ส่วนที่ 4 ตอนที่ 53 - 2 หินราชางู

ความลับแห่งจินเหลียน

“เกิดอะไรขึ้น” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ ในตอนนี้เธอใช้กำลังที่มีอยู่กำหมัดไว้แน่น จนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เธอก็ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บ เพียงแต่จิตใจเต้นรัวไม่สบายใจเป็นที่สุด

 

“เหมือนว่าจะมีอะไรอยู่ข้างใน?” จ่านป๋ายเลิกคิ้วขึ้น “รอยมลทินที่หยก? เดี๋ยวผมลองเจียระไนออกให้หมดก่อน”

 

“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้า

 

ไม่นานพื้นผิวของหินก็ถูกเจียระไนออกมา หยกก้อนนี้มีความโปร่งใสสูง สูงกว่าหยกชนิดแก้วธรรมดาเป็นหลายเท่า ราวกับแก้วใสบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน เมื่อจ่านป๋ายเจียระไนพื้นผิวหินออกมาหมดแล้ว สีดำข้างในนั้นก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

 

จ่านป๋ายหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดูอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว มองหยกก้อนนั้นอย่างตกใจ….

 

“จินเหลียน…ข้างในหยกเหมือนจะมี…มี…มีงู?” จ่านป๋ายพูดติดๆ ขัดๆ เขาไม่ได้กลัวงู แต่หินหยกข้างในมีงู มันเป็นสิ่งที่เหมือนจะเกิดขึ้นไม่ได้ภายในโลกใบนี้

 

เพียงแต่ว่าสรีระของงูที่คดงอ มีเกล็ดที่ปกคลุม ต่างพิสูจน์ออกมาให้เห็นว่าข้างในหยกมีสิ่งใดปรากฏอยู่ให้เห็น

 

ซีเหมินจินเหลียนมองเขาอย่างสับสน แล้วถามกลับไปว่า “ข้างในมีอะไรอยู่เหรอ”

 

“อืม สีดำ ดูแล้วเหมือนจะเป็นงู…” จ่านป๋ายพูดพร้อมฝืนยิ้ม “ไม่ใช่สิ่งที่สวยงามอะไรหรอกครับ” เห็นหยกที่สวยงามมาก็เยอะ แต่พอมาเห็นหยกพลังชั่วร้ายที่เจียระไนออกมาวันนี้ เขากลับไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย

 

“น่าจะเป็นรอยมลทินสีดำ จะมีงูได้ยังไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูดประโยคนี้เอง แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังปกปิดสิ่งไม่ดีไว้อยู่อย่างชัดเจน

 

“ก็จริงครับ” จ่านป๋ายหันไปมองเธออย่างเข้าใจ พร้อมยิ้มออกมาอย่างบางเบา “บางทีอาจจะเป็นรอยมลทินของหยกที่รูปร่างคล้ายกับงูก็เท่านั้น พวกเราลองมาเจียระไนต่อกันอีกสักหน่อยเถอะ”

 

ซีเหมินจินเหลียนได้แต่หยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อจุดธูปทำพิธีขอขมาบูชาแล้ว ในเมื่อเจียระไนออกมาได้ด้านหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าต้องเจียระไนเพื่อดูต่อไปว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหากข้างในหยกมีงูอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ อย่างน้อยก็ไม่สามารถทำให้เธอตกใจได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธออาศัยอยู่ในชนบท แถมยังเป็นภูเขาล้อมรอบ เคยเห็นงูมาตั้งเยอะ อย่าพูดถึงว่าข้างในหยกจะมีงูอยู่ตัวเดียวเลย ถึงแม้จะมีสักสิบตัวแล้วยังมีชีวิตอยู่ เธอก็ไม่กลัว

 

จ่านป๋ายหยิบเครื่องเจียระไนออกมาเพื่อจะเจียระไนต่ออีกครั้ง เสียงของเครื่องเจียระไนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…

 

หินหยกถูกเปิดออกมาโดยหมด จ่านป๋ายตักน้ำขึ้นมาราดไปที่ผิวหินอีกครั้งเพื่อให้เห็นหยกแก้วไร้สีอย่างชัดเจน ภายใต้แสงไฟ หยกนั่นส่องประกายระยิบระยับ ส่วนความโปร่งใสของหยกสอดแทรกไปด้วยร่างของงู…

 

 เป็นงูอย่างที่คิดจริงๆ!   

 

จ่านป๋ายสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เขาสามารถมองเห็นถึงส่วนท้องของงู ส่วนท้องนั้นมีเกล็ดสีขาวเป็นแผ่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ตัวของงูน่าจะเป็นสีดำ เพราะระหว่างที่เริ่มเจียระไนหินก็มองเห็นสรีระของงูได้อย่างชัดเจน

 

นี่ไม่ใช่แค่ร่องรอยของงู แต่เป็นตัวงูอย่างแท้จริง ในอดีตมีงูอยู่ด้วยเหรอ? จ่านป๋ายคิดสงสัยอยู่ในใจ

 

จ่านป๋ายเงยหน้าขึ้นหันไปมองซีเหมินจินเหลียน สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนก็ดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก พูดออกมาว่า “เจียระไนผิวออกมาให้หมดก่อน”   

 

“ครับ” จ่านป๋ายไม่พูดอะไร หินที่ถูกเจียระไนออกมาดูเหมือนจะผ่านอะไรมาเยอะ

 

พื้นผิวที่เหลือสามส่วนถูกเปิดออกมาจากห้าส่วน สามารถตัดสินใจได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นงูสีดำสลับสีทอง จ่านป๋ายเคยเห็นงูมาตั้งมากมายหลายสายพันธุ์ แต่เขาไม่เคยเห็นงูที่มีรูปร่างลักษณะแบบนี้มาก่อนเลย

 

“งูตัวนี้ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงต้องสวยมากแน่ๆ” จ่านป๋ายอยากสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงขึ้นมา เลยตั้งใจพูดขึ้น ในความจริงแร่ธาตุในอดีตที่ผสมสอดแทรกไปด้วยสัตว์ข้างในมีอยู่ไม่มาก แต่สิ่งที่สำคัญก็คือภายในหยกมีสัตว์อยู่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน

 

แต่เคยได้ยินมาว่ามีอำพันอยู่ สำหรับฟอสซิลขนาดใหญ่ สิ่งที่มีชื่อเสียงคงเป็นไดโนเสาร์กับนกต้นกำเนิด แต่เหมือนจะเคยได้ยินเรื่องอำพันหยกมีแมลงอยู่ข้างใน เมื่อคิดได้เช่นนี้วันนี้ที่เจียระไนหินออกมาก็เป็นเรื่องปกติ   

 

“สวยกับผีคุณน่ะสิ ฉันไม่เคยเห็นงูที่สวยแบบนี้มาก่อนเลย!” ซีเหมินจินเหลียนพูดออกมา “ตอนเด็กๆ ฉันเคยเห็นงูตัวหนึ่ง รูปร่างเป็นหยกสีเขียว ถึงจะเป็นหยกสีเขียวสดก็ไม่อาจสู้ได้กับสีสันหลากสี แต่คุณรู้หรือเปล่าว่างูชนิดนี้เรียกว่าอะไร”

 

“งูเขียวหางไหม้?” จ่านป๋ายคิดถึงตำนานที่เล่าขานกันมา

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ ฉันไม่รู้ว่าชื่อทางการมันเรียกว่าอะไร แต่ว่าแถวบ้านเกิดฉันเรียกมันว่างูเทพพ่าย เพราะแม้กระทั่งเทพเซียงยังเกรงกลัวที่จะถูกมันกัด จนเกือบจะไม่มีชีวิตรอด”

 

