ตอนที่ 646 ความโกรธของหรงจิง / ตอนที่ 647 บทลงโทษของหรงจิง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 646 ความโกรธของหรงจิง 

 

 

หรงจิงเดินขึ้นไปยังพระที่นั่งในท้องพระโรง เขามองพระที่นั่งนั้นแล้วเดินลงมาใหม่โดยไม่นั่ง แต่ไปยืนพิจารณามองดูเหล่าขุนนางเบื้องล่างอยู่ข้างๆ ใบหน้าดำอย่างน่ากลัว 

 

 

เขาพิจารณาไปมาอยู่นานแล้วจึงพ่นลมเย็นออกจมูก 

 

 

“ใต้เท้าทั้งหลายตื่นกันแต่เช้าแต่ก็ยังกระปรี้กระเปร่ากันดีทุกคน ส่วนเราเมื่อคืนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตอนนี้ก็เลยไม่แจ่มใสนัก” 

 

 

เหล่าขุนนางฟังคำพูดหรงจิงแล้วพากันพูดซุบซิบกันอยู่ด้านล่าง เมื่อวานอวิ๋นเซียงฉือถูกจู่โจม ทหารรักษาพระองค์หลายคนคุ้มกันบกพร่องจึงถูกตัดศีรษะในทันที หยางฉี่ไหวผู้ว่าราชการจังหวัดอวิ๋นหยางซึ่งรับผิดชอบดูแลความสงบภายในพระนครถูกจองจำทั้งครอบครัว ฉีหวงแห่งกรมกลาโหมผู้รับผิดชอบงานป้องกันพระนครอวิ๋นหยาง ซูเค่อผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันพระนครล้วนถูกปลดจากตำแหน่งและถูกจองจำ 

 

 

ทว่าโทสะของหรงจิงยังไม่หาย เขามองดูเหล่าขุนนางเบื้องล่างอย่างเยือกเย็น 

 

 

เห็นพวกเขาซุบซิบคุยกัน พยายามจะจับความคิดของหรงจิง 

 

 

สายตาเขาเย็นเยียบ 

 

 

“เมื่อวานอวิ๋นผินถูกจู่โจมทำให้สูญเสียเลือดเนื้อในครรภ์ เราปวดใจยิ่งนัก แต่ถึงวันนี้ก็ยังจับตัวผู้บงการเบื้องหลังไม่ได้ กระทั่งนักฆ่าที่หลบหนีทั้งที่บาดเจ็บก็ยังจับกุมตัวมาดำเนินคดีไม่ได้ เราปกครองทั้งแผ่นดินแต่กลับไม่อาจทำอะไรเจ้านักฆ่าตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้” 

 

 

จู่ๆ หรงจิงก็พูดขึ้นเสียงดัง เหล่าขุนนางพากันคุกเข่ากล่าวขึ้นทันที 

 

 

“พวกกระหม่อมหวาดหวั่นนัก ฝ่าบาทโปรดทรงระงับความพิโรธด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงมองพวกที่คุกเข่าแล้วหัวเราะหยัน เขาหยิบรายงานขึ้นแล้วโยนเข้าไปในกลุ่มขุนศึก 

 

 

ขุนพลจินยืนอยู่ข้างหน้าสุดจึงรับการปะทะเข้าก่อน ถูกเข้าอย่างจังสองครั้ง ใต้เท้าทั้งหลายยิ่งก้มหน้ากันต่ำลง โขกศีรษะโดยแรงพูดว่า 

 

 

“พวกกระหม่อมสมควรตาย ฝ่าบาททรงระงับความกริ้วเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงมองดูพวกปากไม่ตรงกับใจ สมควรตายงั้นหรือ พวกเขาคงไม่ได้คิดเช่นนี้กระมัง 

 

 

เขาพลิกรายงานฉบับหนึ่ง มองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าเบื้องล่าง พูดขึ้นว่า 

 

 

