จ่านป๋ายมองอย่างไม่คลาดสายตา พลันหันไปมองซีเหมินจินเหลียน จากนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าไปเผลอจับมือข้างขวาของซีเหมินจินเหลียนเข้าไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จากนั้นมองดอกบัวสีทองดอกนั้นอย่างละเอียด “จินเหลียน ถ้าผมพูดไปแล้วคุณอย่าโกรธผมนะ หัวงูนี่ทำไมถึงทำเป็นดอกบัวสีทองกัน? คงไม่ใช่ว่ามันชอบคุณหรอกนะ?”
ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าเขาตั้งใจ แต่ก็ยังเดินกระทืบเท้าออกไปอย่างหงุดหงิด นี่เขาพูดอะไรของเขากัน?
“ฉันชื่อว่าจินเหลียนที่แปลว่าดอกบัวสีทอง เพราะอย่างนั้นเลยสักรูปดอกบัวสีทองบนตัว นี่คุณก็พูดอะไรของคุณกัน?” ซีเหมินจินเหลียนพูดอธิบาย แต่รู้แก่ใจว่านั่นไม่ใช่รอยสัก
“จินเหลียน คุณดูนี่สิ” จ่านป๋ายปลีกตัวออกมา ก่อนจะเริ่มเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาขึ้นมาแล้วมองไปที่งูที่อยู่ในหยก “ผิวของส่วนหัวนี่…”
“ผิวส่วนหัวเป็นไงเหรอ คุณไม่เคยเห็นงูขาวหรือยังไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ได้แต่มองปฏิกิริยาของเขา พลางถามไปตรงๆ ว่า “คุณไม่เคยดูตำนานนางพญางูขาวเหรอ”
“งูตัวนั้นฟื้นพละกำลังมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ” จ่านป๋ายไม่มีอะไรที่จะพูด เขาไม่เคยดูเรื่องตำนานนางพญางูขาว แต่ยังดีว่าเขาเคยไปตำหนักเหลยเฟิงที่หางโจวมาก่อน เพราะอย่างนั้นถึงรู้จักเรื่องนี้เข้า โอเค ยอมรับก็ได้ว่าเขาคิดว่างูขาวตัวนั้นเป็นปีศาจ…
“ใครจะสามารถกำหนดได้ว่างูตัวนี้กำลังฝึกวิชาเซียนอยู่” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางสังเกตไปบนงูที่อยู่ในหยก
ผิวของงูตัวนี้ดีจริงๆ แน่นอนซีเหมินจินเหลียนไม่ใช่อิจฉาตาร้อนเรื่องผิวส่วนล่างที่เป็นเกล็ดมันวาวของงู แต่เป็นส่วนหัวที่นุ่มลื่นราวกับผิวขาวนวลของคน ช่างเหมือนหยกสีขาวชั้นดีเหลือเกิน ละเอียดนุ่มลื่น เมื่อผ่านหยกใสที่คั่นกลางไว้ อย่างน้อยเธอก็รู้สึกถึงผิวสัมผัสที่นุ่มนิ่ม เธอยอมรับว่าผิวของงูนี้ดีกว่าของเธออีก ถึงจะเปรียบเทียบอย่างนี้ก็เถอะ แต่พอคิดได้อย่างนี้ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา
โดยเฉพาะดวงตาของงูตัวนั้น ดูแล้วเหมือนจะไม่มีพิษสงอะไร ตรงกันข้ามรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างไร้กังวล เธอไม่เคยเจองูที่ไหนที่มีสายตาเช่นนี้มาก่อน
ไม่ใช่ว่าซีเหมินจินเหลียนไม่เคยเห็นงูในเมืองเสียที่ไหน เธอเติบโตอยู่ท่ามกลางภูเขาห้อมล้อม แน่นอนว่าต้องเคยเจองูหลากหลายชนิดมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นว่ามีงูแบบนี้อยู่บนโลก แม้กระทั่งเธอเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็คว้าไฟฉายที่จ่านป๋ายถือไว้ในมือมา เธอดูอย่างละเอียดและพบว่าดอกบัวสีทองในส่วนของหัวงูน่าจะเป็นหงอน?
ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดอยู่ในใจ เคยได้ยินว่าส่วนหัวของงูพวกนี้เหมือนกับหงอนของไก่ตัวผู้…
แต่ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางส่วนหัวของงูแล้ง ดูแล้วเหมือนจะเป็นหงอนของพระราชา หยกชิ้นนี้เป็นหินราชางู!
ซีเหมินจินเหลียนลอบตั้งชื่อให้กับหยกชิ้นนี้ในใจ แต่ไม่รู้ทำไมหงอนของงูกลับกลายเป็นดอกบัวแบบนั้น ราวกับได้เห็นผีซึ่งๆ หน้า
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้หญิงที่ชื่อจินเหลียนก็มีล้นตลาดทั่วไป แน่นอนคนที่มีชื่อเสียงหน่อยก็ฟ่านจินเหลียน รูปร่างลักษณะของงูที่มีหงอนอยู่ด้านบนพบได้น้อยมาก ถึงจะเป็นหงอนรูปมังกรออกมาเธอก็ยังรับได้ แต่ทำไมถึงต้องเป็นดอกบัวสีทองด้วยเล่า นี่เธอก็ไปมีเรื่องกับใครหรืออย่างไรกัน
“จินเหลียน คุณคิดจะจัดการกับหยกก้อนนี้ยังไง” จ่านป๋ายถาม พูดตามตรงหยกชิ้นนี้ดูมีพลังเหลือร้ายกว่าที่คิด แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ คนอย่างซีเหมินจินเหลียน ทำไมเธอถึงได้รู้อย่างละเอียดว่าหินหยกข้างในมีปัญหาอะไร ตอนนั้นที่อยู่ในโรงงานแปรรูปหยก เธอตกใจกลัวอะไรกันแน่?
ถ้าหากนำหยกก้อนนี้ไปวางให้คนอื่นมาชม เกรงว่าคนส่วนมากคงจะไม่เชื่อว่าเป็นหยกจริง
แต่หยกก้อนนี้เป็นหยกที่เขากับซีเหมินจินเหลียนซื้อกลับมาด้วยกัน เขาเป็นคนเจียระไนมันออกมาด้วยมือของตัวเอง มันทำให้เขาแทบที่จะไม่เชื่อรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นข้างในตัวหยกที่ตอนนี้วางอยู่ตรงหน้าของเขา…
“เสี่ยวป๋าย” ซีเหมินจินเหลียนล้อมรอบหินหยกก้อนนั้นไว้แล้วถามขึ้นมา “คุณเห็นอะไรมาตั้งเยอะแยะ แล้วเคยเห็นงูที่มีหงอนแบนี้หรือเปล่า”
“มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เพียงแต่ว่าน้อยมาก แถมได้ยินว่าเป็นสิ่งของชั้นสูงราคาดีเชียว” จ่านป๋ายพูด
“ถ้าอย่างนั้นคุณว่าหินหยกก้อนนี้ก่อตัวขึ้นได้อย่างไร” ซีเหมินจินเหลียนถามพลางคิดไปด้วยเช่นกัน “ในอดีตที่ผ่านมา เปลือกโลกอาจมีการขยับเปลี่ยนแปลง งูตัวนี้อาจจะโดนถูกฝังไว้อยู่ข้างใน จากนั้นก็รวมเป็นส่วนหนึ่งของหยก?” พูดแบบนี้ก็เหมือนจะอธิบายได้ ในอำพันสามารถมีร่องรอยของสัตว์ได้ แล้วทำไมข้างในหยกจะมีงูอยู่ไม่ได้?
