ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 112 มรสุมที่ขวางเมือง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

บนถนนสายยาวเงียบสงบไร้สุ้มเสียง คนนับร้อยถึงกับไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลย

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ภายในซากปรักหักพังของโรงเตี๊ยม มองไปที่หัวเจี้ยฟูแวบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ มุขนายกของเมืองสวินหยางผู้นี้ได้เคยบอกกับเขา ว่ามีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของสำนักต้นไหวผู้หนึ่งกำลังท่องเที่ยวอยู่ทางเหนือ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะนำพามาซึ่งปัญหาใหญ่

ดูท่าจากยามนี้แล้ว สมแล้วที่นิกายหลวงเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่ แม้กระทั่งรายงานลับเช่นนี้ก็ยังสามารถรู้ได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่มุขนายกคำนวณพลาดไปแล้ว คนผู้นั้นไม่ใช่ปัญหา นอกจากนี้แล้ว…ซูหลีเองก็พลาดไป

เฉินฉางเซิงมองเงาหลังของหวังผ้อ พลางพูดกับซูหลี “ท่านดู สุดท้ายก็ยังมีคนยินดีที่จะช่วยท่าน ใบโลกใบนี้ไม่ได้มีแต่ความมืดมิด ยังคุ้มค่าให้เชื่อมั่นอยู่”

ในสายฝนที่หนาวเย็น หวังผ้อยืนตระหง่านราวกับเป็นต้นไม้ที่โดดเดี่ยวต้นหนึ่ง เขาโจมตีให้เหลียงหวังซุนกับเซียวจางถอยไปได้ โดยใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังหาใดเปรียบจนทั้งสองคนไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้อีก เพราะเหตุนี้ก็เลยได้รับบาดเจ็บหนักไปด้วย เขากำลังไอเป็นเลือด น้ำเสียงก็ค่อนข้างที่จะอ่อนแรง

“ไปเถอะ” เขาไม่ได้หันตัวกลับมา แต่พูดขึ้นมาเลยตรงๆ

เฉินฉางเซิงรู้ว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการพูดกับตน เขาพยุงซูหลีขึ้นมาจากเก้าอี้ และตามหวังผ้อไป ทั้งสองคนที่พยุงกันเดินผ่านเศษหินที่ถูกน้ำฝนจนเปียก และเดินไปตามทางบนถนน

ซูหลีรู้สึกว่าการเดินเช่นนี้ค่อนข้างจะลำบากอยู่ ที่สำคัญที่สุดคือ เขาถูกเฉินฉางเซิงพยุงอยู่เช่นนี้ ก็ไม่สามารถเดินอย่างสง่างามตามใจได้ และยิ่งต้องถูกคนนับร้อยจ้องมอง นี่ช่างเป็นการทำลายภาพลักษณ์ดั่งเทพนิยายของเขาอย่างแรง

“ก่อนเข้าเมืองข้าก็พูดไปแล้ว กวางสองตัวนั้นอย่าเพิ่งรีบปล่อยไป เจ้าก็ไม่ยอมฟัง!”

เขาบ่นกับเฉินฉางเซิงอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่สน เจ้ารีบไปหาพาหนะให้ข้า”

เฉินฉางเซิงจนใจอย่างมาก ในใจคิดว่าในเวลาเช่นนี้จะไปหาพาหนะมาจากไหน จึงพูดขึ้น “รอออกจากเมืองแล้วค่อยว่ากัน”

ซูหลีชี้ที่กิเลนเมฆาอัคคีที่อยู่ในมือของเซวียเหอตัวนั้นพลางพูดขึ้น “เจ้าตัวนี้ไม่เลว สามารถบินได้”

ในใจของเฉินฉางเซิงคิด ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้ว่านั่นไม่เลว ปัญหาอยู่ที่นั่นไม่ใช่ของท่าน และก็ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นพาหนะของคนที่ในใจคิดอยากจะฆ่าท่านอย่างขุนพลเทพแห่งต้าโจว ไม่รีบออกจากเมืองสวินหยาง แล้วยังจะมาทำเรื่องพวกนี้ให้ได้อะไร