“พวกท่านทั้งหลายพูดอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือว่าจะช่วยเราแบ่งปันความกังวล นี่หรือคือวิธีช่วยเราคลายกังวลของพวกเจ้า” 

 

 

หรงจิงระเบิดโทสะ เหล่าขุนนางเบื้องล่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร 

 

 

“ขุนพลจินองอาจห้าวหาญที่สุด ช่วยเราเฝ้ารักษาการณ์ทางแถบตะวันตกเฉียงเหนืออย่างยากลำบากมีความดีความชอบมาก แต่พวกผู้ลี้ภัยมาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือทั้งจิ้งโจว ชิงโจว เจียงโจว ทว่าเรากลับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือนั่น” 

 

 

ขุนพลจินได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นตอบทันที 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมรักษาการณ์ด่านสวินหลงมาสิบปีด้วยความระมัดระวังกวดขัน ถ้าหากเทือกเขาสวินหลงถูกหรงเสวี่ยกั๋วบุกทะลวงเข้ามาจริง กระหม่อมคงจะพลีชีพเพื่อชาติไปก่อนแล้ว จะไม่เอาตัวรอดรักตัวกลัวตาย ทรยศประเทศและความไว้วางพระทัยอย่างเด็ดขาด กระหม่อมถูกใส่ความ กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีข่าวลือว่ากระหม่อมยอมแพ้ ขอฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พูดจบน้ำตาผู้เฒ่าก็หลั่งริน หรงจิงเดินลงบันไดไปช้าๆ เดินไปยังเบื้องหน้าของแถวขุนศึก ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดจาอยู่นาน จากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“เราเคยพูดแล้วว่า หวังว่าผู้นำทหารทั้งหลายจะไม่หย่อนยานในการป้องกันพระนคร แต่ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นกลับทำให้ขุนศึกใหญ่ทั้งหลายที่เสวยสุขอยู่ถึงกับลืมกฎระเบียบเมื่อครั้งอยู่ในสมรภูมิเลือด พวกผู้ลี้ภัยมาถึงใต้กำแพงเมืองโดยที่เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร” 

 

 

ในน้ำเสียงแฝงความเย้ยหยันตนเอง แต่พวกผู้นำทหารทั้งหลายพากันเงียบกริบ แต่ละคนล้วนไม่กล้าเอ่ยปาก 

 

 

“ผู้ตรวจการลาดตระเวนป้องกันจินตูเฉิงโหยวเต้า ผู้บัญชาการกองพันลาดตระเวนป้องกันอวิ๋นหยางหลัวต้าลี่ คนหนึ่งทำงานหละหลวมบกพร่อง หลอกลวงเบื้องสูงปิดหูปิดตาผู้ใต้บัญชาและประชาชน ส่วนอีกคนละเว้นหน้าที่โดยพลการเตร็ดเตร่อยู่ตามซ่องนางโลม” 

 

 

“ทั้งสองคนเป็นขุนนางในตำแหน่งสำคัญแต่บกพร่องเช่นนี้ หากเราไม่ลงโทษหนักคงจะถูกประชาชนตำหนิ เราให้ความเมตตาผ่อนปรนมาโดยตลอด คงจะมีคนคิดว่าเราอ่อนแอสามารถรังแกได้” 

 

 

คำพูดหรงจิงหนักหน่วงขึ้นทุกที เหล่าขุนนางได้แต่ตอบว่า 

 

 

“พวกกระหม่อมมิกล้า พวกกระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงหัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น 

 

 

“ทหารหน้าพระที่นั่งอยู่ไหน นำตัวสองคนนี้เข้ามา” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 647 บทลงโทษของหรงจิง 

 

 

พอหรงจิงมีคำสั่ง ทหารสองนายก็ออกไปยืนที่หน้าประตูทันที ขานรับแล้วหมุนกายออกไปนำผู้ชายสองคนที่ถอดชุดราชสำนักออกแล้วมากักตัวอยู่บนพื้น 

 

 

