ตอนที่ 550 เข้าพบผู้ใหญ่ / ตอนที่ 551 ส่งลูกกวาด

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 550 เข้าพบผู้ใหญ่

 

 

           ไป๋จิ่งกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น “ถ้าคุณยินดี ผมอยากจะหาเวลา พาคุณไปเจอแม่ผม”

 

 

           เวลานี้มั่วไป๋เพิ่งจะได้เข้าใจความหมายของไป๋จิ่ง ทำมาตั้งนาน เขากำลังทำตามพิธีรีตองอยู่นี่เอง

 

 

           ไป๋จิ่งพูดประโยคนี้จบ เขามองมั่วไป๋ด้วยความกังวล เสียงต่ำเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณยินดีจะไปเจอแม่ผมกับผมไหม”

 

 

           มั่วไป๋รู้สึกว่าวันนี้เขาพูดจาดูเปิดเผยอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาเพิ่งจะกลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง ก็ต้องไปเจอแม่เขาแล้ว

 

 

           ระดับความเร็วนี้เร็วกว่านั่งจรวดเสียอีก

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะบุ่มบ่ามไปหน่อย เขาจึงรีบชี้แจงทันที “แน่นอนว่าไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้น คุณค่อยๆ คิดก็ได้ รอโอกาสเหมาะสมแล้ว พวกเราค่อยไปด้วยกัน”

 

 

           “แม่ผมเห็นคุณต้องดีใจมากแน่ๆ”

 

 

           มั่วไป๋กุมขมับ ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่นักว่าจะตอบไป๋จิ่งอย่างไร เขาเงียบงันอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “รอฉันผ่าตัดเสร็จก่อนแล้วกัน”

 

 

           ไป๋จิ่งดีใจจนแทบบ้า ไม่กล้าจะเชื่อได้

 

 

           “คุณ คุณยอมตกลงแล้ว?”

 

 

           มั่วไป๋ลำบากใจนิดหน่อย แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้ว เวลานี้จะมาเสแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรก็ไม่ได้

 

 

           เขาทำหน้าเคร่งขรึม ทำให้ตัวเองสงบนิ่งขึ้นมาหน่อย แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

           มั่วไป๋พยักหน้าเสร็จ ไป๋จิ่งก็มองเขาด้วยสีหน้าดีใจ มั่วไป๋ค่อนข้างอึดอัดใจ เขากระแอมไอเบาๆ “รีบกินข้าวเถอะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้แล้ว เขาก็หยิบช้อนไว้ ยิ้มไปด้วย กินโจ๊กไปด้วย

 

 

           ‘สุขใจจัง อยากยิ้ม ทำไงดี’

 

 

           ……

 

 

           กินข้าวเสร็จแล้ว ไป๋จิ่งเป็นฝ่ายเก็บกวาดข้าวของให้เรียบร้อย มั่วไป๋ก็กลับมานั่งวาดรูปที่โซฟาต่อ

 

 

           ขณะที่มั่วไป๋วาดรูปอยู่นั้น ไป๋จิ่งก็นั่งข้างๆ มองมั่วไป๋

 

 

           ราวกับมองไม่พอสักทีอย่างไรอย่างนั้น ไม่อยากปล่อยผ่านแม้วินาทีต่อนาที

 

 

           มั่วไป๋ถูกเขาจ้องมองจนมือสั่นถือดินสอวาดไว้ไม่ค่อยอยู่ เขาครุ่นคิดแล้วเงยหน้ามองไป๋จิ่งแวบหนึ่ง “นายอย่าเอาแต่จ้องมองฉันตลอดจะได้ไหม”

 

 

           ไป๋จิ่งเบนสายตาไปเล็กน้อย แต่ไม่ถึงสองนาทีก็หันกลับไปมองอีก

 

 

           ‘ช่วยไม่ได้ อยากมองมั่วไป๋ เขาเองก็คุมสายตาตัวเองไว้ไม่อยู่ไง’

 

 

           มั่วไป๋ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เพิ่งจะเริ่มพูดกับไป๋จิ่งได้สองประโยค แต่ต่อมาเขาก็คร้านจะพูดอีกแล้ว

 

 

           ปล่อยไป๋จิ่งเลยตามเลย ปล่อยไป๋จิ่งมองตามใจ

 

 

           ไป๋จิ่งเองก็ไม่ได้รบกวนเขา ตัวเองลากเก้ามานั่งอยู่ข้างๆ มั่วไป๋

 

 

           ขณะที่เขามองดู เขาก็พูดในใจเงียบๆ ไปด้วย มั่วไป๋ของเขานี่เก่งจริงๆ แม้ท่าทางวาดรูปยังดูดีขนาดนี้

 

 

           ในห้องเงียบสงบเป็นพิเศษ ทั้งสองคนนั่งกันอยู่เงียบๆ ไม่พูดกันแม้สักประโยค แต่กลับยังมีความอบอุ่นหอมละมุนที่พูดไม่ออกตลบอบอวลอยู่ในห้อง

 

 

