บทที่ 465 เดี๋ยวข้าไปให้เอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 465 เดี๋ยวข้าไปให้เอง

 

 

อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด?

 

 

มันคืออะไรกัน?

 

 

หลังจากที่หลินเป่ยเฉินเริ่มตั้งสติได้ เขาก็อุทานออกมาด้วยความดีใจ “สรุปว่าข้าน้อยมีพลังของนักบวชเต็มตัวแล้วหรือขอรับ?”

 

 

อย่างนี้ระดับพลังของเขาก็เพิ่มมากขึ้นแล้วสิ?

 

 

เยี่ยมเลย

 

 

แต่เดี๋ยวก่อน

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าทุกอย่างมันคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

 

 

“อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงก้าวแรกในการฝึกวิชาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น” นักพรตหญิงชินไม่ได้รับฟังคำถามของหลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย และเริ่มต้นอธิบายต่อไปว่า “สิ่งนี้เป็นเพียงการแสดงให้เห็น ว่าเจ้ามีคุณสมบัติดีพอที่จะฝึกวิชาศักดิ์สิทธิ์ต่อไป”

 

 

ให้ตายสิ

 

 

หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้วว่าการจะเป็นนักบวชที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

 

“สรุปว่าการโคจรพลังด้วยวิชาลมปราณนพเก้า เป็นวิชาที่ถูกใช้สำหรับการเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของแต่ละคนสินะขอรับ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถาม

 

 

นักพรตหญิงชินตอบ “มิผิด แต่มันก็ยังสามารถใช้สำหรับการฝึกตนและเพิ่มพลังลมปราณได้เช่นกัน แม้ว่าเจ้าจะไม่มีพื้นฐานพลังเลยก็ตาม แต่การฝึกด้วยวิชานี้ ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด”

 

 

แบบนี้นี่เอง

 

 

หลินเป่ยเฉินเข้าใจทุกอย่างแล้ว

 

 

ความจริง ท่านป้านักพรตใหญ่ผู้ใจดีและนักพรตหญิงชินไม่ได้มีพลังสูงส่งมาตั้งแต่แรก แต่พวกนางมีความเข้าใจต่อวิชาศักดิ์สิทธิ์อย่างลึกซึ้ง รวมถึงสามารถใช้วิชาลมปราณนพเก้าได้ในระดับสูง ระดับพลังจึงเพิ่มพูนสูงส่ง และการที่สามารถเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดได้ ก็หมายความว่าหลินเป่ยเฉินมีพื้นฐานสำหรับการฝึกวิชาในระดับต่อไปแล้วนั่นเอง

 

 

ทุกอย่างถูกจัดสร้างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าทำไมพวกนางถึงต้องห่วงใยเขามากมายขนาดนี้

 

 

โดยเฉพาะนักพรตหญิงชิน…

 

 

ความห่วงใยที่ท่านมีให้ข้า มันมีความหมายมากเลยนะขอรับ

 

 

ขออภัยด้วยที่สร้างปัญหาให้ท่านมาโดยตลอด

 

 

หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความซาบซึ้งใจ

 

 

เขาพร้อมถวายชีวิตให้นักพรตหญิงชินได้โดยไม่ลังเลจริงๆ

 

 

แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

 

 

เมื่อเขาเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ได้พบว่าแววตาของนักพรตหญิงชินผู้กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศกลับกลายเป็นขุ่นมัวเหมือนมีหมอกเมฆดำและสายฟ้าแลบแปลบปลาบยามพายุโหมกระหน่ำ มิหนำซ้ำ นางยังแผ่จิตสังหารออกมาอีกด้วย

 

 

ถ้าจะลองมองดูให้ดี…

 

 

ก็จะสังเกตเห็นว่าสองแก้มของนักพรตหญิงชินแดงระเรื่อเล็กน้อยอีกด้วย

 

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

 

“สงบสติหน่อย เจ้าอย่าได้คิดเรื่องอื่นเหลวไหล ครั้งหน้าข้าจะสอนเจ้าควบคุมลมปราณนพเก้าให้ดีกว่านี้…”

 

 

แล้วสีหน้าของนักพรตหญิงชินก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม

 

 

นางลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิดสูงมากกว่าเดิม รัศมีวงแหวนสีเงินแผ่ขยายออกไปรอบตัว แล้วดวงดาวที่เป็นประกายระยิบระยับนับไม่ถ้วน ก็ระเบิดแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้น ก่อนที่แสงสว่างเหล่านั้นจะรวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นจุดจุดเดียว

 

 

ทันใดนั้น แสงสว่างจากดวงดาวทั้งหลายก็ถูกสูดเข้าไปในจมูกของนักพรตหญิงชิน มวลพลังสีเงินไหลเวียนไปตามแขนขาและโลหิตในร่างกายของหัวหน้านักบวชสาว ต่อมา มวลพลังสีสันสดใสก็ไหลเวียนออกมาทางปากของนาง!

 

 

ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้ชั่วครู่ใหญ่

 

 

ยามที่นักพรตหญิงชินสูดลมหายใจ แสงสว่างจากดวงดาวจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและระบายออกมาเป็นคลื่นพลังหลากสีสัน กระบวนการทั้งหมดนี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน

 

 

นี่คือการดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์

 

 

การดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จะช่วยทำให้การใช้พลังลมปราณนพเก้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

และดวงดาวที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้าเหล่านี้ก็คือ…

 

 

พลังศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมนะ?

 

 

ทำไมมันถึงได้มีเยอะแยะขนาดนี้?

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกสงสัยขึ้นมาครามครันว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมองเห็นพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนักพรตหญิงชิน?

 

 

นี่คือเรื่องราวใดกันแน่…

 

 

นางจะให้เขาสำรวจดูอวัยวะภายในของตนเองหรืออย่างไร?

 

 

เอ๋?

 

 

“อย่าคิดฟุ้งซ่าน”

 

 

พลัน เสียงที่แข็งกระด้างของนักพรตหญิงชินดังขึ้นข้างหูเด็กหนุ่ม “จงระวังความคิดและจดจำภาพที่เจ้าเห็นไว้ให้ดี เพราะเจ้าจะมีโอกาสได้เห็นมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น…”

 

 

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

 

 

ให้ตายสิ

 

 

ทำไมนักพรตหญิงชินถึงได้รู้ทันความคิดของเขาตลอดเลยนะ?

 

 

หรือว่านางสามารถอ่านความคิดของเขาได้?

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที

 

 

เพราะก่อนหน้านี้เขาคิดลามกกับนักพรตหญิงชินเอาไว้ไม่ใช่น้อย

 

 

หัวใจของหลินเป่ยเฉินเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

 

 

เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบเหมือนมีคมกระบี่กำลังจ่อคอหอย

 

 

ถ้าเกิดนักพรตหญิงชินสามารถล่วงรู้ความคิดทุกอย่างของเขาได้จริงๆ แล้วล่ะก็ หลินเป่ยเฉินคงมีแต่ต้องกัดลิ้นฆ่าตัวตายเพื่อไถ่โทษแล้วเท่านั้นเอง…

 

 

เฮ้อ

 

 

ทำไมถึงได้น่าอายแบบนี้วะ

 

 

ในระหว่างที่กำลังคิดวุ่นวายอยู่นั้น หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจเรียกหาผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ

 

 

“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้”

 

 

“เสี่ยวจี้มาแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน”

 

 

“บันทึกวิดีโอการโคจรพลังเหล่านี้ซะ”

 

 

“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ไม่กี่นาทีต่อมา

 

 

“บันทึกวิดีโอเสร็จเรียบร้อยและแปลงไฟล์เป็นแอปพลิเคชันที่ชื่อว่าแอปการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานแล้วเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่านายท่านต้องการดาวน์โหลดเลยหรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

“ยังไม่ต้องดาวน์โหลดตอนนี้”

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่านมีอะไรให้รับใช้อีกไหมเจ้าคะ?”

 

 

“ไม่มีแล้ว ไสหัวไปเถอะ“

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”

 

 

แล้วเสียงของเสี่ยวจี้ก็เงียบหายไป

 

 

ตลอดเวลาเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูสีหน้าของนักพรตหญิงชิน…

 

 

เขาสามารถตรวจพบสิ่งหนึ่งว่า

 

 

ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดแห่งนี้ นักพรตหญิงชินจะสามารถอ่านความคิดของเขา ที่เกี่ยวข้องกับตัวนางเองได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่นางไม่สามารถอ่านความคิดของเขาระหว่างที่สั่งงานผู้ช่วยส่วนตัวในโทรศัพท์มือถือได้เลย

 

 

เพราะว่าตอนที่เขานำโทรศัพท์มือถือออกมาใช้งานเมื่อสักครู่ สีหน้าของนักพรตหญิงชินไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะมีความประหลาดใจในแววตาสักแวบเดียว

 

 

หากนางมองเห็นโทรศัพท์มือถือของยมทูตเครื่องนี้ …มีหรือที่จะรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้?

 

 

ดังนั้น การนำโทรศัพท์มือถือออกมาใช้งานเมื่อสักครู่ จึงเท่ากับการทดสอบอันแสนสิ้นหวังของหลินเป่ยเฉิน

 

 

เขาอยากหาคำตอบว่านักพรตหญิงชินจะสามารถอ่านความคิดของเขาได้ทุกอย่างจริงหรือไม่ ถ้านางสามารถทำได้ นักพรตหญิงชินก็จะต้องรับทราบเรื่องโทรศัพท์มือถือของเขาแน่ๆ

 

 

โชคดีที่นางทำไม่ได้

 

 

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเขาก็คิดว่าเรื่องนี้มีคำอธิบายอยู่สองอย่าง อย่างแรก มีความเป็นไปได้ว่าทักษะในการอ่านใจของนักพรตหญิงชินยังไม่สูงส่งมากพอ นางเพียงสามารถตรวจจับความคิดที่เกี่ยวข้องกับตนเองได้อย่างเดียวเท่านั้น

 

 

และอีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ โทรศัพท์มือถือของยมทูตเครื่องนี้ เป็นวัตถุวิเศษที่มีระดับสูงมากเกินไป จนการตรวจจับพลังจิตของนักพรตหญิงชินไม่สามารถตรวจมันพบเจอ

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าคำตอบคือข้อไหนกันแน่

 

 

แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็เริ่มเกิดความตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง

 

 

แย่แล้ว

 

 

โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของยมทูต แต่ที่นี่เป็นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของนักบวช ทั้งสองฝ่ายไม่น่ามีมิตรภาพที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น คิดเรื่องนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่

 

 

หลินเป่ยเฉินรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมองทันที

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน

 

 

“ทั้งหมดนี้ก็คือการดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะสามารถฝึกฝนได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจของเจ้าเองเท่านั้น ในอนาคตเมื่อเจ้าสามารถเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดประจำตัวได้แล้ว เจ้าก็จะสามารถดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้เช่นกัน!”

 

 

การดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักพรตหญิงชินค่อยๆ เชื่องช้าลง

 

 

“รับทราบแล้วขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดกับความคิดสัปดนที่เคยมีต่อนักพรตสาว จึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

 

 

นักพรตหญิงชินกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “ทีนี้เจ้าลองแสดงวิชาเพลิงสวรรค์และเพลิงฟ้าคำรามให้ข้าดูหน่อยซิ”

 

 

ชื่อวิชาทั้งสองเล่มนั้นต่างก็เป็นวิชาเกี่ยวกับพลังจิต ซึ่งนางเคยสอนหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่เรียนด้วยกัน

 

 

“หืม?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปทันที

 

 

เพราะหลังจากที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันวิชาทั้งสองอย่างนั้นมาลงเครื่องเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่เคยสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตนเองเลยสักนิด

 

 

แล้วจะใช้งานออกมาได้ไหมล่ะเนี่ย?

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น…

 

 

นักพรตหญิงชินค่อยๆ ยกฝ่ามือของตนเองขึ้นจากมือของเด็กหนุ่ม

 

 

หลินเป่ยเฉินลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งด้วยความมึนงง

 

 

มือของเขายังรู้สึกได้ถึงความนุ่มนิ่มและความอบอุ่นของฝ่ามือนักพรตหญิงชิน

 

 

“เจ้าจำวิธีการโคจรและดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วหรือไม่?”

 

 

นักพรตหญิงชินมองหน้าเขาเขม็ง

 

 

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเหมือนกระต่ายแสนกลผู้จงรักภักดีต่อเจ้านาย “ข้าน้อยจำได้หมดแล้วขอรับ”

 

 

“อีกหลายวันต่อจากนี้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อฝึกวิชาทั้งหมด ทางที่ดีที่สุดก็คือเจ้าควรเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของตนเองให้ได้ ก่อนที่พิธีการตรวจสอบวิหารจะเริ่มขึ้น เพราะมันหมายความว่าเจ้าจะมีเวลาได้ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเองพอสมควร”

 

 

นักพรตหญิงชินพูดจบก็ลุกขึ้นยืน

 

 

ดวงตาของนางยังคงเย็นชาปราศจากความรู้สึกเสมือนผืนน้ำในทะเลสาบน้ำแข็ง นักพรตหญิงชินพูดออกมาอีกครั้งพร้อมกับก้าวเดินอย่างแช่มช้าตรงไปที่ประตู “ข้าเหนื่อยแล้ว ขอตัวไปพักผ่อน”

 

 

หลินเป่ยเฉินรีบถามออกมาทันทีว่า “ท่านนักพรตขอรับ ไม่ทราบว่ามีวิชาไหนที่สามารถนำพลังศักดิ์สิทธิ์ มาใช้กับเพลงกระบี่ได้บ้างหรือไม่?”

 

 

“นำพลังศักดิ์สิทธิ์มาใช้กับเพลงกระบี่?”

 

 

เสียงของนักพรตหญิงชินดังตอบกลับมาจากนอกประตูห้อง “แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว… แต่มีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าควรเรียนรู้ก่อน เสี่ยวเยว่จะเป็นคนสอนเจ้าเอง”

 

 

เด็กหนุ่มขบคิดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย ก็ว่าต่อ “แต่อีก 3 วันหลังจากนี้ อาจารย์ของข้าต้องประลองกับจูปี้ฉีที่ทะเลนะขอรับ ข้าน้อยอยากไปให้กำลังใจอาจารย์…”

 

 

เกิดความเงียบดังขึ้นเล็กน้อย

 

 

“เดี๋ยวข้าไปให้เอง”

 

 

เสียงของนักพรตหญิงชินดังตอบกลับมาในที่สุด