หรงจิงพิจารณาพวกเขา ผงกศีรษะแล้วพูดว่า 

 

 

“ล้วนดูดีมีความสง่า แต่ว่าลงรักปิดทองแค่เพียงภายนอกข้างในนั้นไม่ได้ความ วันนี้เราไม่สดชื่นเลยจริงๆ ท่านทั้งหลายมีวิธีอะไรที่จะช่วยให้เรามีชีวิตชีวาขึ้นได้บ้าง” 

 

 

พอหรงจิงพูดออกไปแบบนั้น พวกด้านล่างต่างพากันมองซ้ายแลขวา แต่ว่าไม่มีใครลุกออกไปพูดอะไร 

 

 

ทว่าขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยพากันติฉินอยู่ในใจ เมื่อครู่ยังยืนด่าพวกเขาอยู่บนนั้นอย่างสาดเสียเทเสีย ยังจะบอกว่าไม่สดชื่นอีก นี่ถ้าหากกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาจะมิทลายเพดานท้องพระโรงให้พังลงมาหรอกหรือ 

 

 

ถึงจะคิดกันอยู่เช่นนั้นแต่ก็ไม่กล้าปล่อยเสียงเล็ดลอดออกมา 

 

 

หรงจิงมองไปรอบด้านพลันตบมือป้าบราวกับผุดความคิดดีๆ อะไรขึ้นมาได้ 

 

 

“เราคิดวิธีการหนึ่งได้แล้ว ซูกงกง เรารู้มาว่าฝ่ายในมีวิธีการทำโทษอย่างหนึ่งเรียกว่าหิมะพันคม” 

 

 

ซูกงกงออกมายืนที่ข้างกายหรงจิงทันที ขานรับแล้วตอบว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา มีการลงโทษเช่นนี้อยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ ด้วยการใส่ใบมีดครึ่งนิ้วลงไปบนแส้ยาวแล้วออกแรงเฆี่ยนตีทั่วตัวเป็นพันครั้งจนกว่าผู้รับโทษจะขาดใจจึงจะหยุดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงจิงพยักหน้าพูดว่า 

 

 

“เอาผ้าอุดปากพวกมันออกแล้วลากไปหน้าประตู ให้ขุนนางทั้งหลายโบยพวกมันคนละสามครั้ง ห้ามไม่ให้ถึงตายแต่ก็ห้ามไม่ให้ออมแรง ซูกงกงออกไปคอยเฝ้าดูไว้” 

 

 

คำพูดหรงจิงทำให้ขุนนางทั้งหลายใจวูบ เห็นสองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหน้าซีดราวกระดาษ ร้องไห้ร้องขอชีวิตเสียงดังอยู่ในท้องพระโรง 

 

 

“ฝ่าบาททรงไว้ชีวิตด้วยเถิด บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว บ่าวสำนึกผิดแล้ว ฝ่าบาททรงไว้ขีวิตด้วยเถิด” 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมสำนึกตัวว่าทำผิด กระหม่อมขอพระราชทานโทษตาย ขอทรงโปรดประทานให้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ทั้งสองคนได้ยินคำพูดหรงจิงต่างพากันอ้อนวอน หรงจิงมองดูพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ 

 

 

“เราได้ยินมาว่าบุตรชายขุนศึกหลัวเพิ่งจะครบเดือนกำลังน่ารัก แต่ว่าลูกของเรายังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกก็จากไปแล้วใต้เท้าหลัวคงจะตระหนักได้ดีถึงความปวดร้าวของคนเป็นพ่อ เมื่อเป็นขุนนางแล้วทำความผิดก็ต้องรับการลงโทษ” 

 

 

“ในเมื่อเจ้าหย่อนยานทำงานไม่รับผิดชอบ สมควรต้องคิดถึงโทษทัณฑ์ในวันนี้ ทหาร นำตัวออกไป” 

 

 

