอนนี้นับว่ามีคนทำน้อยมาก แต่ว่าหินหยกที่จะผ่าวันนี้ดูมีพลังร้ายแรงที่น่ากลัว เธอเลยต้องขอขมาก่อนถึงจะรู้สึกจิตใจสงบลง

 

เมื่อเอาธูปวางไว้อีกฝั่ง ซีเหมินจินเหลียนก็มองไปที่จ่านป๋าย จ่านป๋ายพยักหน้าพร้อมหยิบเครื่องเจียระไนมาแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณใส่ใจเป็นพิเศษแบบนี้ ผมก็ต้องระวังให้มากขึ้น”

 

“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าแล้วเดินไปที่ข้างหน้าหินหยกพลังชั่วร้ายนั่น ก่อนยื่นมือไปสัมผัสจากนั้นชี้ไปที่จุดที่ต้องการ “เริ่มผ่าจากตรงนี้ได้เลย”

 

“โอเคครับ” จ่านป๋ายพยักหน้าแล้วหยิบเครื่องเจียระไนเปิดสวิตซ์ทำงาน ก่อนจะเริ่มเจียระไนลงไป

 

ซีเหมินจินเหลียนลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงของเครื่องเจียระไนกระทบไปที่ผิวหินหยกแล้ว ห้องใต้ดินข้างล่างก็เงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่

 

“เสี่ยวป๋าย…” ซีเหมินจินเหลียนริมฝีปากแห้งจัด เหมือนมีเรื่องอยากจะพูด เพื่อที่จะขจัดสิ่งที่รบกวนในใจ

 

“หืม?” จ่านป๋ายเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนหวาดผวามองมาที่เขา “ไม่เป็นอะไรหรอก จินเหลียน อย่างมากก็แค่แพ้เดิมพัน จะเป็นอะไรไปได้ครับ?” ถึงปากจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ในใจก็สั่นเทาอยู่ไม่น้อย

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซีเหมินจินเหลียนผ่าหยก ถึงจะเป็นหยกฮกลกซิ่วก้อนใหญ่ แต่เธอก็ไม่เคยจะกังวลใจขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วตอนนี้เธอกังวลใจอะไรอยู่กัน? มันก็แค่เรื่องที่ผู้อาวุโสหูเล่ามา ทำไมถึงได้คิดมากขนาดนี้

 

เสียงของเครื่องเจียระไนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เปลือกหินหยกถูกปอกออกมาหมด จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียน เขาจำได้ในสิ่งที่เธอบอกว่าผิวหยกหนาไปสักหน่อย จนถึงวันนี้ผิวหยกก็ไม่ได้หนาขนาดนั้นนี่? เพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรจะเรียกว่าหนาได้อย่างไรกัน

 

แต่เมื่อคิดได้นั้นจ่านป๋ายก็โล่งใจ การเดิมพันหยก ใครจะสามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าเดิมพันหินได้อย่างไรกัน มันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง นี่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยไม่ใช่หรือ?

 

เมื่อวางเครื่องเจียระไนลง จ่านป๋ายก็ตักน้ำสะอาดราดไปที่พื้นผิวของหิน หยกชนิดแก้วไร้สีสะอาดผุดผ่อง เขาหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดู ก็เห็นว่าโปร่งใสมาก ความโปร่งใสสะอาดนี้ยิ่งกว่าหยกชนิดแก้วปกติเสียอีก เมื่อมองดูแล้วก็ไม่เหมือนกับหยกเลยสักนิด นี่ก็ดูราวกับคริสตัลใสบริสุทธิ์สะอาดมาจากธรรมชาติ

 

แต่เขารู้ว่านี่ก็ไม่ใช่คริสตัล คริสตัลกับหยกอย่างไรก็ยังมีความแตกต่างกัน นี่เป็นแค่หินหยกที่มีความโปร่งใสกว่าหยกชนิดอื่นก็เท่านั้น

 

“จินเหลียน นี่เป็นหยกชนิดแก้วไร้สีครับ!” จ่านป๋ายพูดพลางยิ้มออกมา “เป็นอย่างที่คุณพูดไว้จริงๆ หยกชนิดที่ผู้หญิงวัยรุ่นสมัยนี้นิยมกัน ถ้าหากหินหยกทั้งชิ้นเป็นหยกไร้สีชนิดแก้วแบบนี้ละก็ ราคาคงประเมินค่าไม่ได้เลย”

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบ “ลองเจียระไนออกมาให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

 

จ่านป๋ายเห็นท่าทางของซีเหมินจินเหลียนที่ระวังแบบนั้นแล้วก็เริ่มเจียระไนต่ออีกครั้ง ผิวหินอีกข้างก็ถูกเจียระไนเปิดออกแล้ว อยู่ๆ สายตาของจ่านป๋ายก็เบิกกว้างขึ้น เหมือนข้างในหยกใสไร้สีนี่จะมีอะไรอยู่ในนั้น คิดไม่ถึงว่าข้างในเหมือนจะมีสีดำอะไรอยู่?

 

รอยมลทิน? คิดไม่ถึงเลยว่าภายในหยกแก้วไร้สียังมีรอยมลทินอยู่

 

ตอนแรกที่ผู้เฒ่าหลินซื้อหินหยกก้อนใหญ่กลับมาจากพม่าก็รู้สึกเหมือนปิดบังหยกสีเขียวไว้หมดเลย หรือหยกก้อนนี้จะเป็นอย่างสถานการณ์ตอนนั้น

 

“ไม่ใช่สิ?” จ่านป๋ายคิดพลางหยิบตักน้ำมาราดลงไปอีกครั้ง เพื่อชะล้างผงหินที่เกาะติดอยู่บนผิว ทำให้หยกแก้วไรสีที่อยู่ข้างในมองเห็นได้ชัดกว่าเดิม

 

เมื่อหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดู ก็มีรอยสีดำอยู่เล็กน้อยอย่างที่คิดไว้ แต่มองยังไม่ชัดว่าข้างในซ่อนอะไรเอาไว้…