“เก่งกาจขนาดนั้นเลย?” จ่านป๋ายมีความรู้สึกแปลกใจ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญมากมายจะดูถูกไม่เชื่อเรื่องตำนานที่เล่าขานกันมา คิดว่าเป็นการเพ้อเจ้องมงาย หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าเทคนิคการแพทย์ในอดีตยังไม่เจริญ ทำให้คนมัวแต่เชื่อถึงพิษร้ายกาจของงู   

 

แต่ว่าเขากลับรู้ว่าพิษของงูที่อยู่ตามป่าเขาลึกนั้นมักมีพิษสงร้ายแรงกว่าที่คิดไว้นัก

 

“ตอนเด็กฉันเคยเจอมาก่อน โชคดีที่ไม่ถูกฉก” ซีเหมินจินเหลียนเผยยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

“ปกติงูชนิดนี้มักจะไม่จู่โจมคนก่อนเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม

 

“นี่ก็พูดยากค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “บนภูเขามีสมุนไพรที่สามารถแก้พิษงูได้ แถวบ้านฉันทุกๆ บ้านต่างมีเก็บไว้”

 

จ่านป๋ายพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ พิษงูตามป่าเขาถ้าหากไม่มีสมุนไพรรักษาโดยเฉพาะ ถูกกัดเข้าไม่อันตรายเกินไปเหรอ? แถมคนที่อาศัยตามหมู่บ้าน คนที่มีความรู้ในการรักษาแค่เบื้องต้นเท่านั้นยังหายากเลย

 

พูดถึงเรื่องนี้จ่านป๋ายก็นึกได้ว่า ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนจะกลับมาจากบ้านเกิด กำนันที่หมู่บ้านให้ของเธอมา ตอนนั้นเขาไม่ได้ถามอะไร แต่ตอนนี้ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้ว “จินเหลียน ของที่คุณเอามาจากบ้านเกิดของคุณ เป็นยาสมุนไพรทำมาจากงูหรือเปล่าครับ”

 

“ใช่” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ปิดบังอะไรเขา พร้อมพยักหน้าพูด “สมุนไพรจากงู แล้วยังมีสมุนไพรแห้งและเครื่องหอม”

 

“เครื่องหอม?” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ แถวนั้นมีเครื่องหอมด้วยเหรอ 

 

“จะพูดยังไงดีล่ะ มันเป็นดอกไม้แปลกๆ ชนิดหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้าน เด็ดออกมาตากแห้งแล้วจะหอมมาก เด็กผู้หญิงแถวบ้านชอบนำมาทำเป็นถุงหอมจากนั้น…” พูดได้แค่นี้ซีเหมินจินเหลียนก็หยุดพูดไป

 

จ่านป๋ายถามออกไปอย่างสงสัย “จากนั้นเอาไปทำอะไรเหรอครับ”

 

“มอบให้คนรักน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างส่งๆ

 

“แล้วเมื่อไหร่คุณจะทำให้ผมล่ะ” จ่านป๋ายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

“ไปเลย ไปเจียระไนหินของคุณต่อเลย!” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างสงเดช ในใจแอบคิดว่า พูดถึงเรื่องเจียระไนหินอยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆ หัวข้อสนทนาถึงถูกเปลี่ยนมาไกลขนาดนี้กัน เป็นเพราะงูนี่ลากพามาแท้ๆ

 

จ่านป๋ายเจียระไนต่อไปอย่างไม่บ่นสักคำ เหลือแค่ด้านเดียวแล้ว ถึงจะเจียระไนออกแค่ทีละนิดแต่เครื่องเจียระไนนี่ถือว่าอึดใช้ได้

 

กลางดึกเวลาห้าทุ่มครึ่ง หินทั้งหมดก็ถูกเจียระไนหินออกจนหมด จ่านป๋ายตักน้ำมาล้างคราบผงหินที่เกาะไว้อยู่บนผิวหยก…   

 