บุรุษต้องโหดเหี้ยมพอจึงจะรักษาฐานะได้มั่นคง มิเช่นนั้นจะถูกคนมองว่าอ่อนแอแล้วรังแกเอาได้ สิ่งสำคัญต้องทำให้พวกเขารู้ว่าไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วล่าถอยไป จึงจะสมกับความสามารถที่ราชันพึงมี 

 

 

หรงจิงประคองหน้าผากไว้ด้วยมือข้างเดียว สะบัดมือพูดอย่างอ่อนใจว่า 

 

 

“เราไม่ชอบฟังคำขอโทษ ให้ฟังคำอธิบายยังจะดีเสียกว่า อีกทั้งไม่ชอบถูกใครขอความเมตตา หวังว่าวันนี้ทุกท่านจะโชคดี” 

 

 

หรงจิงเดินขึ้นพระแท่น เหล่าขุนนางมองดูสองคนนั้นถูกผูกไว้บนเครื่องพันธนาการที่ด้านนอก คนที่สามารถขึ้นเป็นถึงผู้บัญชาการกองลาดตระเวนป้องกันได้มีใครที่ไม่มีผู้หนุนหลัง เป็นถึงขุนนางขั้นที่สาม ถึงจะได้รับการโปรดปรานมาทั้งชีวิต แต่พอมาถึงหรงจิงก็กลายเป็นเพียงความว่างเปล่า 

 

 

หรงจิงสนใจขึ้นมา มองดูบรรดาขุนนางทยอยเดินออกไปนอกประตูตำหนักแล้วเฆี่ยนไปบนร่างของคนทั้งสองต่อหน้าซูกงกง ในท้องพระโรงก้องไปด้วยเสียงร่ำไห้โหยหวนของคนทั้งสอง 

 

 

หรงจิงฟังเสียงร้องของพวกเขา เหลือเพียงหรงเฉิงเยี่ยที่อยู่จิบน้ำชามองดูเหตุการณ์เบื้องนอกด้วย 

 

 

พวกขุนนางต่างเงียบกริบ ตั้งแต่หรงจิงขึ้นครองราชย์เขาอะลุ้มอล่วยอย่างยิ่งเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกขุนศึก เพราะสงสารที่พวกเขาต้องหลั่งเลือดในสมรภูมิ และเพราะมีความรู้ไม่มากจึงอาจถูกคนให้ร้ายได้ จึงได้ปกป้องพวกเขามากขึ้น 

 

 

แต่เพราะความเมตตาโอบอ้อมเช่นนี้ สุดท้ายแล้วกลับทำให้พวกเขาลำพองใจขึ้นทุกที 

 

 

หรงจิงจึงต้องลงมืออำมหิตเชือดไก่ให้ลิงดู ลงโทษที่ด้านนอกท้องพระโรงโดยให้เหล่าขุนนางเป็นคนลงมือกันเอง ทั่วทั้งโถงก้องไปด้วยเสียงร่ำไห้อ่อนระโหย หรงจิงไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย สีหน้าสงบนิ่ง สายตาเกลียดแค้นลึกล้ำ จ้องตรงๆ ไปยังขุนพลจิน 

 

 

เขาไม่พอใจอย่างที่สุด แต่ว่ายังไม่ถึงเวลานั้น 

 

 

หรงจิงไม่คิดจะทำอะไรโดยบุ่มบ่าม แต่เมื่อมีคนกล้าไม่เห็นความสำคัญของฮ่องเต้อย่างเขา คิดว่ามีขุนพลจินคอยคุ้มหัวก็จะราบรื่นปลอดภัย สองคนที่หรงจิงลงโทษอยู่นี้ต่างเป็นบริวารของขุนพลจิน อวิ๋นเซียงฉือถูกคนไล่ฆ่า คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องอวิ๋นหยางยังไปถึงช้ากว่าหรงจิง ในเมื่อพวกมันกล้าทำถึงขนาดนี้ หรงจิงก็ไม่กลัวที่จะถูกจารึกชื่อเป็นคนผิดไปนิจนิรันดร