ตอนที่ 548 สะอิดสะเอียนจะตาย / ตอนที่ 549 ฉันควรจะไม่ได้จนไปกว่านาย

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 548 สะอิดสะเอียนจะตาย 

 

 

           “เหอะๆ” เหยียนอวี้หัวเราะ “ยังไงกัน ตอนนี้รู้จักติดสินบนผมแล้วเหรอ สายไปแล้ว” 

 

 

           มั่วไป๋มองเหยียนอวี้อย่างจริงจัง พินิจมองเล็กน้อย 

 

 

           เหยียนอวี้กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “คุณมองผมทำอะไร” 

 

 

           ไป๋จิ่งเอียงหน้าถาม “คุณทำหน้าเหมือนหึงแบบนี้ หรือว่าคุณชอบมั่วไป๋ของผม” 

 

 

           เหยียนอวี้แทบจะกระอักเลือดเป็นครั้งที่สองของวันนี้โดยฝีมือของไป๋จิ่งทำให้หัวร้อนอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็พบแล้วว่า ไป๋จิ่งตัดสินใจว่าถ้าไม่ทำให้เขาอกแตกตายก็จะไม่หยุด 

 

 

           “เหอะๆ ผมไม่ชอบมั่วไป๋ ผมชอบคุณ” เหยียนอวี้แสดงท่าทีสะอิดสะเอียดเขาจนถึงขั้นจะตายให้ได้ พร้อมเอ่ยเสริมอีกประโยค “ชอบคุณชอบคุณจะตายเลยทีเดียว” 

 

 

           ไป๋จิ่งสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้ว 

 

 

           เขาอดจะคิดไม่ได้ว่า ถ้าสลับมาเป็นมั่วไป๋พูดประโยคนี้ คาดว่าเขาจะได้ดีใจจนหาทางกลับไม่ถูกแล้ว 

 

 

           ที่สำคัญคือสลับมาเป็นเหยียนอวี้พูดประโยคนี้ เขาสะอิดสะเอียนถึงขนาดว่าอยากจะอาเจียนเอาของที่กินเมื่อคืนนี้ออกมา 

 

 

           เหยียนอวี้เห็นเขาทำหน้าสะอิดสะเอียน ตาก็ลุกวาวขึ้นมาแล้ว 

 

 

           ‘มุขนี้ใช้ได้ผลแหะ’ 

 

 

           ด้วยเหตุนี้เหยียนอวี้จึงกะพริบตาใส่เขา เอ่ยด้วยท่าทีหว่านเสน่ห์ “เป็นยังไงบ้าง อยากจะลองกับผมหน่อยไหม” 

 

 

           ไป๋จิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ 

 

 

           ไม่อยากพูดสักคำ หันหน้าหนีแล้วก็เผ่นออกไปทันที 

 

 

           อยู่ที่นี่ต่อไป ตัวเองต้องอาเจียนออกมาแน่ 

 

 

           เหยียนอวี้เห็นไป๋จิ่งทำหน้าหมาหงอยเผ่นออกไป อารมณ์ก็โล่งสบายในพริบตา เห็นเขาหมอเหยียนเป็นลูกพลับอ่อนจริงๆ หรือไง ถูกมั่วไป๋บีบก็ช่างเถอะ 

 

 

           ‘ไป๋จิ่งอยากบีบ แม้แต่ประตูก็ไม่มีให้หรอก!’ 

 

 

           เขาก้มหน้ามองอาหารเช้าบนโต๊ะ จู่ๆ ก็มีความอยากอาหารขึ้นมา 

 

 

           อีกฝั่งหนึ่ง ไป๋จิ่งทำหน้าตาขยะแขยงกลับห้องพักผู้ป่วยมา มั่วไป๋มองเขาด้วยความแปลกใจ “เป็นไรไป” 

 

 

           ไป๋จิ่งไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ คิดๆ แล้วยังรู้สึกชาไปทั้งหัวอยู่ดี 

 

 

           เขาส่ายหน้า “ไม่มีอะไร” 

 

 

           เขาเอาอาหารเช้าในมือที่ซื้อห่อกลับมาวางลงบนโต๊ะข้างหน้า แล้วกวักมือเรียกมั่วไป๋ “กินข้าวเช้ากัน” 

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ แต่การกระทำในมือกลับไม่หยุดลง 

 

 

           หลังจากไป๋จิ่งวางอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็หมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำไป รีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็ว แล้วถึงค่อยเดินออกมา 

 

 

           มั่วไป๋ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟา ยังคงก้มหน้าวาดรูปอยู่ 

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วเดินมุ่งหน้าไปหามั่วไป๋ เขาใช้มือเช็ดน้ำบนใบหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงมองมั่วไป๋แวบหนึ่ง 

 

 

           ก็เห็นแค่เพียงภาพวาดในมือเขาใกล้จะเสร็จแล้ว 

 

 

