ตอนที่ 648 สิ้นสุดเรื่องลักพาตัว / ตอนที่ 649 กะเกณฑ์งาน

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 648 สิ้นสุดเรื่องลักพาตัว 

 

 

หรงจิงไม่ยอมให้เรื่องนี้ส่งผลต่อกิจการค้าของเซี่ยวจิ่งกั๋ว ผู้ลี้ภัยมาชุมนุมกันอยู่ที่นอกกำแพงในขณะที่อากาศหนาวเย็นขึ้นทุกที จะต้องหาวิธีจัดการที่ทางให้พวกเขา ไม่อาจปล่อยทิ้งเอาไว้ได้ 

 

 

หรงจิงฟังเสียงโหยหวนแทบขาดใจของคนทั้งสองไปด้วยในขณะปรึกษาหารือที่จะจัดการเรื่องราวกับทางกรมพระคลังและทั้งหกกรม 

 

 

เขาถอนใจ มองดูท้องฟ้าเห็นสายขึ้นมากแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“ท่านทั้งหลายลำบากไม่น้อย วันนี้ก็สายมากแล้ว” 

 

 

หรงจิงพูดแล้วก็ได้ยินเสียงด้านนอกที่ค่อยๆ เบาลง จึงถามไปว่า 

 

 

“นี่ก็สายมากแล้ว ซูกงกง ด้านนอกจัดการไปถึงไหนแล้ว” 

 

 

ซูกงกงได้ยินแล้วเดินแกมวิ่งเข้ามาข้างใน 

 

 

“ทูลฝ่าบาท ขุนศึกในราชสำนักสามสิบสี่ท่าน ขุนนางฝ่ายบุ๋นหกสิบห้าท่าน ตอนนี้ยังเหลือขุนนางฝ่ายบุ๋นอีกสี่สิบสองท่านยังไม่เสร็จสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

แขนของหรงจิงท้าวโต๊ะอยู่ เขามองอย่างใช้ความคิดแล้วยิ้มพูดขึ้นว่า 

 

 

“เห็นท่าวันนี้ใต้เท้าทุกท่านคงจะไม่ได้กลับก่อนอาหารเย็นเสียแล้ว” 

 

 

“ไม่เป็นไร เราเตรียมอาหารไว้ให้พอดี” 

 

 

หรงจิงลุกขึ้นหมุนกายออกไปจากท้องพระโรง กลุ่มขุนนางที่เหลืออยู่ต่างมองหน้ากัน 

 

 

หรงจิงในช่วงวัยสิบหกถึงสิบแปดปีเป็นช่วงที่เชื่อฟังที่สุด เรื่องราวในราชสำนักโดยรวมแล้วพวกขุนนางเก่าแก่จะเป็นผู้จัดการ อีกทั้งยังมีไทเฮาคอยช่วยสำเร็จราชการ ไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

หลังจากหรงจิงสำเร็จราชการเองเป็นต้นมา เรื่องที่เขาทำแต่ละเรื่องล้วนทำให้ขุนนางทั้งหลายอกสั่นขวัญผวา แต่ทว่าไม่ว่าเขาคิดทำอะไร แม้ตอนต้นจะดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร แต่สุดท้ายจะลงเอยด้วยเขาประสบผลสำเร็จ ดังนั้นฐานะกษัตริย์ของเขาจึงนับวันมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ พวกตระกูลใหญ่เก่าแก่พวกนั้นจึงยิ่งลดบทบาทลง 

 

 

เมื่อรวบรวมพระราชอำนาจได้แล้ว อำนาจของพวกวงศ์ตระกูลใหญ่ก็จะลดน้อยถอยลง การรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับประชาชน แต่ไม่เป็นที่พอใจสำหรับพวกวงศ์ตระกูลที่เคยกุมอำนาจสำคัญมาก่อน 

 

 

หรงจิงออกไปแล้ว ขุนนางข้างล่างจะไปก็ไม่ใช่ ไม่ไปก็ไม่เชิง หรงจิงเข้าหลังตำหนักไปแล้ว ขุนพลจินกับเจ้ากรมหลายคนส่งสายตาให้กัน สุดท้ายก็ดึงเอาขุนนางสำคัญอีกหลายคนพากันไปที่ข้างกายหรงเฉิงเยี่ย 

 

 