“จินเหลียน…จินเหลียน…นี่คืออะไรกันแน่?” จ่านป๋ายมองไปที่หินหยกก้อนแปลกประหลาดนั่นพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไป…

 

ซีเหมินจินเหลียนที่ยืนอยู่ข้างเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจน แต่สีหน้าก็ค่อนข้างย่ำแย่เช่นกัน หยกชนิดนี้โปรงใส่มาก ใสจนเหมือนคริสตัล แต่ก็ใสกว่าหยกชนิดแก้วมาก เพราะฉะนั้นของที่อยู่ข้างในถึงเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก

 

นี่เป็นงูอย่างที่คิดไว้จริงๆ หางกับลำตัวคดงอ ส่วนเกล็ดเป็นสีดำมีลายสีทองสามเส้น ถือว่าธรรมดามาก แม้ว่าจ่านป๋ายไม่กล้าพูดว่าบนโลกใบนี้ยังคงมีงูชนิดนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ถือว่าหาพบเจอได้ยาก

 

หัวของงูแผ่แม่เบี้ยขึ้นด้วยท่ากำลังจู่โจม นี่เป็นท่าที่พบเห็นได้ทั่วไป ส่วนหัวของมันเป็นลักษณะสามเหลี่ยม

 

แต่สิ่งที่พิเศษอยู่ตรงที่บนลำตัวเจ็ดนิ้วของงูตัวนี้ กลับไม่ใช่เกล็ดสีดำอย่างที่คิดไว้ แต่เป็นหยกสีขาวชั้นดีที่วาววับ แน่นอนถ้าหากเป็นแค่นี้อาจจะไม่ทำให้ตกใจถึงขนาดนี้

 

จ่านป๋ายสังเกตไปอย่างละเอียดที่ส่วนหัวของงู บทสรุปก็คือเหมือนกับผิวของมนุษย์…

 

ใช่แล้ว เหมือนกับผิวของมนุษย์จริงๆ บางทีอาจจะลื่นนุ่มมากกว่าผิวของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ งูมีดวงตาที่กลมโต จ่านป๋ายมีความรู้สึกรับรู้ได้ว่ามันกำลังมองเขาอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหม่อลอยก็คือ ลำตัวของงูตัวนี้มีเส้นลายสีทองสามเส้นลากยาวไปถึงส่วนหัว บนหัวของมันมีหงอนสีทองงอกขึ้นมา

 

แต่ดูจากส่วนหงอนที่งอกออกมา เขายิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนดอกบัว ดังนั้นเขาเลยหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องแสงมองไปอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

ไม่นานจ่านป๋ายก็สีหน้าตื่นตกใจกลัวก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมส่งเสียงตกใจ

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

“มันขยับตัวอยู่…” จ่านป๋ายบอกใบ้ไปทางที่หยกนั่นแล้วกระซิบเสียงเบา แม้ว่าความจริงจะพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมาก็เยอะ บางทีอาจจะไม่ได้ทำให้เขาตกใจ แต่นี่เป็นเรื่องที่ทั้งชีวิตคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น ก็ไม่เคยตกใจกลัวเท่าวันนี้มาก่อน เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสายตาของงูเหมือนกับดวงตาของคน กำลังมองมาที่เขา 

 

เขาจดจ้องงูตัวนั้นจนงูตัวนั้นเบิกตาขึ้นกว้างมองเขากลับอย่างจดจ่อ

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา วันนั้นที่เธอใช้ความสามารถในการมองทะลุเข้าไปก็ได้เห็นว่างูตัวนั้นกำลังขยับตัวอยู่

 

เธอไม่สามารถกระโตกกระตากทำอะไรมากได้ เพราะฉะนั้นเธอจึงพูดว่า “บางทีอาจจะเป็นเส้นแสงกระทบเข้าหากันเฉยๆ เลยทำให้เกิดภาพลวงตาขึ้นมา”