ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 111 ยอดฝีมือหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลายสิบปีก่อน เมืองเทียนเหลียงมีคนหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขามีนามว่าหวังผ้อ

เริ่มตั้งแต่วันนั้นที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา ยุคสมัยที่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรจะรุ่งเรืองอย่างแท้จริงก็ได้มาถึงแล้ว

เขาเป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียร เป็นอัจฉริยะในการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรหรือจะเป็นความสามารถในการต่อสู้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในยุคเดียวกัน เขามักจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอ หลังจากโจวตู๋ฟูจากไปแล้ว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีระดับพลังก้าวข้ามยุคสมัยไป และเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย จากประกาศชิงอวิ๋นไปจนถึงประกาศเตี่ยนจิน และมาถึงประกาศเซียวเหยาอีก เขาล้วนเป็นอันดับหนึ่ง เทียบกับชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรงในตอนนี้ก็ยังมีหน้ามีตายิ่งกว่าอีก ไม่ว่าจะเป็นสวินเหมยผู้ย่ำหิมะเหมยกำจายที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ หรือว่าเป็นการสืบทอดกันต่อมาของตระกูล ต่อให้เหลียงหวังซุนบำเพ็ญสั่งสมมานานนับพันปีแล้วรุดหน้าในคราเดียวก็ยังยากที่จะตามหลังเขาได้ เพราะเขาเป็นสาเหตุ สวินเหมยถึงได้ฝึกฝนอย่างยากลำบากในสุสานเทียนซูถึงสามสิบปีโดยไม่ออกไปไหน ฮว่าเจี่ยเซียวจางที่ถูกเรียกว่าบ้าคลั่งหยิ่งทระนง เพื่อที่จะสามารถก้าวข้ามเขาไปได้ ถึงขนาดที่ธาตุไฟเข้าแทรกจนเกือบจะกลายเป็นคนพิการ

ระดับขั้นบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้ไปถึงจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวแล้ว และเป็นรองเพียงแค่นักปราชญ์ทั้งห้ากับมรสุมแปดทิศเท่านั้น นอกจากซูหลีที่เป็นผู้แข็งแกร่งแห่งยุคที่ท่องเที่ยวไปทั่วหล้าหรือขุนพลเทพฮั่นชิงที่เป็นตำนานของยุคก่อน ก็ไม่มีใครแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาอีกแล้ว และอย่างลืมว่า ที่เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรจริงๆ ยังแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น เขาก็ถูกคนบนโลกมองว่าจะสามารถก้าวเข้าไปในขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ กลายมาเป็นนักปราชญ์ในยุคต่อไป หรือสามารถแทนบางตำแหน่งของแปดมรสุมได้ กระทั่งอาจจะไปได้ไกลยิ่งกว่านี้ ไปถึงขั้นอำพรางเทพในตำนานได้!

ทั้งถนนเงียบสงัดไปทั้งสาย

ทุกคนมองไปยังชายวัยกลางคนในชุดสีเขียวที่ยืนอยู่ในโรงเตี๊ยมที่พังทลายผู้นั้น ไหนเลยจะกล้าส่งเสียง บนหัวถนนที่ยาวออกไป สีหน้าของเหลียงหงจวงซับซ้อนอย่างน่าประหลาด เพราะกำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายปีก่อน บนใบหน้าที่งดงามไม่เหมือนบุรุษได้ปรากฏสีแดงขึ้นอ่อนจาง เห็นได้ชัดว่าจิตใจมีความตื่นเต้นมากเกินไป อีกด้านหนึ่งของถนนสายยาว ขุนพลเทพเซวียเหอมองดาบในมือที่เขายกขึ้นมาตามใจชอบเล่มนั้น และนึกถึงคำพูดนั้นที่ซูหลีพูดกับตนเมื่อหลายวันก่อน ในใจก็เกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ไม่อาจมากไปกว่านี้ขึ้นมา

ในตอนนั้นเซวียเหอขอการชี้แนะจากซูหลี ว่าเหตุใดคนบนโลกถึงคิดว่าเขาไม่อาจไล่ตามหวังผ้อได้ ซูหลีพูดกับเขา เพราะเขาใช้ดาบเจ็ดเล่ม และหวังผ้อใช้เพียงแค่เล่มเดียว คำตอบนี้ทำได้เขาบรรลุอยู่บ้าง และคิดว่าได้เข้าใจอะไรบ้างแล้ว จนกระทั่งถึงตอนก่อนหน้านี้ ได้เห็นดาบในมือของหวังผ้อฟันใส่เซียวจางจนกระเด็นไปถึงสองครั้ง ฟันกำแพงและบ้านเรือนภายในเมืองสวินหยางถล่มทลาย เขาถึงได้รู้ว่า ที่แท้คำตอบของซูหลีก็กำลังบรรยายด้วยตัวของมันเอง

เขาเทียบหวังผ้อไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ดาบกี่เล่ม ต่อให้หวังผ้อยอมใช้ดาบสามร้อยหกสิบห้าเล่ม ทุกวันเปลี่ยนดาบมาใช้ทีละเล่ม เขาก็ยังเทียบกับหวังผ้อไม่ได้ ระดับพลังของเขากับหวังผ้อห่างกันเกินไป ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปณิธานหรือพลังใจ แต่มีความเกี่ยวข้องเพียงแค่เรื่องของพรสวรรค์ การรู้เช่นนี้นั้นทำให้คนเจ็บปวดและสิ้นหวังได้ถึงขนาดไหนกัน

การปรากฏตัวของหวังผ้อกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเหลียงหงจวงกับเซวียเหอที่เตรียมตัวจะจากไป และก็ทำให้ทั้งเมืองสวินหยางโดยเฉพาะผู้คนในเมืองที่คิดจะฆ่าซูหลี ได้รับแรงกดดันอันมหาศาล จนทำให้เงียบเป็นเป่าสากไปเลย มีเพียงเฉินฉางเซิงซึ่งอยู่ภายใต้เรื่องตกตะลึง ที่เกิดความอบอุ่นอันไร้ขอบเขตขึ้นมา

ใช่ มันไม่ใช่ความปีติยินดีอย่างบ้าคลั่ง แต่เป็นความอบอุ่น

ความยินดีอย่างบ้าคลั่งมักเป็นเรื่องน่ายินดีอันตื่นตระหนก มาจากความคาดไม่ถึง ในความอบอุ่นยิ่งมีความสงบ มีความลึกล้ำ มีความยาวนาน นั่นเป็นการปลอบประโลมอย่างหนึ่งเพราะสิ่งที่ปรารถนากับความเป็นจริงมาบรรจบกัน เขาไม่รู้ว่าทำไมหวังผ้อถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองสวินหยาง เขารู้สึกขอบคุณการปรากฏตัวของหวังผ้อแทนตัวซูหลี แทนตัวเขาเอง และแทนผู้ไร้เดียงสาเหล่านั้นที่อยากจะขอบคุณการปรากฏตัวของเขา

ในตอนนี้เอง ร่างของหวังผ้อก็ไหวเอนน้อยๆ หลังจากนั้นก็ไอขึ้นมา

ที่เขาไอออกมาคือเลือด ในเลือดทุกคำล้วนมีจิตวิญญาณ

ทุกคนล้วนมองเห็น เขาไอขึ้นครั้งหนึ่งก็ดูอ่อนแรงทรุดโทรมลงไปส่วนหนึ่ง ถึงเขาจะเป็นหวังผ้อ การเผชิญหน้ากับเซียวจางและเหลียงหวังซุนที่เป็นคู่ต่อสู้ในระดับนี้ โดยเฉพาะเป็นการสู้แบบหนึ่งต่อสอง ซึ่งก็ยากจะพูดได้ว่าจะชนะแน่ๆ คิดจะให้ศัตรูล่าถอยในดาบเดียว เขาต้องใช้กระบวนท่าที่ฝืนตัวเองเป็นอย่างมาก กระทั่งต้องรับบาดเจ็บที่เดิมทีไม่ควรจะต้องได้รับด้วยซ้ำ

สายลมพัดซากโรงเตี๊ยมอย่างเบาบาง กระดาษขาวบนหน้าของเซียวจางกระพือเป็นเสียงดังพึ่บพั่บ ความงุนงงในดวงตากลับไม่อาจสลายไป สีหน้าของเหลียงหวังซุนเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และก็ตะลึงไปจนถึงไม่เข้าใจอย่างมากเช่นกัน ในการต่อสู้ เซียวจางกับเหลียงหวังซุนล้วนเคยตะโกนร้องขึ้นอย่างตกตะลึง พวกเขาล้วนรู้สึกว่าหวังผ้อบ้าไปแล้ว

ล้วนเป็นคนที่อยู่ในประกาศเซียวเหยา ตั้งแต่ตอนวัยหนุ่มก็มักจะประมือกัน ที่จริงพวกเขาคุ้นเคยกับหวังผ้ออย่างมาก พวกเขารู้ทั้งนิสัย ระดับบำเพ็ญเพียร ความชอบ และลักษณะนิสัยในพฤติกรรมของหวังผ้อ พวกเขารู้ว่าถึงแม้หวังผ้อในตอนนี้จะเป็นเจ้าสำนักของสำนักต้นไหวอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนเป็นคนใต้ และหวังผ้อไม่มีทางมีความรู้สึกอันดีกับเขาหลีซานแม้แต่น้อย ที่สำคัญที่สุดคือ หวังผ้อไม่ชอบซูหลี ซูหลีนั้นหละหลวมมากเกินไป ราวกับปุยเมฆก็มิปาน หวังผ้อนั้นบังคับตัวเองมากเกินไป ราวกับสมุดบัญชีที่ถูกเปิดอ่านมานับไม่ถ้วน แต่เหตุใดเขาถึงช่วยซูหลีกัน

ทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว พวกเขารู้ถึงระดับการบำเพ็ญเพียรของหวังผ้อได้ชัดเจนอย่างมาก แน่นอนว่าหวังผ้อแข็งแกร่งจนแทบไม่น่าเชื่อ แต่ไม่มีทางเอาชนะการร่วมมือของพวกเขาทั้งสองคนได้อย่างราบรื่นถึงเพียงนี้ กระทั่งทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บที่ไม่อาจฟื้นฟูได้ในเวลาสั้นๆ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ก็คือหวังผ้อใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ขนาดที่เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักไปด้วย

ในตอนนี้เซียวจางกับเหลียงหวังซุนบาดเจ็บไม่เบา ไม่มีแรงที่จะต่อสู้อีก หวังผ้อดูแล้วยังมีแรงเหลืออยู่ ที่จริงกลับต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากยิ่งกว่า กระทั่งเป็นไปได้ว่าจะกระทบถึงเส้นทางการบำเพ็ญเพียรของเขาในอนาคต เพราะอะไร ทำไมเขาถึงได้เด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ โดยไม่สนใจว่าต้องแลกด้วยอะไร ทำไมเพื่อคนทิศใต้ผู้หนึ่งถึงได้ยอมจ่ายค่าตอบแทนมากมายถึงเพียงนี้

“เหตุเจ้าถึงช่วยเขา” รอยเลือดบนกระดาษขาวราวกับดอกเหมย ส่งเสริมให้ดวงตาของเซียวจางยิ่งปลดปล่อยกลิ่นคาวเลือดอันน่าหวาดกลัว เขาจับจ้องไปที่หวังผ้อ รับรู้ได้ถึงปราณแท้ที่กำเริบขึ้นมาในเส้นชีพจร และตะโกนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่เข้าใจ

หวังผ้อเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง คิ้วทั้งสองข้างยิ่งขมวดแน่น ดังนั้นจึงยิ่งเพิ่มความแร้นแค้น เข้ากับชุดสีเขียวที่ถูกซักจนเริ่มซีดขาว ดูไปแล้วช่างเหมือนกับพนักงานบัญชีธรรมดาๆ ผู้หนึ่งของโรงเตี๊ยม เขาหันไปย้อนถามเซียวจาง “เหตุใดเจ้าถึงจะฆ่าเขา”

เซียวจางไม่ได้ครุ่นคิด ก็พูดขึ้นด้วยเหตุผลอย่างเต็มปากเต็มคำ “เพราะว่าข้าไม่ชอบเขา”

หวังผ้อเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจเจ้าบ้านี่อีก และหันไปทางเหลียงหวังซุน

ใบหน้าของเหลียงหวังซุนซีดขาว นัยน์ตาที่มืดคล้ำค่อยๆ ส่องประกาย และกล่าวขึ้น “ข้ามีความแค้นกับเขา”

นี่เป็นเหตุผลที่สุขุมและแข็งแกร่ง

หวังผ้อพูดขึ้น “ไม่โต้เถียงกันในยามนี้”

เหลียงหวังซุนพูดขึ้น “เพียงแค่โต้เถียงเช้าเย็น”

หวังผ้อพูดขึ้น “สัจธรรมไม่ตรงกัน”

เหลียงหวังซุนพูดขึ้น “สัจธรรมของเจ้าไม่ใช่สัจธรรมของข้า”

หวังผ้อพูดขึ้น “ผู้มีสัจธรรม ก็มีประโยชน์อย่างมาก”

เหลียงหวังซุนไม่ได้พูดอะไรมากอีก

หวังผ้อมองไปที่เซียวจางอีกครั้ง มองดวงตาที่อยู่หลังกระดาษขาวคู่นั้น แล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่ชอบเขา ดังนั้นจึงมาฆ่าเขา ข้าไม่ชอบที่พวกเจ้าจะฆ่าเขา ดังนั้นข้าจึงไม่ให้พวกเจ้าฆ่าเขา”

ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ซูหลีและเฉินฉางเซิงตอบก็มิปาน บนโลกมีเรื่องราวมากมาย ก็ง่ายดายเช่นนี้

หวังผ้อแห่งเทียนเหลียง ไม่ธรรมดาจริงๆ