ซูหลีมองสีหน้าของเขา และฝืนพูดขึ้น “ถ้าไม่ได้จริงๆ รถลากคันนั้นของจวนเหลียงอ๋องก็ได้อยู่นะ”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไร้คำจะเอ่ย ในใจคิดว่าตนช่างผิดไปแล้วจริงๆ ตอนที่อยู่ข้างบ่อน้ำพุร้อนบนพื้นที่ราบหิมะนั้นก็ไม่น่าเดินกลับไปเลย ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่ หวังผ้อที่ยืนเงียบอยู่ด้านหน้ามาโดยตลอด เห็นได้ชัดว่ากำลังใช้ความอดทนอย่างมาก ทันใดนั้น เขาก็หันกายเดินไปทางฝูงชน เดินไปที่ตรงหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่ง และยื่นมือขวาออกไปที่ม้าสีเหลืองแซมขาวตัวหนึ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นกำลังจูงอยู่

เสียงเท้าม้าดังขึ้น หวังผ้อได้จูงม้ากลับมา และส่งเชือกไปที่มือของเฉินฉางเซิง หลังจากนั้นก็หันกาย ยกดาบเล่มนั้นเดินไปที่หัวถนนสายนั้นต่อ มองดูเงาหลังของเขา เฉินฉางเซิงก็ตะลึงอยู่เล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเองก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง

เขาดูแล้วก็เหมือนกับพนักงานบัญชีที่แร้นแค้นผู้หนึ่ง แต่เป็นพนักงานบัญชีที่แสนยอดเยี่ยม

“หวังผ้อเป็นคนที่น่าสนใจอย่างมาก ในตอนนั้นที่เขาเป็นพนักงานบัญชีอยู่ที่เมืองเวิ่นสุ่ย ข้าก็ชื่นชมเขาอย่างมาก เพียงแต่ว่า…คิ้วของเขางอกได้ไม่ดีเลย ดูแร้นแค้นและระทมทุกข์เกินไป”

ซูหลีกำลังขี่ม้าสีเหลืองแซมขาว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก จึงมีใจพูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ และชี้ไปยังหวังผ้อที่อยู่ด้านหน้าพลางพูดขึ้น “ถ้าหากว่าเขาดูดีกว่านี้สักหน่อย ข้าในตอนนั้นจะต้องทำดีกับเขากว่านี้”

หวังผ้อน่าจะได้ยินคำพูดนี้ของเขา ฝีเท้าจึงชะงักเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เดินหน้าต่ออีกครั้ง เหยียบย่ำน้ำฝนที่อยู่บนพื้นถนน ในตอนนี้เอง สายฝนที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าก็ค่อยๆ หยุดลงแล้ว ท้องฟ้าที่ไกลออกไปก็เผยให้เห็นถึงสีฟ้าครามขึ้นมา

งานเลี้ยงที่เมืองสวินหยาง มีแขกเหรื่อเข้าร่วมมากมาย มีฮว่าเจี่ยเซียวจาง เหลียงหวังซุนที่เป็นคนในประกาศเซียวเหยาเช่นนี้ และยังมีขุมอำนาจมากมาย จนกระทั่งตอนนี้ที่งานเลี้ยงจบลง แต่ยังมีคนมากมายที่ยังไม่ยอมลุกออกไป

คนพวกนั้นมีความแค้นกับซูหลีมากมาย ซึ่งไม่อาจจะคลี่คลายได้

ดาบของหวังผ้อสามารถทำให้เซียวจางกับเหลียงหวังซุนถอยไปได้ แต่กลับไม่สามารถข่มขวัญใจคน คนพวกนั้นในเมื่อมาเพื่อสังหารซูหลี ก็ได้มองข้ามเรื่องความเป็นความตายไปแล้ว แม้แต่ความตายก็ยังไม่กลัว แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะกลัวหวังผ้อ

พื้นหินสีเขียวบนถนนถูกฝนชโลมเปียก กลายเป็นสีดำคล้ำไปมาก ที่ข้างทางมีคนยืนอยู่มากมาย

หวังผ้อถือดาบไว้เบื้องหน้า เฉินฉางเซิงถือเชือกจูงอยู่ด้านหลัง เสียงติ๋งๆ นั่นคือเสียงน้ำฝนที่หยดลงมาจากชายคาบ้านเรือน และก็เป็นเสียงหยาดโลหิตที่หลั่งริน เป็นเสียงหัวใจที่กำลังเต้น