           ถ้าเวลานี้มีคนเดินผ่านหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วมองเข้ามา ต้องได้พบแน่นอนว่าคนคนนั้นที่นั่งเก้าอี้อยู่กำลังจ้องมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างเงียบๆ ด้วยสายตาที่แฝงความอ่อนโยน

 

 

           ……

 

 

           ตั้งแต่วันที่ได้พบกับไป๋จิ่งวันนั้น เซียวเย่ว์ก็รอสายจากไป๋จิ่งมาตลอด

 

 

           แต่รอมาแล้วหลายวัน ไป๋จิ่งก็ไม่ติดต่อเธอมาเสียที

 

 

           ความอดทนของเซียวเย่ว์จนถึงตอนนี้โดยภาพรวมใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว เธอกลัวว่าตัวเองจะรีบร้อนติดต่อไป๋จิ่งจะดูเหมือนเธอไม่เก็บอาการได้

 

 

           แต่รอมานานขนาดนี้ เธอก็รอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว

 

 

           เป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าไป๋จิ่งไม่ติดต่อเธอมาเสียที จะไม่เป็นการพลาดโอกาสที่ครั้งนี้ได้เจอกันไปเสียเปล่าเหรอ

 

 

           ด้วยเหตุนี้เซียวเย่ว์จึงครุ่นคิดแล้วตัดสินใจไปเสี่ยงโชคที่โรงพยาบาล

 

 

           บางทีอาจจะเจอไป๋จิ่งได้ ถึงตอนนั้นทำเป็นบังเอิญเจอไป๋จิ่งได้พอดี

 

 

           จะได้ไม่ดูเหมือนว่าเธอใจร้อนเกินไป ไม่เก็บอาการ

 

 

           คิดได้เช่นนี้ เซียวเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แต่งหน้าใหม่อีกครั้ง เวลานี้ถึงเพิ่งจะได้ขับรถออกจากคอนโดมิเนียมมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล

 

 

           เซียวเย่ว์เอารถมาจอดในลานจอดรถหน้าทางเขาโรงพยาบาล แล้วเดินอย่างสง่างามเข้าไป

 

 

           เธอเดินไปพลางมองหาไปรอบๆ อย่างไม่สนใจอย่างอื่น เหมือนกำลังตามหาไป๋จิ่งไม่มีผิด  

 

 

           

 

 

ตอนที่ 551 ส่งลูกกวาด

 

 

           หลังจากเซียวเย่ว์มาแล้ว เธอจงใจเดินวนรอบชั้นหนึ่งไปสองรอบ แต่ก็ไม่เห็นไป๋จิ่งสักที ในใจเธอไม่ยินดีเท่าไหร่นัก จึงไปตามหาที่ห้องพักผู้ป่วยทีละชั้นๆ แล้ว

 

 

           ……

 

 

           ไป๋จิ่งมองดูเวลาเป็นเวลาเที่ยงแล้ว จวนจะถึงเวลาที่ต้องกินข้าวแล้ว

 

 

           มั่วไป๋ยังคงตกอยู่ในโลกของตัวเอง คิดดูแล้วถ้าไป๋จิ่งไม่อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาจะลืมเรื่องกินข้าวไปเสียสนิท

 

 

           เมื่อก่อนเขาไม่ได้อยู่ข้างกายมั่วไป๋ ดังนั้นจึงช่วยกำชับมั่วไป๋ไม่ได้

 

 

           แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาอยู่เคียงข้างมั่วไป๋ได้ตลอดเวลา

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นมือไปปิดสมุดวาดรูปในมือของมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋เงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แววตาต้องการถาม

 

 

           ไป๋จิ่งยื่นนาฬิกาออกมา “เที่ยงครึ่งแล้ว”

 

 

           มั่วไป๋มองดูเวลา “เร็วขนาดนี้เชียว” เขายังคิดว่าเพิ่งจะกินข้าวเช้าได้ไม่นานเอง

 

 

           ไป๋จิ่งถอนหายใจ ในใจก็คิดว่า คุณมีสมาธิจดจ่อขนาดนี้ จะรู้เวลาได้ก็แปลกแล้ว

 

 

           มั่วไป๋เก็บของสักพักแล้วค่อยลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ ลงไปกินข้าวกัน”

 

 

           เวลานี้ไป๋จิ่งและมั่วไป๋ถึงได้ลงไปกินข้าวด้วยกันที่ชั้นหนึ่ง

 

 

           ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันออกจากห้องพักผู้ป่วย เข้าไปในลิฟต์ลงไปชั้นหนึ่งด้วยกัน

 

 

           เซียวเย่ว์เพิ่งออกมาจากลิฟต์อีกตัวที่อยู่ข้างๆ พอดี ตอนที่เธอเอียงหน้ามา จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอมองไปข้างในแวบหนึ่ง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างในเหมือนจะเป็นไป๋จิ่ง

 

 

           เซียวเย่ว์แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง เธอมองลิฟต์ทันที ก็เห็นเพียงแค่ลิฟต์หยุดลงที่ชั้นหนึ่ง

 

 

           เธอรีบกดลิฟต์ นิ้วกดปุ่มไม่หยุด รู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ในที

 

 

           ‘ถ้าคนข้างในเป็นไป๋จิ่งจริงๆ ถ้าช้าเพียงแค่ก้าวเดียว เธอจะไม่ขาดทุนแย่เหรอ’

 

 

           ยังดีที่ลิฟต์มาเร็วมาก เซียวเย่ว์รีบเดินเข้าไป กดปิดประตูอย่างรวดเร็ว

 

 

           มั่วไป๋กับไป๋จิ่งออกมาจากลิฟต์ ไป๋จิ่งเอียงหน้าเอ่ยถามมั่วไป๋ “อยากกินอะไรหรือเปล่า”

 

 

           เรื่องกินเขาไม่มีอะไรต้องการเป็นพิเศษ ขอเพียงแต่กินได้ก็ได้หมด

 

 

           “ฉันได้หมด นายล่ะ”

 

 

           มีมั่วไป๋อยู่ ไป๋จิ่งก็กินอะไรได้หมดอยู่แล้ว

 

 

           ทั้งสองคนตัดสินใจเดินไปดูข้างหน้าก่อน มีอะไรที่อยากกินก็กิน

 

 

           เมื่อเดินผ่านร้านสะดวกซื้อ ไป๋จิ่งบอกว่าต้องการจะไปซื้อบุหรี่ซองหนึ่ง มั่วไป๋พยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะเข้าไปกับนายด้วยนะ”

 

 

           ไป๋จิ่งเอ่ยไปตามเรื่อง “ไม่ต้องหรอก คุณรอผมอยู่ที่หน้าประตูเถอะ ข้างในคนเยอะ”

 

 

           มั่วไป๋ไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนจอแจ คนที่อยู่ข้างในร้านสะดวกซื้อมีจำนวนไม่น้อยจริงๆ มั่วไป๋เห็นคนเยอะขนาดนั้นจึงพยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะรอนาย”

 

 

           ไป๋จิ่งรีบวิ่งเข้าไป สุ่มหยิบบุหรี่มาซองหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปแถวชั้นวางลูกกวาด ซื้อลูกกวาดมาจำนวนหนึ่ง จ่ายเงินแล้วเอาใส่กระเป๋าเสื้อ

 

 

           ใช้เวลาเพียงไม่นาน ไป๋จิ่งก็วิ่งออกมา

 

 

           เขายิ้มมองมาทางมั่วไป๋พลางเอ่ยเสียงต่ำ “รอนานเลยใช่ไหม”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัว “ก็ยังโอเค”

 

 

           ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้ากันต่อ ไป๋จิ่งคลำลูกกวาดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ คิดแล้วก็หยิบออกมาวางใส่ฝ่ามือ

 

 

           เขาทำหน้านิ่ง เอ่ยเสียงต่ำ “ซื้อบุหรี่แล้วแถมมาพอดี ให้คุณแล้วกัน”

 

 

           มั่วไป๋เห็นลูกกวาดในมือเขา ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขันทันที เสียงต่ำเอ่ยถามกลับ “ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลยว่าที่นี่ซื้อบุหรี่แล้วแถมลูกกวาดด้วย”

 

 

           เดิมทีไป๋จิ่งรู้สึกเขินอายเอง ดังนั้นจึงหาข้อแก้ตัวไปพลาง

 

 

           ผลปรากฏว่าถูกมั่วไป๋เปิดโปงขนาดนี้ ยังรู้สึกเขินอายอยู่ในที

 

 

           ยามตามจีบคน ไป๋จิ่งไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าหนังหน้ามาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าความเขินอายคืออะไรด้วยซ้ำ

 

 

           แต่ตอนนี้…

 

 

           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางครั้งเพียงแค่เห็นมั่วไป๋ เขาก็รู้สึกเขินอายได้

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใช้ชีวิตไปข้างหน้ายิ่งถอยหลังกลับไป ในขณะเดียวกันก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

 

 

           เผชิญหน้ากับแววตาหยอกล้อของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งค่อนข้างลำบากใจ เห็นมั่วไป๋ไม่รับลูกไปเสียที เขาร้อนรนในใจทันที

 

 

           เอาลูกกวาดยัดใส่มือของมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋มองดูลูกกวาดที่ไป๋จิ่งเป็นคนยัดใส่มือมา รู้สึกขำทั้งน้ำตาไม่ไหวแล้ว

 

 

           เขาเชิดมุมปากขึ้นยิ้มหัวเราะ ยังรู้ว่าไป๋จิ่งเป็นแบบนี้ก็น่ารักพิกล

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขายิ้มแล้ว ในใจก็โล่งอกไปที

 

 

           ‘ขอเพียงแต่ยิ้มแล้วก็ งั้นก็แสดงว่ามั่วไป๋ไม่ได้เกลียดมัน’

 

 

           ตลอดทั้งชีวิตครั้งแรกที่ส่งของขวัญคือการส่งลูกกวาด ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใช้ชีวิตไปข้างหน้ายิ่งถอยหลังกลับไปแล้ว