           คิดดูแล้วมั่วไป๋คงอยากจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกินข้าว 

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิด กลัวว่ารอนานเกินไป อาหารจะเย็นได้ เสียงต่ำจึงเอ่ยขึ้น “กินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วค่อยทำต่อไหม” 

 

 

           มั่วไป๋มองดูแล้ว โดยพื้นฐานเค้าวาดโครงเสร็จแล้ว มีเพียงแค่ต้องเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น 

 

 

           ถึงแม้จะไม่ได้ยุ่งยากมาก แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่จริงๆ 

 

 

           คิดได้เช่นนี้ มั่วไป๋ก็วางดินสอในมือลง ลุกขึ้นมาจากโซฟา ไปกินอาหารเช้า 

 

 

           ไป๋จิ่งเดินมานั่งตรงข้ามกับมั่วไป๋ ทั้งสองคนกินอาหารเช้าด้วยกัน 

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋กินอาหารอยู่ เขาเงียบมาก แทบจะไม่พูดอะไรออกมาได้ 

 

 

           ไป๋จิ่งชายตามองมั่วไป๋อยู่สองสามครั้ง ดูเหมือนมีอะไรอยากจะพูด 

 

 

           มั่วไป๋นั่งอยู่ตรงข้ามเขา แวบแรกก็มองความผิดแผกจากเดิมของไป๋จิ่งออกทันที ถึงแม้เขาไม่พูด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตัวเองจะมองไม่เห็น 

 

 

           ตอนที่ไป๋จิ่งมองเขาเป็นรอบที่สี่ ช้อนในมือมั่วไป๋ก็หยุดลง เอ่ยอย่างปล่อยอารมณ์ “มีอะไรอยากถามฉันหรือเปล่า” 

 

 

           นัยน์ตาไป๋จิ่งฉายแวว เมื่อกี้เขาแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเชียวเหรอ 

 

 

           “ไม่เป็นไร นายถามมาเถอะ” มั่วไป๋เอ่ยเสริมต่ออีกประโยค 

 

 

           ไป๋จิ่งกำช้อนในมือแน่น เสียงต่ำเอ่ยถาม “หลังจากที่คุณมาอเมริกา ใช้ชีวิตยังไงเหรอ” 

 

 

           ที่จริงเขาอยากจะถาม ค่าใช้จ่ายในการรักษาตอนนั้น ยังมีเงินทุนของเขาตอนนี้อีก…มาได้อย่างไรกัน 

 

 

             

 

 

ตอนที่ 549 ฉันควรจะไม่ได้จนไปกว่านาย 

 

 

           ไป๋จิ่งสามารถถามขนาดนี้ได้ เพราะว่าเขาพบว่า ไม่ว่าจะเป็นหลินฝานในอดีตหรือว่ามั่วไป๋ในตอนนี้ เขาก็ไม่เคยชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเขาหรือว่าชีวิตของเขา 

 

 

           บางทีไป๋จิ่งในอดีตอาจจะยังไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ 

 

 

           แต่ไป๋จิ่งในตอนนี้กลับอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดของมั่วไป๋มากๆ เพราะว่าใส่ใจพอ ดังนั้นถึงได้อยากเข้าใจมากขึ้นไปอีก 

 

 

           ทันใดนั้นมั่วไป๋ก็ยิ้มออกมา เขาวางช้อนในมือลงแล้วมองไป๋จิ่ง “จะว่าไป นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นายถามคำถามนี้กับฉัน” 

 

 

           ไป๋จิ่งคอหดเกร็งในทันใด 

 

 

           “ก่อนพ่อฉันจะเสีย ท่านทิ้งบริษัทไว้ให้ฉัน ฉันไม่ชอบเลยขายทิ้ง” มั่วไป๋หยุดสักพัก “ฉันเรียนสาขาศิลปะมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ต่อมาฉันว่างเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยถือโอกาสไปเรียนสาขาคอมพิวเตอร์ต่อ ยังดีที่ทั้งสองสาขานี้เรียนได้ดีมาก ต่างก็เอามาใช้เป็นช่องทางทำมาหากินได้ แล้วรายได้ก็สูงด้วย” 

 

 

           ตอนแรกเริ่มเดิมทีเขาก็แค่ว่างๆ เบื่อ จึงมาวาดรูปฆ่าเวลา 

 

 

           ไม่มีอะไรทำก็แบกรูปไปขายตามข้างถนนถูกๆ ไม่ได้สนใจเรื่องราคา เขาก็แค่อยากหาอะไรทำให้ตัวเองสักหน่อยเท่านั้น 

 

 

           ใครจะคิดว่าต่อมาจะยังพอมีชื่อเสียงขึ้นมา ราคาภาพก็สูงขึ้นมาก 

 

 

           เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ช่วยใครวาดรูปง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าเป็นลูกค้าเก่าและลูกค้าที่ถูกชะตากันเท่านั้น 

 

 