สายตาของฝูงชนมีความซับซ้อนอย่างมาก ทั้งเกรงกลัว หวาดกลัว โกรธแค้น ไม่พอใจ

สีหน้าของหวังผ้อไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เฉินฉางเซิงมองไปยังใต้ฝ่าเท้า ซูหลีก็ยังคงมองไปยังท้องฟ้า ดูหละหลวมอย่างมาก ในสายตาคู่แค้นของเขา แน่นอนว่าช่างน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด

ในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ไหวแล้ว และพุ่งมาที่กลางถนน พร้อมทั้งตะโกนขึ้น “ซูหลี เอาชีวิตมา!”

เฉินฉางเซิงยังคงนิ่งเงียบ มือซ้ายได้กุมด้ามกระบี่เอาไว้แล้ว ซูหลียังคงมองท้องฟ้า และไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย

การลงใต้จากพื้นที่ราบหิมะมาตลอดทาง มีระยะทางนับหมื่นลี้ ทั้งสองคนได้เผชิญหน้ากับการลอบโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน ในตอนนี้ กลุ่มคณะที่ลงใต้มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง จากสองคนเพิ่มขึ้นมาเป็นสามคน พวกเขายิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรอีก

ปราณดาบที่รุนแรงแต่มั่นคงพลันแหวกอากาศขึ้นมา ได้ยินเพียงเสียงทึบตันดังขึ้น คนผู้นั้นไม่ทันได้พุ่งเข้ามาถึงกลางถนน ก็ถูกซัดกระเด็นกลับไปกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรงแล้ว และหมดสติไปท่ามกลางเศษฝุ่นนั่นแล้ว

มีคนเข้ามาอีกแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกดาบเหล็กซัดปลิวไปอีกครั้ง บนถนนในเมืองสวินหยาง ทุกที่ล้วนมีเงาที่ลอยขึ้นไป กระอักเลือดออกมา กรีดร้องอย่างอนาถ คำรามอย่างเจ็บปวดและสิ้นหวัง

หวังผ้อถือดาบ และเดินนำอยู่ด้านหน้า เขาเพียงแค่ยกดาบเหล็กขึ้นมาโจมตีอย่างไม่ใส่ใจ ก็ไม่มีใครสามารถข้ามผ่านดาบของเขามาได้ ที่เข้าใกล้ซูหลี ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวของแดนเหนือ หรือจะเป็นอัจฉริยะจากพรรคใด

ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาไม่ได้ใช้คมดาบ ดังนั้นจึงไม่มีคนที่ตายไป

ทั้งสองข้างของถนนสายยาว ทุกที่ล้วนมีผู้บำเพ็ญเพียรที่ล้มอยู่และยากจะลุกขึ้นจากพื้น

สมแล้วที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในประกาศเซียวเหยา

นอกจากจะเป็นห้านักปราชญ์มาด้วยตัวเอง หรือไม่ก็แปดมรสุมแล้ว ยังจะมีใครสามารถขวางหวังผ้อแห่งเทียนเหลียงได้อีก

เฉินฉางเซิงยังคงกุมด้ามกระบี่เอาไว้แน่น นิ่งเงียบแต่ระแวดระวัง

สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวของหวังผ้อ และก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่ดาบเหล็กที่ยากจะคาดเดาด้ามนั้น ถึงแม้เขาจะชัดเจนดีว่านี่เป็นโอกาสเรียนรู้ที่หาได้ยากยิ่ง แต่กลับหยุดอยู่ที่ด้านข้างถนนซึ่งสามารถพลาดพลั้งได้อย่างง่ายดายอย่างมากมาโดยตลอด

กำแพงที่พัง ชายคาที่แตก ผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้รับบาดเจ็บ เด็กหนุ่มที่ตะโกนด่าทอ

ในตอนที่เกือบจะออกจากเมืองสวินหยาง ก็คือช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยลืมมือสังหารที่หลบซ่อนในยามราตรีมาโดยตลอดผู้นั้น

คนผู้นั้นแอบตามเขากับซูหลีอย่างเงียบๆ มานับพันลี้ ความอดทนสูงเสียจนทำให้คนหวาดกลัว สมแล้วที่เป็นมือสังหารอันดับสามของแผ่นดิน