“เหลียนชินอ๋องทรงสนิทสนมกับฝ่าบาทที่สุด ฝ่าบาทเสด็จออกไปเช่นนี้หมายความอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเบาปัญญา ขอให้เหลียนชินอ๋องทรงชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงรับสั่งชัดเจนแล้วมิใช่หรือ ให้อยู่รับอาหารเที่ยงและเป็นไปได้ว่าอาจได้ร่วมทานมื้อเย็นกันอีกด้วยอาหารในวังรสชาติไม่เลวเลย แต่ไรมาเสด็จพี่ก็ไม่เคยต้อนรับใต้เท้าทั้งหลายอย่างบกพร่องนี่นา” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพูดติดตลก พวกขุนนางมีสีหน้าจนปัญญา ทุกคนล้วนดูออกว่าตอนนี้หรงจิงยังคงอั้นโทสะอยู่ซึ่งขุนนางใหญ่อย่างพวกเขาก็กำลังหาวิธีพิเศษที่จะช่วยคลายความกังวลให้หรงจิง แต่ยังคงต้องรอให้หรงจิงบอกวิธีการออกมาก่อนแล้วพวกเขาจะได้ปฏิบัติตาม 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยหันกายกลับก็เห็นจอหงวนใหม่ของปีนี้ เมิ่งอี้ถิงประสานมือให้หรงเฉิงเยี่ยแล้วเดินเข้าไปใกล้ 

 

 

“กระหม่อมเมิ่งอี้ถิงถวายบังคมเหลียนชินอ๋อง กระหม่อมมีเรื่องไม่เข้าใจเรื่องหนึ่งจะทูลขอคำชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพยักหน้าพูดว่า 

 

 

“พูดมาเถอะ ไม่เป็นไร” 

 

 

เมิ่งอี้ถิงเข้าไปใกล้หรงเฉิงเยี่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า 

 

 

“เป็นเพราะยังจับตัวผู้ร้ายไม่ได้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะที่ทำให้ฝ่าบาททรงไม่สบายพระทัยเช่นนี้ ซึ่งคงจะลำบากพระทัยต่ออวิ๋นผินด้วย คนๆ นั้นมีโทษใหญ่หลวงนัก แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ตัวการใหญ่ เป็นไปได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะว่าหากมีคนจับคนร้ายเพื่อแก้แค้นให้กับอวิ๋นผินได้แล้ว ฝ่าบาทก็จะไม่ทรงกริ้วแล้ว” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพิจารณาเมิ่งอี้ถิงแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“ใต้เท้าเมิ่งอนาคตก้าวไกลสุดประมาณจริงๆ แต่พระราชหฤทัยของเสด็จพี่ข้าเองถึงจะร่วมพระชนนีกับพระองค์ ก็ยังคาดคะเนไม่ถูกเลยจริงๆ” 

 

 

“แต่ถ้าหากจับคนร้ายได้ อย่างน้อยฝ่าบาทก็จะทรงลดเรื่องระคายพระทัยลงได้เรื่องหนึ่ง ใต้เท้าเมิ่งคิดว่าอย่างไร” 

 

 

เมิ่งอี้ถิงพยักหน้า ใต้เท้าทั้งหลายต่างลอบคำนวณในใจ เพียงไม่นานอาหารพระราชทานก็ถูกส่งเข้ามา หรงเฉิงเยี่ยถูกหรงจิงเรียกเข้าไปพบ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 649 กะเกณฑ์งาน            

 

 

หรงจิงกลับเข้าตำหนักเจิ้งหยางทิ้งพวกขุนนางที่วุ่นวายเหล่านั้นไว้ในท้องพระโรง ให้พวกเขาเรียนรู้ความหมายของการเกิดดับด้วยตนเอง 

 

 

หลังจากหรงจิงออกไปไม่นานเซียงฉือจึงค่อยๆ ตื่นขึ้น เมื่อฟังคำพูดหงซีกูกูจบแล้วจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย กลับไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋เพื่อจะได้พักผ่อนได้เต็มที่ 

 

 

หรงจิงรู้ว่าเซียงฉือกลับตำหนักเฟิ่งอี๋ไปแล้ว ถึงแม้จะยังตัดใจไม่ค่อยได้ แต่สุดท้ายก็เพียงส่งคนไปถามไถ่เท่านั้น แล้วเรียกตัวหรงเฉิงเยี่ย 

 

 

ทั้งสองคนสนทนากัน หรงเฉิงเยี่ยรับหน้าที่ติดตามหานักโทษ แต่เพราะไม่ใช่งานเฉพาะทางของเขาจึงจัดการได้อย่างไม่ถนัดถนี่นัก ดังนั้นหรงจิงจึงเรียกเขามา และยังเรียกคนจากมังกรเหินให้มาร่วมงานกัน 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยรู้ความร้ายกาจของมังกรเหินดี เขาไม่ได้หน่วงเหนี่ยวอะไรและให้ความร่วมมือเต็มอำนาจ 

 

 

“เสด็จพี่ งานนี้กระหม่อมคิดจะทูลเสนอคนๆ หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้หากกระหม่อมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็จะแสดงถึงการที่ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับอวิ๋นผินมากจนเกินไป ในใจพวกขุนนางจะเห็นเป็นการละเลยงานบ้านเมือง หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องภายในวัง ดังนั้นจึงมิสู้ใช้โอกาสนี้มอบหมายให้ขุนนางบุ๋นและบู๊ฝ่ายละคนไปจัดการอย่างเปิดเผย ส่วนในทางลับก็ให้มังกรเหินไปตรวจสอบอย่างละเอียด 

