บทที่ 467 นิสัยแปลกประหลาดของนักพรตหญิงชิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 467 นิสัยแปลกประหลาดของนักพรตหญิงชิน

เทพีกระบี่นับว่าเป็นเทพเจ้าที่มีนิสัยแปลกประหลาดที่สุด เพราะฉะนั้น การที่มีผู้เคารพศรัทธาอยู่ทั่วทั้งจักรวรรดิจึงถือเป็นเรื่องที่โชคดีเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจ

หลังจากนั้น เยว่เว่ยหยางก็สอนให้เขารู้จักวิธีการดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์จากแรงศรัทธาของผู้คน

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มต้องสั่งให้โทรศัพท์มือถืออัดคลิปเอาไว้ทั้งหมดและแปลงไฟล์เป็นแอปพลิเคชันที่ชื่อว่าการดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐาน

ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่สามารถใช้ร่วมกับแอปการโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานได้ไม่มีปัญหา

การดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทั้งสองตัวนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลเพียง 5 GB เท่านั้น

ถึงแม้การโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์จะมีความซับซ้อนมากกว่าการโคจรพลังลมปราณทั่วไป แต่สังเกตจากขนาดไฟล์ที่ไม่ค่อยใหญ่มากเท่าไหร่ จึงหมายความว่าอานุภาพของแอปพลิเคชันเหล่านี้คงไม่น่าสูงส่งอย่างที่คิด

สำหรับหลินเป่ยเฉิน ไม่มีอะไรที่เยว่เว่ยหยางจะต้องปิดบังเขาทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ นางจึงสอนความรู้ทุกอย่างที่ตนเองมีให้เด็กหนุ่มได้รับรู้อย่างหมดเปลือก

ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันหลายชั่วยาม เยว่เว่ยหยางสอนวิชาการต่อสู้และวิชาการใช้เวทมนต์ด้วยความสนุกสนาน ในบรรดาวิชาเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินประทับใจวิชาที่ชื่อว่ากระบี่แสงเทพเจ้ามากที่สุด

พลัน บังเกิดแสงสว่างส่องลอดเข้ามาผ่านช่องว่างใต้บานประตู

ข้างนอกพายุฝนยังคงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

ประตูห้องเปิดออก

นักพรตหญิงชินเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าชุดธรรมดาและเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร

นางดูงดงามราวกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็ไม่ปาน

“โอ้โห วันนี้ข้าได้มีวาสนารับประทานอาหารของท่านอาจารย์อีกแล้วสินะ”

เยว่เว่ยหยางเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ รีบลุกขึ้นช่วยยกถาดอาหารมาตั้งไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน “ต้องขอบอกเลยว่าอาหารที่อาจารย์เป็นคนทำนั้น มีรสชาติอร่อยเลิศล้ำที่สุดเจ้าค่ะ ขนาดอาหารฝีมือหัวหน้าพ่อครัวของโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งที่ว่าแน่ ก็ยังต้องแพ้ให้กับอาหารจากฝีมือของท่านอาจารย์”

คงเป็นเพราะว่าในห้องพักขณะนี้มีเพียงนักพรตหญิงชินกับหลินเป่ยเฉินอยู่ด้วยอีกเพียงสองคนเท่านั้น เยว่เว่ยหยางจึงแสดงอากัปกิริยาผ่อนคลาย และเปิดเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่หลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน

“จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่ทานอาหารค่ำที่นี่ทุกวันเลย”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความประหลาดใจไม่แพ้กัน

แต่อันที่จริงเขานั้นสามารถตัดสินใจได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า…

ต่อให้ฝีมือการทำอาหารของนักพรตหญิงชินจะห่วยแตกแทบรับประทานไม่ได้ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินเป่ยเฉินก็จะบังคับตนเองให้รับประทานให้หมดให้ได้

ทว่า ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ได้รู้ว่าเขาคิดมากเกินไป

เพราะอาหารฝีมือนักพรตหญิงชินมีความอร่อยเลิศล้ำจริงๆ

“เฮ้อ ถ้าได้รับประทานอาหารฝีมือท่านนักพรตหญิงชินทุกวัน ข้าก็คงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกแน่ๆ เลยขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับรับประทานไปด้วย

นักพรตหญิงชินยังไม่ทันมีเวลาได้ขยับตะเกียบด้วยซ้ำ จานอาหารเบื้องหน้าก็ว่างเปล่าในเวลาอันรวดเร็ว แม้แต่เศษไข่ก็ยังไม่มีเหลือด้วยซ้ำ นางใช้ดวงตาเย็นชาปราศจากความรู้สึกมองหน้าหลินเป่ยเฉิน แล้วถามว่า “เจ้าอิ่มแล้วหรือยัง?”

“ฮื่อ ข้าน้อยอิ่มแล้วขอรับ แต่มันก็เป็นอาหารที่ข้าน้อยสามารถรับประทานได้ไม่รู้เบื่อ…”

หลินเป่ยเฉินตอบ ยกมือตบพุงตัวเองด้วยความอิ่มแปล้

“อ้อ งั้นรอสักครู่”

นักพรตหญิงชินยกถาดอาหารที่ว่างเปล่ากลับออกไปจากห้องพักอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน

นางก็เดินถือถาดอาหารชุดใหม่เข้ามาจัดเรียงไว้บนโต๊ะ

คราวนี้เป็นเมนูที่มีผักและเนื้อครบถ้วน

ประเด็นก็คือจำนวนอาหารมีปริมาณมากเทียบเท่ากับอาหารชุดแรกเลยด้วยซ้ำ

“พวกเราเริ่มรับประทานกันเถอะ”

นักพรตหญิงชินพูดด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

เอ่อ…

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเยว่เว่ยหยางด้วยความไม่เข้าใจ

ก่อนหน้านี้ นักบวชสาวผู้เป็นลูกศิษย์ของนักพรตหญิงชินก็รับประทานอาหารชุดแรกจนอิ่มตื้อแล้วเช่นกัน นางกำลังยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับคราบมันบนริมฝีปาก ดวงตาที่เหมือนจันทร์เสี้ยวคู่นั้นหันมาเหลือบมองหลินเป่ยเฉินด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้ว

นักพรตหญิงชินตั้งใจกลั่นแกล้งเขานั่นเอง

นางตั้งใจจะให้เขารับประทานจนท้องแตกตายเลยหรืออย่างไร?

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่านางตั้งใจกลั่นแกล้ง แต่เด็กหนุ่มกลับคิดว่านี่คือการกระทำที่น่ารักเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้าของตนเองให้กลับมามีความจริงจังมากขึ้น “เอ่อ ความจริงข้าน้อยอยากจะรับประทานอีกสักรอบนะขอรับ แต่ข้าน้อยเพิ่งนึกได้ว่ากงกงกับครอบครัวของเขาก็พักรักษาตัวอยู่ที่นี่เช่นกัน และข้าน้อยยังไม่ได้ไปเยี่ยมพวกเขาเลยสักครั้ง ไม่ทราบว่าตอนนี้พวกเขาจะรับประทานอะไรกันไปบ้างแล้วหรือยัง ข้าน้อยอยากจะขอนำอาหารชุดนี้ไปมอบให้แก่พวกเขาแทนน่ะขอรับ…”

นักพรตหญิงชินตอบกลับมาเสียงเรียบ “พวกเขากำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น ย่อมมีอาหารให้รับประทานอยู่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “แต่จะให้ข้าน้อยนิ่งดูดายได้อย่างไรกันขอรับ? ข้าน้อยคือหลินเป่ยเฉินผู้ดูแลเอาใจใส่บริวารของตนเองเสมอ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยไปเยี่ยมพวกเขาสักนิดเถิดขอรับ…”

แล้วเด็กหนุ่มก็ยกอาหารบนจานจากโต๊ะเบื้องหน้า เทใส่ในกล่องอาหารและหันไปขยิบตาให้แก่เยว่เว่ยหยาง “พวกเราไปกันเถอะนักบวชเยว่ ป่านนี้พวกกงกงคงรอคอยข้าแทบแย่แล้ว ข้าจะปล่อยให้คนดีที่มีจิตใจซื่อสัตย์เช่นนี้รอคอยตลอดไปไม่ได้หรอก”

“ได้เลยเจ้าค่ะ”