มือสังหารผู้นั้นมีชื่อที่แสนจะธรรมดาอย่างมากชื่อหนึ่งนาม หลิวชิง

เขารู้สึกว่าหลิวชิงจะลงมือ

หวังผ้อโผล่ออกมาแล้ว หากหลิวชิงไม่อาศัยความวุ่นวายสุดท้ายก่อนออกจากเมืองสวินหยางลงมือ เมื่อพวกเขาออกจากเมืองสวินหยางไปแล้ว ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าหลิวชิงจะไม่มีโอกาสลงมืออีกแล้ว สุดท้ายก็จะเป็นเหมือนซูหลี ที่นำตนเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ประตูเมืองสวินหยางใกล้เข้ามาแล้ว เลี้ยวตรงทางข้างหน้านั่น ก็จะสามารถเห็นประตูเมืองที่ปิดสนิทแล้ว

ในตอนนี้เอง เหลียงหวังซุนก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

ตั้งแต่ที่เริ่มออกจากโรงเตี๊ยมมา เหลียงหวังซุนก็ตามพวกเขามาโดยตลอด

เขาในตอนนี้ไม่มีแรงจะลงมือแล้ว แต่กลับไม่ยอมที่จะจากไป

เขาอยากเห็นว่าซูหลีจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้หรือไม่ อยากเห็นว่าสรุปแล้วฟ้าจะมีตาหรือไม่

เขาพูดกับหวังผ้อ “ถึงแม้แผ่นดินจะกว้างใหญ่ แต่ก็ไร้ที่ให้ซูหลีอยู่แล้ว เจ้ายังจะพาเขาไปไหนได้อีก”

หวังผ้อหยุดเท้าลง

ม้าสีเหลืองแซมขาวหยุดเท้าลง

หวังผ้อหันกายกลับมามองเขา แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะพาเขากลับเขาหลีซาน”

เฉินฉางเซิงพาซูหลีเดินทางมานับหมื่นลี้

เช่นนั้น เขาก็จะพาซูหลีเดินทางอีกนับหมื่นลี้ เดินทางกลับเขาหลีซานแล้วจะเป็นเช่นไร

“แต่ว่า…ต่อให้เจ้าพาเขากลับเขาหลีซาน แล้วยังจะมีความหมายอะไรอีกล่ะ”

ทางด้านนั้นของถนนได้มีเสียงที่เฉื่อยชาดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง

ในใจของเฉินฉางเซิงคิดว่าใช่แล้ว หากเขาหลีซานเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ ต่อให้ซูหลีกลับไปที่เขาหลีซานแล้วจะเป็นเช่นไรอีก

หรือว่าบนโลกที่กว้างใหญ่เช่นนี้ จะไม่มีที่ให้เขาอยู่จริงๆ กัน

หลังจากนั้น เขาพลันได้สติขึ้นมาในทันที และมองไปทางที่เสียงดังขึ้น

เป็นใครที่กำลังพูดอยู่กัน

สีหน้าของหวังผ้อเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างมาก และไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง

เขาระแวดระวังอย่างมาก ถึงขนาดที่ระวังยิ่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับเซียวจางและเหลียงหวังซุนหลายเท่าตัว

มองดูที่มุมถนน คนผู้นั้นได้ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา เฉินฉางเซิงก็รู้สึกว่าร่างกายเหน็บหนาวอย่างมาก

เป็นไปไม่ได้

เขาแอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ

ทันใดนั้น ก็โกรธแค้นอย่างหาใดเปรียบ

นิทาน ไม่ควรจะมีจุดจบเช่นนี้

งานเลี้ยงกินคนนี้ อาศัยอะไรถึงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการจบงานของผู้จัด

ความโกรธแค้น ก็มาจากการไม่อาจต้านทานได้อีก

เฉินฉางเซิงในตอนนี้รู้สึกว่าไม่อาจขัดขวางได้อีกแล้ว เพราะว่าเขาสิ้นหวังอย่างแท้จริงแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากับเซวียเหอหรือเหลียงหงจวงที่ทุ่งร้าง หรือว่าตอนที่เห็นรถลากคันใหญ่ของจวนเหลียงอ๋องจากในโรงเตี๊ยม เขาล้วนไม่เคยสิ้นหวังมาก่อน ต่อให้เผชิญหน้ากับทวนเหล็กของเซียวจาง แม้แต่ตอนที่เขาไม่สามารถยกกระบี่ขึ้นมา เขาก็ยังไม่สิ้นหวัง

เพราะว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ซูหลียังมีชีวิตอยู่ เขาเชื่อว่าโลกใบนี้จะต้องมีคนมาช่วยเหลือพวกเขา

ที่เขาตะโกนใส่แสงอาทิตย์อันงดงามในฤดูใบไม้ผลิของเมืองสวินหยางประโยคนั้น จะต้องมีการขานรับ

และหวังผ้อก็มาแล้ว

เขาฝ่าลมย่ำฝนเข้ามา

แต่ในตอนนี้ คนผู้นี้…ก็มาแล้วเช่นกัน

แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิจะงดงามเพียงไหน สุดท้ายก็ต้องหายไป

การขานรับที่มิอาจลืมเลือน ก็จะหายไป

ต่อให้ยังมีคนยินยอมมาช่วยพวกเขา แล้วยังจะมีประโยชน์อะไรอีก

ในตอนนี้ ยังจะมีใครที่สามารถช่วยพวกเขาได้อีก

……

……

ที่มุมถนนมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น

คนผู้นั้นมีผมยาวปรกบ่า ในนั้นกลับสามารถมองเห็นได้ว่ามีอยู่หลายเส้นที่มีสีขาวราวหิมะ

จากตรงนี้ทำให้ไม่อาจแยกได้ว่าสรุปแล้วเขามีชีวิตมากี่ปี บำเพ็ญเพียรมายาวนานแค่ไหน

นับสิบปีหรือว่านับร้อยปี

คนผู้นั้นสูงใหญ่ และซูบผอมอย่างมาก

คนผู้นั้นมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา สง่างามเป็นเอกบุรุษ เพราะว่าเขาเป็นผู้นำของตระกูล

คนผู้นั้นมีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก เพราะว่าเขาเป็นประมุขพรรคไร้เทียมทานผู้ตัดขาดอารมณ์ความรู้สึก

เมื่อมองไปที่หวังผ้อกับเฉินฉางเซิง เขาก็มีท่าทีที่วางอำนาจเหมือนมองลงมาจากที่สูง

ถึงจะเห็นซูหลี เขาก็ไม่ปกปิดความมั่นใจของตนและความหยิ่งยโสแม้แต่น้อย

ชื่อเสียงสะเทือนแปดทิศ มรสุมดั่งคืนข้างแรม

ผู้ที่มาก็คือแปดมรสุม

จูลั่ว

เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนต้าลู่

เขาคือเทพแห่งโลกบำเพ็ญเพียร

บนถนนในเมืองสวินหยางเงียบสนิท หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นนับไม่ถ้วน

ผู้บำเพ็ญเพียรนับร้อยต่างพากันคุกเข่าเคารพ

เหลียงหวังซุนทำการโค้งคำนับ

กระดาษขาวบนหน้าของเซียวจางขยับขึ้นมา

หวังผ้อไม่ขยับ ไม่ได้คำนับ เพียงแค่มองตรงหน้าอย่างเงียบๆ

เฉินฉางเซิงเองก็ไม่ได้คำนับ เขาลืมที่จะคำนับแล้ว

ซูหลีนั่งอยู่บนหลังม้า และมองลงมาจากที่สูง

เขามองไปที่จูลั่วแล้วพูดขึ้น “พวกตาแก่เหล่านี้ในที่สุดก็ทนไม่ได้แล้ว”

จูลั่วพูดขึ้น “เพียงแค่อดไม่ได้ที่จะฆ่าเจ้ากับมือ ดังนั้นจึงไม่อยากพบ”

ซูหลีเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ดูท่า ความคิดของข้าในตอนนั้นจะไม่ได้ผิดไปจริงๆ”

จูลั่วถามขึ้น “ความคิดอะไร”

ซูหลีมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “พวกเจ้าไม่กี่คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนโง่เง่า…ตาแก่โง่เง่า”