 

 

เช่นนี้จะยิ่งรัดกุมไม่ผิดพลาด ทั้งยังเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่าฝ่าบาททรงสนพระทัยในงานบ้านเมือง ไม่เป็นการลำเอียงนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยค้อมกายพูดไปเช่นนั้น หรงจิงฟังแล้วบังเกิดความประหลาดใจ เขาพิจารณาหรงเฉิงเยี่ยแล้วพูดขึ้นว่า 

 

 

“ถ้าหากมีคนเหมาะสมที่จะแนะนำก็ลองบอกออกมาสักคน” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยหัวเราะเบาๆ รู้สึกเกรงใจจึงพูดว่า 

 

 

“ความคิดเล็กๆ ของกระหม่อมถูกเสด็จพี่อ่านได้ปรุโปร่งหมดแล้ว แต่กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้ยังคงต้องมีคนตรวจสอบอย่างเปิดเผย มิเช่นนั้นหากฝ่าบาทไม่ทรงใส่ใจพระทัยเลย จะทำให้ขุนนางพวกนั้นสงสัยได้ โดยเฉพาะพวกหางจิ้งจอกจึงควรต้องมีคนออกไปล่อเป้าทางด้านหน้า แล้วทางด้านหลังจึงจะสามารถทำลายรังของศัตรูได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยกำนิ้วมือแรงๆ หรงจิงหัวเราะพูดว่า 

 

 

“ตรงกับที่เราคิดไว้ แต่ว่าเราไม่มีคนให้เลือกเลยสักคน ไหนลองพูดให้ฟังหน่อยซิ” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพยักหน้าอีกครั้งแล้วพูดว่า 

 

 

“กระหม่อมคิดว่าจอหงวนคนใหม่เมิ่งอี้ถิงสามารถรับหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ แล้วเฟ้นหาทหารรักษาพระองค์ที่มีความสามารถสักคนให้เป็นผู้ช่วยเขา ก็น่าจะเพียงพอพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วก็ท่องชื่อเมิ่งอี้ถิงเงียบๆ ในใจ จากนั้นพูดว่า 

 

 

“คนคนนี้ชำนาญเรื่องน้ำ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ทางด้านงานโยธาก่อสร้าง หากวางตัวเขาให้ไปจัดการเรื่องนี้จะเป็นการใช้งานเขาเร็วไปหรือไม่ คนใหม่ยังจำเป็นต้องหล่อหลอม ทั้งเราก็ตั้งใจจะเลือกเขาเป็นฟู่หม่า จึงไม่เหมาะจะล่วงเกินใครมากนัก” 

 

 

เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้หรงเฉิงเยี่ยรีบค้อมกายพูดว่า 

 

 

“หม่อมฉันเพราะคิดว่าในเมื่อเขาจะมาเป็นฟู่หม่าในราชสกุลแล้ว จึงควรต้องรู้สึกร่วมโกรธแค้นในศัตรูของราชวงศ์ด้วย เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอวิ๋นผิน พูดให้กระจ่างก็คือเรื่องภายในตำหนักของเสด็จพี่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงสมควรมอบหมายให้คนในครอบครัวจัดการนะพ่ะย่ะค่ะ 

 

 

เสด็จพี่เพียงทรงให้คำชี้แนะกับเขา ดูแล้วคนๆ นี้เฉลียวฉลาด ขอเพียงเข้าใจในเจตนาและหากเขาทำเรื่องนี้ได้ดี ฝ่าบาทก็จะได้ทรงใช้สาเหตุนี้ในการพระราชทานสมรสให้กับองค์หญิงนะพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงพยักหน้าพูดว่า 

 

 

“ยังคงเป็นน้องเราที่สามารถช่วยคลายกังวลให้เราได้ดีที่สุด เช่นนั้นก็ไปจัดการตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน แล้วเตือนเขาแทนเราด้วย บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะตามมา ขอให้วางใจไปจัดการอย่างกล้าหาญ แม้จะกระทุ้งจนฟ้าถล่มเราก็ยังสามารถหาคนไปต้านรับไว้ให้ได้” 

 

 

หรงจิงบอกดังนั้นแล้วหรงเฉิงเยี่ยก็รีบออกไปทันที เขามานี่ด้วยรู้อยู่แล้วว่าหรงจิงจะต้องปรึกษาเรื่องนี้กับเขา ดังนั้นจึงได้คิดอ่านล่วงหน้าไว้แล้วในใจ 

 

 

หรงจิงสะบัดมือเรียกให้หน่วยข่าวกรองมังกรเหินที่ด้านหลังออกมาจากหลังม่านบังลม