บทที่ 466 เรียนพิเศษกับเยว่เว่ยหยาง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 466 เรียนพิเศษกับเยว่เว่ยหยาง

 

 

หา?

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

 

 

นักพรตหญิงชินจะไปแทนเขาเนี่ยนะ?

 

 

นางจะไปในฐานะอะไร?

 

 

ก็ในเมื่อนี่เป็นการประลองของอาจารย์เขา

 

 

การประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

 

 

อาจารย์ผู้สอนวิชากระบี่เปรียบประดุจดั่งบิดาคนที่สอง

 

 

สมมุติว่าอาจารย์ติงดวงกุดโดนจูปี้ฉีฆ่าตายขึ้นมา หลินเป่ยเฉินจะใจจืดใจดำ ไม่ไปอำลาอาจารย์ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตได้อย่างไร?

 

 

อีกอย่าง ถ้าเขาไม่ไปที่นั่น เกิดอาจารย์ติงอยากสั่งเสียอะไรเป็นการส่วนตัว ก็คงทำไม่ได้น่ะสิ

 

 

ถ้าหลินเป่ยเฉินไม่ได้ไปที่งานประลอง เด็กหนุ่มก็ทำได้เพียงซื้อโลงศพมาฝังดินให้กับชายชราเท่านั้น

 

 

เว้นแต่ว่านักพรตหญิงชินจะยอมเปลี่ยนใจ

 

 

หลินเป่ยเฉินพึมพำอะไรบางอย่างกับตนเอง แต่เมื่อเขากำลังจะพูดออกไปอีกครั้ง นักพรตหญิงชินก็หายตัวไปแล้ว

 

 

“การใช้เวทมนตร์เมื่อสักครู่นี้ ทำให้นักพรตหญิงชินสูญเสียพลังมากเลยหรือ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินหันมาถามกับเยว่เว่ยหยาง

 

 

เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มอ่อนหวาน ตอบว่า “นอกจากอาจารย์ของข้าจะให้คำแนะนำกับท่านแล้ว อาจารย์ยังพาท่านเข้าสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดอีกด้วย ไม่เคยมีใครได้รับโอกาสนี้มาก่อน เมื่อท่านพี่เป่ยเฉินได้รู้แล้วว่าอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดมีหน้าตาเป็นอย่างไร ท่านก็จะสามารถเปิดอาณาเขตของตนเองได้ง่ายดายมากขึ้นอีกหลายเท่าเจ้าค่ะ”

 

 

หืม?

 

 

หลินเป่ยเฉินพลันเข้าใจแล้ว

 

 

เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ นักพรตหญิงชินต้องใช้พลังจิตในระดับสูง

 

 

เพราะมันคือการเปิดจิตใจของนางให้เขาเข้าไปสำรวจ

 

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดนักพรตหญิงชินถึงรู้ทุกความคิดของเขาที่เกี่ยวข้องกับนาง… เอาล่ะ หลินเป่ยเฉินกำชับกับตนเองว่า ถ้าเขาได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของนักพรตหญิงชินอีกครั้ง เขาก็ต้องระมัดระวังความคิดของตนเองให้มากขึ้น

 

 

“สรุปว่าไอ้ที่ข้าเห็นเป็นท้องฟ้ากับดวงดาวระยิบระยับเหล่านั้น มันคืออาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดสินะ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

นี่คือวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดโดยเทพเจ้า

 

 

ไม่ใช่การฝึกวิชาวิทยายุทธ์ทั่วไป

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นาม จะต้องฝึกวิชาเหล่านี้เช่นกันหรือไม่

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็แอบกระดิกเท้าอย่างมีความสุข

 

 

เยว่เว่ยหยางยังคงยิ้มแย้มตอบเช่นเดิม “อาณาเขตที่มีดวงดาวระยิบระยับอย่างที่ท่านเห็นเป็นจำนวนมากนั้น คืออาณาเขตของนักพรตระดับสูงเจ้าค่ะ ผู้เป็นเจ้าของอาณาเขตมักมีระดับพลังสูงส่งมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งอาณาเขตมีความกว้างขวางเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายถึงระดับพลังงานที่สูงล้ำมากเท่านั้น ส่วนดวงดาวที่ท่านเห็น เป็นตัวแทนของผู้คนที่ศรัทธาต่อเจ้าของอาณาเขต และแสงดาวที่เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ดูดซับเข้าสู่ร่างกาย ก็คือพลังศรัทธาจากคนเหล่านั้นนั่นเองเจ้าค่ะ การนำพาผู้อื่นเข้าสู่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง จำเป็นต้องใช้พลังจำนวนมหาศาล เพราะฉะนั้น อาจารย์ของข้าจึงต้องขอตัวไปพักผ่อนแล้ว”

 

 

โห

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางของตนเองอย่างใช้ความคิด

 

 

ระหว่างนั้นก็รับฟังเยว่เว่ยหยางอธิบายต่อไป “การโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์นั้น แตกต่างจากการโคจรพลังลมปราณทั่วไป การเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวได้ คือขั้นตอนแรกแห่งความสำเร็จเท่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือเราต้องทำความดีและสร้างผู้ศรัทธาต่อเราให้ได้จำนวนมากๆ ยิ่งมีผู้ศรัทธาเยอะเท่าไหร่ พลังศรัทธาก็จะยิ่งเยอะเท่านั้น และนั่นหมายความว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะเยอะตามมาด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”

 

 

“อย่างนี้ก็เท่ากับว่า แม้แต่คนธรรมดาถ้าสามารถทำให้ผู้คนศรัทธาในตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพลังศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเท่านั้นด้วยใช่ไหม?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

 

ลองนึกดูสิว่าถ้าการฝึกพลังเช่นนี้ไปปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ที่เขาจากมา พวกผู้นำเผด็จการที่ขยันสร้างโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อทำให้ประชาชนนับถือตนเองหมือนเทพเจ้า ก็จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์มหาศาลมากแค่ไหนกัน

 

 

แต่นี่คือโลกแห่งจอมยุทธ์

 

 

เยว่เว่ยหยางบอกว่านี่คือขั้นตอนหนึ่งในการฝึกเป็นนักบวช

 

 

งั้นสมมุติว่าถ้าคนที่มีชาวเมืองเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก หันมาเอาดีทางด้านศาสนา บุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นนักบวชที่มีพลังมหาศาลโดยอัตโนมัติเลยน่ะสิ

 

 

เยว่เว่ยหยางอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “จะว่าใช่ก็ใช่ แต่จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของตนเองได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่วิหารทุกแห่ง ต้องคัดเลือกนักบวชแต่ละคนเป็นอย่างดี และมีเพียงนักบวชระดับสูงเท่านั้น ที่จะสามารถเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตนเอง แต่ถึงจะเปิดได้แล้วก็ตาม การที่นักบวชผู้นั้นจะมีพลังสูงส่งหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่ามีผู้คนศรัทธาในตัวเขามากเท่าไหร่เช่นกันเจ้าค่ะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความเข้าใจทั้งหมด

 

 

วิหารนักบวชมีสถานะไม่ต่างจากสำนักยุทธ์ของมือกระบี่

 

 

มือกระบี่ยิ่งมีพลังลมปราณแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีระดับพลังสูงส่งมากเท่านั้น

 

 

นักบวชยิ่งมีผู้คนศรัทธามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีพลังศักดิ์สิทธิ์สูงส่งมากเช่นกัน

 

 

กล่าวคือ ผู้ที่เอาดีทางด้านการเป็นนักบวชจำเป็นต้องเผยแพร่คำสอนทางศาสนา หรือไม่ก็ช่วยเหลือผู้คนจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และสร้างรากฐานผู้ศรัทธาต่อตนเองเป็นจำนวนมาก เพราะยิ่งมีผู้ศรัทธามากเท่าไหร่ มันก็จะเป็นผลดีต่อตัวของนักบวชเองมากเท่านั้น

 

 

ระบบแบบนี้น่าสนใจดีนี่นา

 

 

“พี่เป่ยเฉินสมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ ท่านเข้าใจทุกอย่างแล้ว”

 

 

เยว่เว่ยหยางเฝ้าสังเกตอากัปกิริยาของเด็กหนุ่ม และเมื่อไม่เห็นความมึนงงบนสีหน้าของเขา นางก็เริ่มอธิบายต่อ “มือกระบี่สามารถสร้างชื่อเสียงทำให้ผู้คนศรัทธาในตนเองได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่เป็นนักบวชนั้น ต้องพบกับความยากลำบากมากกว่ากันหลายเท่า ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่านะเจ้าคะ ในอดีตถึงกับมีมือกระบี่บางคนละทิ้งทางโลกและหันหน้าเข้าหาศาสนา เปลี่ยนแปลงตนเองกลายเป็นนักบวชและได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมหาศาล เพราะเขามีผู้ที่ศรัทธาต่อตนเองอยู่มากมาย…”

 

 

นั่นไง เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ด้วย

 

 

หลินเป่ยเฉินรับฟังคำอธิบายต่อไปด้วยความตั้งใจ

 

 

เยว่เว่ยหยางก็รับหน้าที่ให้ความรู้ต่อไปอย่างไม่รู้เบื่อเช่นกัน

 

 

“สำหรับผู้ที่สามารถเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้แล้ว ก็จะสามารถดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ทันทีเจ้าค่ะ และในเวลาเดียวกันนั้น ก็สามารถบำเพ็ญตน เพื่อสร้างผู้ศรัทธากลุ่มใหม่และยกระดับพลังของตนเองได้เช่นกัน ส่วนแต่ละคนจะทำได้สำเร็จมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ทั้งนั้น”

 

 

“แม้ว่าแผ่นดินตงเต้าจะมีเทพเจ้าอยู่มากมาย แต่ทุกศาสนาต่างก็ใช้ระบบศรัทธาเช่นนี้เหมือนกันหมด”

 

 

“แม้แต่พวกสาวกปีศาจก็ใช้ระบบพลังศรัทธาแบบเดียวกับพวกเรานี่แหละเจ้าค่ะ และเหตุผลที่พวกมันออกมาอาละวาดที่โลกมนุษย์ ก็เพราะบรรดาปีศาจทั้งหลายตั้งใจจะกวาดล้างศาสนาอื่นๆ ให้หมดไป พวกมันตั้งใจจะเปลี่ยนให้โลกใบนี้ มีแต่ผู้คนที่เป็นสาวกปีศาจเท่านั้น”

 

 

“และในความเป็นจริง ผู้ก่อการร้ายทางศาสนาไม่ใช่ว่าต้องเป็นพวกสาวกปีศาจเสมอไปนะเจ้าคะ เพราะแม้แต่ผู้ศรัทธาในเทพเจ้าด้วยกันเอง ก็สามารถทำตัวนอกลู่นอกทางได้เช่นกัน และไม่ใช่ว่าเทพเจ้าทุกองค์จะดำรงไว้ซึ่งความดีงามเหมือนกันหมด มีเทพเจ้าหลายองค์ด้วยซ้ำที่ประพฤติตัวชั่วร้าย ไม่ต่างจากปีศาจในคราบเทพเจ้า…” เยว่เว่ยหยางพูดอย่างเปิดเผย

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็อดถามออกไปด้วยความตกใจไม่ได้ว่า “นักบวชเยว่ อาจารย์ของเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดจาถึงเทพเจ้าองค์อื่นเช่นนี้?”

 

 

ในฐานะนักบวช ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมา มีหวังเยว่เว่ยหยางได้โดนจับไปเผาทั้งเป็นแหงๆ

 

 

ไม่รู้เลยว่านางไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงได้กล้าพูดจาโผงผางเช่นนี้

 

 

เขาควรรายงานต่อนักพรตหญิงชินไหมนะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองอย่างใช้ความคิด

 

 

เยว่เว่ยหยางส่งเสียงหัวเราะคิกคัก “เป็นอาจารย์นั่นแหละเจ้าค่ะที่บอกเรื่องนี้กับข้าเอง”

 

 

เฮ้ย

 

 

หลินเป่ยเฉินได้ยินคำตอบก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม

 

 

นักพรตหญิงชินเป็นคนพูดออกมาเองอย่างนั้นหรือ?

 

 

ถ้างั้น…

 

 

หรือว่าการที่พวกของคุณชายเหลียนซานจัดให้มีการตรวจสอบวิหารและทดสอบเทพเจ้า จะเป็นเรื่องที่สมควรกระทำแล้ว?

 

 

เป็นไปได้ไหมว่านักพรตหญิงชินกับลูกศิษย์ของนาง จะเป็นผู้แอบอ้างเทพเจ้าจริงๆ?

 

 

ถ้าเขาเป็นเทพีกระบี่ ก็คงต้องไม่พอใจแน่นอนที่มีสาวกของตนเองพูดถึงบรรดาเทพเจ้าด้วยกันอย่างปราศจากความเคารพยำเกรง แน่นอนว่าถ้าเทพีกระบี่รู้เรื่องเข้า วิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งก็คงถูกกวาดล้างในพริบตาเดียวเป็นแน่แท้

 

 

เฮ้อ

 

 

นี่เขามาติดอยู่กับพวกนักต้มตุ๋นหรอกหรือ

 

 

ดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินจะค้นพบความลับสำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

 

 

จังหวะนั้น เยว่เว่ยหยางสังเกตเห็นถึงคำถามที่ปรากฏขึ้นในแววตาของหลินเป่ยเฉิน นางจึงตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคักต่อไปว่า “พี่เป่ยเฉินไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ ท่านนักพรตใหญ่ก็รู้เช่นกันว่าอาจารย์ของข้าพูดเรื่องนี้”

 

 

ว่าไงนะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

 

 

ขนาดคุณป้าใจดีท่านนั้นก็ยังเป็นพวกแอบอ้างเหมือนกันหรือนี่?

 

 

นี่เขาตกมาอยู่ในดงนักบวชกำมะลอหรือไงกัน?

 

 

เยว่เว่ยหยางรีบพูดออกมาอีกครั้ง “ไม่ใช่แต่เพียงท่านนักพรตใหญ่จะรู้นะเจ้าคะ แม้แต่ท่านนักพรตเทวะประจำวิหารหลวงก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน เพราะว่ามันเป็นคำทำนายที่เทพีกระบี่มอบให้แก่พวกเราเองเจ้าค่ะ”

 

 

“พรวด…”

 

 

หลินเป่ยเฉินสำลักน้ำชาที่กำลังดื่มเข้าไปออกมาทันที

 

 

ให้ตายสิ

 

 

นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?

 

 

ในฐานะที่อยู่ในระบบเทพเจ้าเหมือนกัน เทพีกระบี่กลับดูถูกเทพเจ้าด้วยกันเองถึงขนาดนี้เลยหรือ?

 

 

นางไม่ได้เมาสุราใช่ไหมตอนที่บอกใบ้คำทำนายออกมา?

 

 

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมในคำประกาศิตของนาง ถึงมีเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับการต้มสุราเยอะเหลือเกิน

 

 

บุคลิกที่ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้เช่นนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นๆ จังเลยแฮะ

 

 

“แต่ข้าเคยอ่านคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์กับบันทึกคำพยากรณ์มาหมดแล้ว ทำไมถึงไม่เคยเห็นคำพยากรณ์ที่เจ้าว่าเลยล่ะ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

เยว่เว่ยหยางให้คำตอบพร้อมกับยิ้มจนตาหยี “เพราะว่ามันเป็นคำพยากรณ์ลับไงล่ะเจ้าคะ… นี่คือคำพยากรณ์ที่ไม่ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และมีเพียงคนหยิบมือเดียวเท่านั้นที่รับทราบเรื่องนี้ บุคคลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักบวชระดับสูงถึงสูงที่สุดทั้งสิ้น”

 

 

อ๋อ

 

 

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

 

สุดท้าย เขาก็คิดมากเกินไปนี่เอง