จ่านป๋ายคิดแล้วคิดอีก ก็มีแต่เหตุผลนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายได้อย่างถูกหลักที่สุด ไม่อย่างนั้นหรือจะบอกว่าเป็นหยกที่เกิดจากฝีมือคน? แต่ว่าเขาก็รู้สึกเคลือบแคลงใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงข้างในหยกจะเป็นซากฟอสซิลไดโนเสาร์ เขาก็ไม่น่าจะรู้สึกกลัว แต่นี่มันเหมือนงูที่ยังมีชีวิตอยู่ มันมีความรู้สึกแปลกๆ
“แล้วงูตัวนี้เป็นของชั้นดียังไงกัน” ซีเหมินจินเหลียนหันกลับมาประเด็นเดิมอีกครั้ง คำถามนี้เธอคิดวนเวียนอยู่ในใจ แม้กระทั่งตอนที่กลับมาจากเจียหยาง เธอก็ยังแอบไปหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์หรือทางอินเทอร์เน็ต เธอก็หาข้อมูลเกี่ยวกับงูตัวนี้ไม่พบ
งูที่ลำตัวมีผิวลักษณะเหมือนผิวของคน อีกทั้งยังมีหงอนงูงอกออกมาจากบนหัว ถ้าหากเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้คนบ้าคลั่งได้
“บางทีคนโบราณน่าจะลักษณะแบบนี้?” จ่านป๋ายยิ้มฝืน “คุณน่าจะรู้ว่ามนุษย์ตอนนี้ สามารถใช้ซากฟอสซิลโบราณมาศึกษา แต่นี่เหลือแต่กระดูก ถึงจะมีสภาพดั้งเดิม แต่ถ้าเบื้องบนรู้ว่ามีเลือดมีเนื้อแล้วเป็นยังไง คุณลองดูหนังที่เกี่ยวกับไดโนเสาร์สิ ไหนจะรูปภาพ แต่คุณอาจจะคิดไม่ถึงว่าบางทีไดโนเสาร์อาจจะไม่ใช่สีเทาอย่างที่เห็น แต่เป็นสีแดงสดก็ได้”
ซีเหมินจินเหลียนกล้ำกลืนฝืนทน ไดโนเสาร์ที่มีสีแดงสด นี่ตรรกะอะไรกันแน่ เชื่อเขาเลย
แต่งูที่มีผิวเหมือนคน นี่ก็ตรรกะอะไรกัน? แปลกไม่ต่างกันเลย…นอกจากนี้ถ้าหากงูตัวนี้ตายอย่างปกติแล้วเป็นซากฟอสซิล ถ้าให้นักโบราณคดีมาศึกษาข้อมูล ก็เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ธรรมดาไป
พูดตามความจริง หางของงูที่ซ่อนไว้อยู่ที่ลำตัวของมันมองได้ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังดูแล้วไม่ค่อยจะแตกต่างจากงูปกติมากนัก นอกจากมีหงอนอยู่บนหัว และลำตัวมีผิวที่ลื่นราวกับผิวของคน
“งูในสมัยก่อนก็คิดไม่ถึงว่าจะมีดวงตาที่สวยขนาดนี้” จ่านป๋ายจดจ้องมองไปที่ดวงตาของงูแล้วชื่นชมไม่หยุด ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเขาตาฝาด แต่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าสายตาของมันกำลังเบิกกว้างขึ้น
“นะ…นี่…ดูแล้วเหมือนกำลังมีชีวิตอยู่!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจอย่างอ่อนแรง มีความรู้สึกขึ้นมาแวบหนึ่งที่อยากจะให้จ่านป๋ายเจียระไนหยกให้เสร็จแล้วดูว่าข้างในเป็นอะไรกันแน่ ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า…
“ใช่แล้ว สวยจนไร้ที่ติ!” จ่านป๋ายพูดชมไม่หยุด
“เสี่ยวป๋าย คุณย้ายหยกก้อนนี้ได้ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“แน่นอนครับ” จ่านป๋ายพยักหน้า หยกก้อนนี้ไม่ได้ใหญ่ เขาต้องย้ายมันได้อยู่แล้ว
ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยนำมันไปใส่ในตู้เซฟนิรภัยที”
จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรอีก ห้องใต้ดินมีหยกตั้งมากมาย แต่ไม่เคยเห็นเธอจะใส่ใจขนาดนี้เลย แต่หยกก้อนนี้ไม่เหมือนกับก้อนอื่น จำเป็นที่จะต้องใส่ตู้นิรภัยล็อคไว้อย่างแน่นหนา
เขาเร่งรีบนำหยกย้ายออกไปวางไว้ที่ตู้เซฟนิรภัย ในระหว่างที่จ่านป๋ายเตรียมตัวจะปิดประตู เขาก็เห็นภาพลวงตาขึ้นอีกครั้ง…
เขาส่ายหัวแล้วรีบปิดประตูตู้เซฟเอาไว้ พร้อมถอนหายใจออกมา เป็นหยกที่แปลกประหลาดมาก! เขาทำได้แค่คิดอย่างนั้น
ซีเหมินจินเหลียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกมาจากห้องใต้ดิน พลางกดโทรออกไปหาปลายสาย ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเข้าแล้ว ถ้าโทรไปรบกวนผู้อาวุโสตอนนี้น่าจะไม่ค่อยดีนัก
แต่เมื่อคิดถึงท่าทีของผู้อาวุโสหูที่แปลกๆ ซีเหมินจินเหลียนจึงยอมเป็นคนไร้มารยาทโทรไปรบกวนเขา
ไม่ได้ปล่อยให้ซีเหมินจินเหลียนถือสายรอนาน ปลายสายก็รับ ผู้อาวุโสหูถ่ายทอดเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น “สวัสดีครับ?”
“ฉันเองค่ะ สวัสดีค่ะผู้อาวุโสหู ขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ ที่โทรมารบกวนเวลาดึกดื่นแบบนี้” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อม
“ครับ ผมเข้าใจ คุณก็คือสาวน้อยซีเหมินจินเหลียนใช่ไหม เบอร์โทรศัพท์ของผมมีไม่กี่คนที่รู้หรอก” ผู้อาวุโสพูดความจริงออกมา
ซีเหมินจินเหลียนกำโทรศัพท์ไว้แน่น รู้สึกเหมือนมีความสะเทือนใจ นี่นับว่าเป็นเกียรติของเธอใช่หรือเปล่า เพราะเขายังได้ฉายาว่าเป็นผู้สืบทอดของราชาแห่งการเดิมพันหิน
“ฉันคิดว่าคนแก่อายุราวๆ คุณจะไม่ใช้โทรศัพท์เสียแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแย้ม
ผู้อาวุโสหูหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดออกมา “ปกติผมก็ไม่ได้ใช้หรอกครับ นี่ผมก็รอแต่สายของคุณ”
“จริงเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจว่ายังไม่บอกเรื่องนี้กับเขา ผู้อาวุโสท่านนี้แกล้งเธอมาครั้งหนึ่งที่งานประมูลเจียหยาง ถึงแม้ว่าคราวหลังจะขายให้กับเธอ แต่เธอก็ยังจำความรู้สึกที่ใจไม่ดี หายใจไม่คล่องได้
ตอนนี้มีโอกาสให้เอาคืน ใครจะยอมพลาดโอกาสนี้ไปล่ะ?
“จริงสิครับ!” ผู้อาวุโสหูรู้ว่านี่เป็นการลองใจของซีเหมินจินเหลียน จึงได้แต่ถอนหายใจถามว่า “วันๆ ผมเอาแต่มองโทรศัพท์ เผลอๆ มองมากกว่าสมัยผมตอนหนุ่มๆ เสียอีก ชาร์จแบตรอสายตลอด กลัวว่าจะพลาดสายโทรศัพท์จากคุณไป”
ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“เอาล่ะ คุณซีเหมิน ขอร้องละครับ ได้โปรดบอกผมว่าหินหยกก้อนนั้น…คุณได้เจียระไนมันออกมาแล้วใช่ไหม” เสียงปลายสายเห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงมีความกังวล