ตอนที่ 644 เซียงฉือได้รับการช่วยเหลือ
เซียงฉือหลับตาลมหายใจชะงัก นางคิดว่าคงต้องตายเป็นแม่นมั่น แต่ในสำนึกไม่มีความเจ็บปวดปรากฏขึ้นมา กลับเป็นเสียงติงตังที่ดังขึ้น
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นร่างสีเหลืองอร่ามร่างหนึ่งขี่ม้าสีขาว ในมือถือคันธนูและลูกศรที่ปล่อยออกทำลายอาวุธลับที่ถูกซัดออกมา จากนั้นจู่โจมเข้าหาขุนศึกหลัว ทั้งคู่ใช้อาวุธสั้นห้ำหั่นกัน
ชั่วครู่เดียวมีดเปล่งประกายน่ากลัวก็กรีดลงบนแขนคนคนนั้น
“โอ๊ย” ขุนศึกหลัวในชุดสีดำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วยื่นมือออกสกัดมีดถัดไปทันที ม้าที่ขี่ตกใจตื่นมันยกขาหน้าขึ้น กรีดร้องเสียงยาว
ชายชุดดำกุมแขนแล้วรีบควบม้าหนีไปทันที
ร่างในชุดเหลืองอร่ามหันหน้ากลับมาแล้วถอดหน้ากากออก เซียงฉือมองเห็นใบหน้าคุ้นเคยภายใต้หน้ากากนั้นก็ทรุดลงทันที
ผู้ที่เร่งมาได้ทันท่วงทีไม่ใช่เหลียนชินหวังที่เซียงฉือไปขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ฉู่อวิ๋นเซียว แต่เป็นตัวหรงจิงเอง
หรงจิงเห็นเซียงฉือทรุดลงก็รีบลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปหานาง
เซียงฉือมองหรงจิง ริมฝีปากสั่นระริกพูดอะไรไม่ออก น้ำตาหยดโตๆ ร่วงเผาะ
หรงจิงยื่นมือกอดนาง
“เซียงฉือ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เซียงฉือกอดศีรษะเขา ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหลอมตัวเองเข้าไปในร่างหรงจิง เมื่อครู่นางคิดว่าตนเองตายไปแล้ว ถ้าหากหรงจิงมาช้าอีกสักก้าวเดียว นางก็จะไม่ได้พบกับเขาอีก
ใจนางหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก ผู้ที่ติดตามมาอย่างเร่งรีบคือผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ฉู่อวิ๋นเซียว เขาเข้าจับกุมอีกสองคนที่ตกใจจนเข่าอ่อนอยู่ตรงนั้น ตามติดด้วยเหลียนชินหวังควบม้าเข้ามา แล้วติดตามรอยเท้าม้ากับรอยเลือดไป
หรงจิงห่อหุ้มเซียงฉือด้วยเสื้อคลุมของตน เมื่อตรวจตราอย่างละเอียดไม่พบบาดแผลบนร่างนางแล้วจึงถอนหายใจยาวออกมา
“ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
หรงจิงค่อยๆ หลับตา ถอนใจอย่างโล่งอก
เดิมเขาเร่งรีบกลับตำหนักเจิ้งหยางด้วยเรื่องข่าวศึกของหรงเสวี่ยกั๋ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับข่าวลับจากมังกรเหินว่ามีผู้ลี้ภัยกลุ่มใหญ่จากชิงโจวเจียงโจวรุดเข้าอวิ๋นโจว หรงจิงจึงออกจากเมืองเพื่อจะไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้พบหงซีกูกูที่เร่งกลับไป จึงรีบทะยานมาถึงที่นี่ในทันที
ส่วนเหลียนชินหวังที่ควรจะมาถึงที่นี่เป็นคนแรก แต่เพราะเรื่องประจวบเหมาะนานาทำให้กลายเป็นผู้มาอารักขาคนสุดท้าย เซียงฉือซุกอยู่ในอ้อมอกหรงจิงสะอื้นเสียงเบาเป็นนานจึงได้พูดขึ้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าจะไม่ได้พบฝ่าบาทอีกแล้ว หม่อมฉันหวาดกลัวอย่างยิ่งเพคะ”
หรงจิงปลอบนาง เห็นหน้านางขาวซีดก็ยิ่งร้อนใจและปวดใจ ข้างนอกในเวลานี้หิมะกำลังตก ร่างนางสั่นเทาไม่หยุดด้วยเกรงว่าเซียงฉือจะเจ็บป่วย หรงจิงจึงรีบควบม้าพานางกลับตำหนักเจิ้งหยาง
ตอนที่หรงเฉิงเยี่ยตามมาถึง เขาเห็นเซียงฉือลางๆ อิงแอบหาความอบอุ่นอยู่ในอ้อมอกหรงจิง ร่างกายสั่นเทาแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมา
เขาติดตามรอยเท้าม้าไปแต่ก็หาคนที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้นไม่พบ หากคนคนนั้นหลบหนีออกนอกเมืองอวิ๋นหยางเข้าไปทางหลานโจวซวี่ตูแล้วก็จะเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร จะยิ่งจับกุมได้ยาก
หรงเฉิงเยี่ยสอบสวนชายฉกรรจ์ทั้งสองที่ตกใจเงอะงะ แล้วก็ได้ช่วงตอนเกี่ยวกับขุนศึกหลัวและจวนขุนพลจินออกมาจากคำพูดของพวกมัน
เซียงฉือกลับถึงตำหนัก หรงจิงไม่อาจวางใจแม้ว่านางจะไม่ร้องไห้ไม่โวยวายก็ตาม เขาก็เป็นห่วงอย่างยิ่ง ได้เชิญซู่เวิ่นมาตรวจอาการถึงสามหน ซึ่งเซียงฉือเพียงตกใจเกินขนาด พักผ่อนให้มากก็จะไม่เป็นอะไร
นางจ่ายยานอนหลับให้ขนานหนึ่ง เมื่อเซียงฉือดื่มแล้วก็หลับไปอย่างสงบ หรงจิงนวดหว่างคิ้ว ฟุบลงบนโต๊ะ
หรงเฉิงเยี่ยค้อมกายทำความเคารพ หรงจิงสะบัดมือพูดว่า
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
หรงเฉิงเยี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามองหรงจิง”
“กระหม่อมไม่บังอาจทูลความเท็จ ตอนนี้มีหลักฐานแต่เพียงเล็กน้อย เกรงว่ายังไม่พอที่จะใช้กล่าวหาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่ 645 คำสัญญาของหรงจิง
เซียงฉือหลับไปยาวนานตลอดคืน แต่ก็หลับอย่างไม่สงบนัก หรงจิงเฝ้านางอยู่ตลอดด้วยความเจ็บปวดใจ นางจะต้องตกใจเสียขวัญอย่างหนัก และเขาก็เอาแต่โทษตัวเองอย่างลึกซึ้ง
เพราะเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับเซียงฉือล้วนจากน้ำมือของเขา ในตอนนั้นเขาเพียงเห็นนางเป็นตัวหมากที่มีประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาชื่นชอบนางมากขึ้นทุกที
เขานึกหวาดหวั่นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้ตอนที่หงซีกูกูบอกว่านางถูกลักพาตัว เขาทั้งห่วงใยและโกรธตัวเอง จนกระทั่งยามโกลาหล เขาจึงเริ่มสำนึกเสียใจ
“ไม่ควรเลยที่จะใช้นางเป็นเหยื่อตั้งแต่ต้น ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่เขาทำผิดพลาดอย่างที่สุด โชคดีที่นางไม่เป็นอะไร มิฉะนั้น…”
หรงจิงไม่กล้าคิดต่อ เขาได้แต่เฝ้าอยู่ข้างกายนาง มองดูขนตาชวนมองย่นขึ้นน้อยๆ นางคงจะรู้ว่าตัวเองเป็นเหยื่อล่อแต่เหมือนนางจะไม่เคยกล่าวโทษแค้นเคืองมาก่อน เป็นเพราะนางคุ้นชินกับการเป็นตัวหมาก หรือนางมองข้ามเรื่องนี้ตลอดมา
หรงจิงไม่กล้าคิด เขาลุกขึ้นสั่งการหงซีกูกูกับหลิ่วจุ้ยให้ดูแลนางให้ดี แล้วออกไปยังตำหนักหน้า
หรงจิงออกไปแล้ว เขารู้ดีถึงเป้าหมายที่หรงเฉิงเยี่ยพูดถึงเป็นนัย การพาอวิ๋นเซียงฉือออกไปนอกวังก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขา ขณะที่เรื่องทั้งหมดดำเนินไปตามแผนที่เขาตั้งใจกำหนดไว้ แต่แล้วก็เหมือนกับสิ่งทั้งมวลเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ได้เป็นไปตามแบบที่เขาคิด
เหมือนใจของเขาที่เจ็บปวดอยู่นานอย่างไม่อาจควบคุม
หรงจิงเปิดรายงานที่มาจากเทือกเขาสวินหลง มองเห็นบนนั้นประทับตราจินเฮ่าจากจวนขุนพลจิน นิ้วมือเขาแตะอยู่บนนั้น สายตาเย็นเยือก
หรงจิงเปิดรายงานทีละเล่มๆ หูคอยเงี่ยฟังความเคลื่อนไหวของอวิ๋นเซียงฉือในหนิงอวี้เก๋อ เหมือนกับได้ย้อนกลับเข้าสู่วันเวลาเมื่อครั้งก่อนที่มีนางอยู่ข้างหลังเขาตลอดเวลา อ่านหนังสืออย่างสงบเงียบ รอยยิ้มหวานงดงาม ปักถุงเงินลายดอกท้อและมีนางอยู่เคียงข้างตลอดกาล
เขาโดดเดี่ยวเดียวดายมานานเกินไปจริงๆ
หรงจิงเก็บอารมณ์ แต่งชุดราชสำนักเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในห้องเซียงฉือ นางยังคงหลับนิ่งอยู่ บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาแสดงถึงความทุกข์ของนางที่ผ่านมาตลอดคืน
ตอนที่หรงจิงหานางพบ ใบหน้านางดำเมี่ยมไม่มีความงดงาม ดวงตาสิ้นหวัง และแสงที่ทอประกายออกมาขณะที่เห็นเขานั้น เขาจะไม่มีวันลืมได้เลยชั่วชีวิต
ชั่วขณะที่อวิ๋นเซียงฉือมองเห็นเขา เหมือนดั่งนางได้มอบดวงใจของนางทั้งดวงให้กับหรงจิง
หรงจิงยื่นมือไปลูบแก้มนางพูดขึ้นว่า
“ต่อไปเราจะไม่ทำแบบนี้อีก ไม่เด็ดขาด เซียงฉือ เจ้าให้อภัยเรานะ เราขอสาบานในนามของโอรสแห่งสวรรค์”
ความกระวนกระวายของเซียงฉือดูเหมือนจะดีขึ้น หรงจิงจับมือนางขึ้นแนบแก้ม มองดูใบหน้านาง ไม่ได้งดงามถึงขั้นล่มเมือง แต่เมื่อมองแล้วทำให้เขายินดีปรีดา ทำให้เขาสบายใจ
นิ้วมืออวิ๋นเซียงฉือขยับอย่างไม่สงบสุข เล็บเกาะอยู่บนใบหน้าหรงจิงทำให้เขาดีใจขึ้นมา แต่แล้วก็พบว่านางเพียงเปลี่ยนอิริยาบถและยังคงหลับอยู่
หรงจิงทอดถอนใจพูดว่า
“เราไม่อนุญาตให้เจ้าออกห่างจากข้างกายเรา ต่อไปเราจะไม่ให้เจ้าต้องเผชิญกับอันตรายอีก ไม่มีทางเด็ดขาด”
หรงจิงพูดอย่างองอาจทรงพลัง พอพูดจบก็ได้ยินเสียงซูกงกงเดินเข้ามาอย่างค่อนข้างเร่งรีบ
“ฝ่าบาท ควรเสด็จเข้าประชุมราชสำนักแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงมองเซียงฉืออีกครั้งจึงได้ลุกขึ้นจากไป เซียงฉือที่ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูร่างเหลืองอร่ามจนลับสายตา มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ
พูดขึ้นด้วยเสียงที่มีแต่นางเท่านั้นที่ได้ยิน
“ฝ่าบาท เซียงฉือได้ยินแล้วเพคะ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ผิดคำสัญญานะเพคะ” นางหันกายกลับหลับตา รวบรวมจัดการเศษเสี้ยวอันสับสนลางเลือนในสมองของตน