เยว่เว่ยหยางพลันลุกขึ้นและพาหลินเป่ยเฉินออกจากที่พักไปอย่างมีความสุข

นักพรตหญิงชินมองเงาหลังของเด็กทั้งสองคนเดินหายลับไปจากบานประตู แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าของนาง ก่อนที่ทุกอย่างนั้นจะแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นเพียงรอยยิ้มขมขื่นบนริมฝีปาก

ณ ลานสวนพุทรา

นี่คือสถานที่พักฟื้นสำหรับผู้บาดเจ็บ

ใบของต้นพุทราในยามนี้กลายเป็นสีเหลืองละลานตา

ภายใต้สายลมและสายฝนที่โหมกระหน่ำไม่หยุดยั้ง ใบไม้แห้งร่วงกราวลงสู่พื้นดิน กองทับถมอยู่ในแอ่งน้ำเจิ่งนอง

“ท่านอาจารย์มีนิสัยชอบเอาอกเอาใจผู้อื่นเจ้าค่ะ”

เยว่เว่ยหยางส่งเสียงกระซิบ “สมัยที่ข้าเป็นเด็กน้อย มีช่วงหนึ่งข้ารู้สึกสนุกกับการนั่งนับจำนวนมดที่วิ่งอยู่บนพื้นดิน เมื่ออาจารย์เห็นว่าข้าชอบทำสิ่งนั้น ท่านก็เลยสั่งให้ข้านั่งนับจำนวนมดอยู่ถึง 10 วัน 10 คืน พอโตขึ้นมา มีช่วงหนึ่งที่ข้าชอบรับประทานปลาเผา อาจารย์ก็พาข้าไปอาศัยอยู่ที่ริมทะเลและทำปลาเผาให้ข้ารับประทานถึง 10 วัน 10 คืนเช่นกัน…”

ว่าไงนะ?

การเอาใจคนอื่นแบบนี้มันไม่ปกติแล้วมั้ง?

เรียกได้ว่าเข้าขั้นหมกมุ่น

แต่น่ารักเป็นบ้าเลย

หลินเป่ยเฉินถามว่า “แล้วทำไมอาจารย์เจ้าต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”

สิ่งที่เยว่เว่ยหยางให้คำตอบออกมาก็คือ “อาจารย์บอกว่าข้าเป็นบุคคลพิเศษ จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนมากกว่านักบวชทั่วไป และการฝึกฝนพิเศษนั้นไม่มีวันจบสิ้น เมื่อข้าได้ลองนึกย้อนกลับไปแล้ว ถึงได้รู้ว่าในช่วงเวลาเหล่านั้น ข้าต้องคร่ำเคร่งกับการฝึกวิชามากมายขนาดไหน ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์จึงอยากหาทางเอาใจข้า เพื่อทำให้ข้าไม่รู้สึกว่าการอยู่กับท่านมันน่าเบื่อมากเกินไป…”

หืม?

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

ดูเป็นหลักการที่มีเหตุมีผลอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

เขาคิดไม่ถึงเลยว่านักพรตหญิงชินจะมีมุมอ่อนโยนเช่นนี้เหมือนกัน

ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยมาถึงประเด็นนี้ พวกเขาก็ได้เดินมาถึงเขตที่พักในสวนพุทราพอดี ถึงกงกงจะได้รับการรักษาจากนักบวชของวิหารอย่างดีที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว อันธพาลหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นสายสืบข่าวให้แก่หลินเป่ยเฉินก็ต้องกลับกลายเป็นคนพิการแขนขาดไปทั้งสองข้าง ทว่ากงกงก็ยังคงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวของเขาปลอดภัยดีทุกคน

ภรรยาและลูกสาวของกงกงก็อยู่ในบ้านพักหลังนี้เช่นกัน

เมื่อเห็นว่าผู้มาเยี่ยมคือหลินเป่ยเฉิน ครอบครัวตระกูลกงก็รีบต้อนรับเขาด้วยความตื่นเต้น

โดยเฉพาะกงกงและบุตรสาว

เพราะพ่อลูกคู่นี้รู้ดีว่าตัวจริงของวีรบุรุษหน้ากากแดงคือใคร

“นายน้อย…”

กงกงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปช่วยประคองชายแขนด้วนให้ลุกขึ้นนั่งและพูดว่า “ไม่ต้องมากพิธี เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด…”

“นายน้อยมาเยี่ยมกงกง นับว่าในชีวิตนี้ กงกงสามารถนอนตายตาหลับแล้ว”

กงกงพูดด้วยความตื้นตันใจ

ความจริงแล้วสำหรับกับคนบางคน ชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่ต้องการอะไรมากนัก

แค่ได้รับความเคารพและมีใครสักคนเห็นคุณค่าในตัวของตนเอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

แน่นอนว่าวันนี้หลินเป่ยเฉินไม่ได้มาในมาดของนายน้อยจอมเจ้าเล่ห์ เขายิ้มแย้มอ่อนโยนพร้อมกับนำกล่องอาหารมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดเต็มหัวใจ “ก่อนหน้านี้ ข้าต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกวิชาเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการประลอง ข้าจึงไม่ได้มาเยี่ยมพวกเจ้า พูดไปแล้วก็รู้สึกผิดยิ่งนัก ที่พวกเจ้าต้องมาพบเจอเคราะห์กรรมเช่นนี้ก็เป็นเพราะข้าคนเดียว!”

“นายน้อยอย่าโทษตัวเองเลยขอรับ นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายชั่วร้ายมากเกินไปต่างหาก…”

กงกงพูดเสียงสั่นด้วยความซาบซึ้ง “กงกงไม่เคยเสียใจเลยที่ทำงานรับใช้นายน้อย แต่น่าเสียดายที่บัดนี้… กงกงกลายเป็นคนพิการไร้ความสามารถ กงกงไม่สามารถทำงานรับใช้นายน้อยได้อีกต่อไปแล้ว…”

พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอันธพาลหนุ่มก็กลับกลายเป็นเศร้าซึม

ในชีวิตของคนคนหนึ่ง จะมีสักกี่ครั้งกันที่ได้รับโอกาสให้ฉายแสงแสดงความสามารถ?

กงกงมองย้อนกลับไปในเส้นทางชีวิตของตนเองและพบว่าเขาเคยมีโอกาสทำความดีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

แต่ครั้งที่ชายหนุ่มประทับใจมากที่สุด ก็คงเป็นตอนที่ทั้ง ๆ ที่ลูกเมียถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ในกระท่อมร้าง และเขากระโดดเข้าไปรับคมกระบี่แทนหลินเป่ยเฉิน นี่แสดงให้เห็นจิตใจอันตั้งมั่นของกงกงที่ว่า เขาจะไม่มีทางทรยศต่อหลินเป่ยเฉินอย่างเด็ดขาด

กงกงคนนี้เป็นเพียงอันธพาลข้างถนน

ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ

ในสายตาของชาวเมืองส่วนใหญ่ กงกงเปรียบเสมือนสุนัขตัวหนึ่ง

แต่การได้รับใช้บุคคลที่ครอบครองตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง จะมีสักกี่คนกันที่ได้รับโอกาสนี้?

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคุณชายหลินปฏิบัติต่อพวกเขาและพรรคพวกอันธพาลเป็นอย่างดีมาตั้งแต่แรก

คุณชายหลินไม่ได้ทำเหมือนพวกเขาเป็นลูกน้องบริวารหรือทาสรับใช้

แต่คุณชายหลินทำเหมือนพวกเขาเป็นครอบครัว

นี่คือความรู้สึกที่กงกงไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมาก่อน

ดังนั้น เขาจึงอยากทำงานให้หลินเป่ยเฉินต่อไป

แต่ด้วยร่างกายที่ปราศจากแขนทั้งสองข้าง มันคงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งใจเช่นกัน

เขารู้ดีว่าในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ ผู้คนสามารถหักหลังกันได้ง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

การมีบริวารที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อตนเอง ถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินยกมือตบไหล่กงกงและกล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง หลินเป่ยเฉินคนนี้ไม่เคยปล่อยให้พี่น้องต้องยากลำบากอยู่แล้ว การที่เจ้าแขนขาดนั้นไม่ใช่ปัญหา เจ้าไม่เคยเห็นอาจารย์ฉู่เหินแห่งสถานศึกษากระบี่ที่สามหรืออย่างไร? เจ้าเห็นไหมว่าอาจารย์ท่านนั้นมีแขนกลที่แข็งแกร่งขนาดไหน?”