           “ที่จริงคำนวณดูแล้ว ฉันควรจะไม่ได้จนไปกว่านาย” 

 

 

           มั่วไป๋ใช้ประโยคนี้ปิดท้ายประโยค 

 

 

           ไป๋จิ่งอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งเรื่องวาดรูป เขาเองก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนที่มาโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก 

 

 

           เริ่มแรกเขาคิดเพียงแค่ว่ามั่วไป๋หาเรื่องอะไรทำแก้เบื่อที่โรงพยาบาล ดังนั้นถึงได้วาดรูป 

 

 

           ใครจะคิดว่าที่จริงแล้วเขาจะเป็นจิตรกร แล้วยังมีชื่อเสียงมากๆ แบบนั้นอีก  

 

 

           “ผม ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย” 

 

 

           มั่วไป๋เอ่ยเสียงเรียบๆ “นายไม่เคยถามฉันมาก่อน” 

 

 

           ตอนนั้นตอนที่เขายังเป็นหลินฝาน เขาก็ไม่ได้อยากจะเอ่ยถึงเหมือนกัน ต่อมาระหว่างทั้งสองคนกลายเป็นแบบนั้น ยิ่งจะไม่สามารถเอ่ยถึงได้อีก 

 

 

           ถ้าครั้งนี้ไป๋จิ่งไม่ได้ถามขึ้นมา เกรงว่ามั่วไป๋เองก็ไม่คิดจะพูดขึ้นมาเหมือนกัน 

 

 

           สำหรับเขาแล้ว เรื่องเงินทองอะไรพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น 

 

 

           อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่เล็กก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง ชีวิตสุขสบายเอื้ออำนวยทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่ได้มีแนวคิดเรื่องเงินอะไร 

 

 

           เงินที่ขายบริษัทไป นอกจากเอาออกมาส่วนหนึ่งเพื่อคืนให้เจียงมู่เฉินแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำธุรกรรมอะไรกับเงินในนั้นอีก 

 

 

           ชีวิตเขาสงบเงียบ ไม่มีของอะไรที่จำเป็นอยากได้ เวลาปกติก็ไม่ได้ออกไปไหน อยู่บ้านวาดรูปไม่ก็อ่านหนังสือทั้งวัน 

 

 

           ใช้เงินน้อยมาก 

 

 

           เจียงมู่เฉินเคยพูดว่า เขาเป็นคนที่ไม่อยากได้ไม่อยากมีที่สุดในทั้งชีวิตนี้ของเขาที่เคยเจอมา 

 

 

           มั่วไป๋คิดถึงตรงนี้ เขาเงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง 

 

 

           ที่จริงเขาก็เคยเป็นคนที่อยากได้อยากมีมาก่อน 

 

 

           คนที่อยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้ เคยเป็นคนที่เขาอยากได้มาแต่ไม่ได้ 

 

 

           เพียงแต่ว่าต่อมาก็เข้าใจแล้วว่า ของบางอย่าง ต่อให้นายวอนขอแค่ไหนก็คว้ามาครองไม่ได้ 

 

 

           มั่วไป๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ “ที่จริง ต่อให้นายรู้ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก” 

 

 

           ไป๋จิ่งได้ยินประโยคนี้ ท่าทีก็เปลี่ยนมาจริงจังทันที “มีความหมายสิ มีความหมายมากด้วย” 

 

 

           เขาชอบมั่วไป๋ ดังนั้นก็ต้องอยากรู้เรื่องของมั่วไป๋เป็นธรรมดา 

 

 

           ไม่ใช่แค่เพียงเข้าใกล้มั่วไป๋คนคนนี้เท่านั้น ยังอยากเข้าใกล้เรื่องราวของมั่วไป๋ในอดีต ทั้งหมดทุกอย่างของเขา 

 

 

           มีเพียงแค่เขาเดินเข้ามาในชีวิตของมั่วไป๋เท่านั้น เขาถึงจะมีมั่วไป๋จริงๆ ได้ 

 

 

           “อืม” มั่วไป๋ขานรับ “แล้วนายยังมีอะไรอยากจะถามอีกไหม” 

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมาตรงๆ “ผมมีคอนโดในครอบครองเป็นชื่อผมอยู่สามหลัง ค่าจ้างรายปีประมาณสองล้านหยวน หุ้นและส่วนปันผลกำไรสามล้านหยวน ผมเองยังลงทุนในธุรกิจอาหารเครื่องดื่มและบันเทิง ได้กำไรทุกปีประมาณสี่ล้านหยวน… 

 

 

…พ่อผมเสียเร็ว คนในครอบครัวก็เหลือแค่แม่ผมคนเดียว เพียงแต่ว่าเธออยู่ฝรั่งเศสเป็นการถาวร เจอหน้าผมสองครั้งต่อปี” 

 

 

            ไป๋จิ่งพูดไปทำเสียงจิ๊จ๊ะ มั่วไป๋มองเขา ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน