จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 917 : ตายเกลี้ยง!
หลังจากที่ยืนนิ่งเป็นฝ่ายตั้งรับการโจมตีของมาร์ควิสแอนเดอร์สันถึงสองครั้งหลิงหยุนจึงเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายบุกโจมตีบ้าง เขากระโดดขึ้นกลางอากาศ และเปลี่ยนมากำกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วฟันเข้าใส่ร่างของมาร์ควิสแอนเดอร์สันที่อยู่ด้านล่างทันที!
ด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรประกอบกับหลิงหยุนใช้วิชามังกรพรางร่างที่สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วปานสายฟ้า จึงยากที่มาร์ควิสแอนเดอร์สันจะสามารถหลบหนีได้ทัน..
“กำแพงโลหิต!”
ในเมื่อไม่สามารถหลบหลีกได้ทันมาร์ควิสแอนเดอร์สันถึงกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับพ่นละอองเลือดออกมาจำนวนมากอีกครั้ง ละอองเลือดเหล่านั้นได้กลายเป็นกำแพงสีแดงขวางหน้าหลิงหยุนไว้ จากนั้นมาร์ควิสแอนเดอร์สันจึงยกโล่โลหิตในมือขึ้นเพื่อรับการจู่โจมที่รุนแรงของหลิงหยุน!
แต่กระบี่โลหิตแดนใต้ที่สามารถตัดของแข็งได้ราวกับเต้าหู้นั้นก็สามารถฟันกำแพงโลหิตของมาร์ควิสแอนเดอร์สันจนแตกกระจาย และพุ่งเป้าไปที่โล่โลหิตตรงหน้ามาร์ควิสแอนเดอร์สันต่อทันที
ปัง!
สิ้นเสียงดังสนั่นนั้น..โล่โลหิตของมาร์ควิสแอนเดอร์สัน ก็ปรากฏรอยร้าวมากมายขึ้นทันที และในที่สุดก็แตกออกเป็นเสียงๆ!
และนี่คือพละกำลังที่แข็งแกร่งของหลิงหยุน!
หลิงหยุนนั้นผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนเขาจึงเข้าใจหัวใจของการต่อสู้ได้ดี ในการต่อสู้แต่ละครั้งนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำเพียงสองคำ.. ‘แข็งแกร่ง’และ ‘วิธีการ’
‘วิธีการ’นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ และครอบคลุมกว้างมาก มันหมายถึงวิชาบ่มเพาะพลัง วรยุทธ และศาสตร์ด้านอื่นๆ อย่างเช่นการสร้างค่ายกลชนิดต่างๆ ยิ่งมีวิธีการหลากหลายในการต่อสู้ ก็ยิ่งสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ง่ายขึ้น!
‘ความแข็งแกร่ง’นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก มันคือพละกำลัง และความแข็งแกร่งของร่างกายที่ผู้ต่อสู้ควรต้องมี และหากร่างกายแข็งแกร่งมากพอ ก็จะสามารถที่จะใช้ ‘วิธีการ’ ต่างๆ ได้อย่างง่ายดายด้วย..
ในเมื่อหลิงหยุนใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีและกำลังแขนที่สามารถรับน้ำหนักได้เป็นพันๆกิโลกรัม มีหรือที่กำแพงเลือด และโล่โลหิตซึ่งเกิดจากเวทย์มนต์คาถาจะสามารถต้านทานได้!
หลังจากที่ได้ทดสอบพลังอำนาจของมาร์ควิสแอนเดอร์สันแล้วหลิงหยุนก็พบว่าเขาสามารถสังหารมันได้อย่างแน่นอน และรู้สึกมั่นใจมากยิ่งขึ้น!
หลังจากที่รับกระบี่ของหลิงหยุนไปร่างของมาร์ควิสแอนเดอร์สันก็ถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่นับสิบ และกระอักออกมาเป็นเลือดกองโต!
หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหามาร์ควิสแอนเดอร์สันที่กำลังโซเซและจัดการฟันเข้าไปที่ร่างของมันอีกหนึ่งดาบ!
ครั้งนี้มาร์ควิสแอนเดอร์สันไม่กล้ารับกระบี่ของหลิงหยุนอีกมันรีบกระโดดหลบทันที แต่ถึงกระนั้นก็ถูกไอดำรอบกระบี่กระแทกเข้าจนต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด!
“ธนูกรด!”
มาร์ควิสแอนเดอร์สันยกมือขึ้นพร้อมกับหักนิ้วทั้งสิบซัดใส่หลิงหยุนนิ้วทั้งสิบได้กลายเป็นลูกธนูสีดำขนาดเท่ายาวเท่าตะเกียบพุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว และมันก็ได้อาศัยจังหวะนี้บินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที!
“อาวุธบ้าอะไรกัน”
หลิงหยุนสามารถหลบได้ทันและรีบสะบัดข้อมือซัดเข็มเงินมากมายใส่ร่างของมาร์ควิสแอนเดอร์สันเช่นกัน!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน..ธนูกรดทั้งสิบของมาร์ควิสแอนเดอร์สันได้พุ่งเข้าปักต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของหลิงหยุน และต้นไม้ทั้งต้นก็ถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ และมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากลำต้น…
เข็มเงินจำนวนมากที่หลิงหยุนซัดออกไปนั้นได้พุ่งเข้าใส่ปีกใหญ่ของมาร์ควิสแอนเดอร์สันราวสิบกว่าเล่ม จนเกิดเสียงดังคล้ายเสื้อผ้าฉีกขาด
“คล้ายกับธนูโลหิตนี่เองแต่ดูเหมือนจะรุนแรงกว่า! แวมไพร์นี่มีลูกเล่นมากมายเหมือนกันนี่!”
หลิงหยุนสำรวจดูด้วยจิตหยั่งรู้เมื่อทราบว่าธนูกรดที่เกิดจากเวทย์มนต์นี้มีคุณสมบัติเช่นใด ก็ได้แต่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงเรียกคันธนูทองออกมาทันที และยิงไปที่ร่างของมาร์ควิสแอนเดอร์สันที่กำลังบินหนี!
เมื่อมาร์ควิสแอนเดอร์สันเห็นเช่นนั้นมันจึงพ่นเลือดออกมาเสกเป็นโล่โลหิตอีกครั้งเพื่อใช้ป้องกันลูกธนูเงินของหลิงหยุน และรีบบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าต่อไป!
หลิงหยุนรู้ว่ามาร์ควิสแอนเดอร์สันเป็นแวมไพร์ที่มีเวทย์มนต์แข็งแกร่งตนหนึ่งและเจสเตอร์ก็เพิ่งบอกกับเขาว่า แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสนั้นยิ่งอายุยืนยาวมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถใช้เวทย์มนต์คาถาได้เชี่ยวชาญอย่างคาดไม่ถึง
“ใหนเจ้าบอกว่าจะสู้กับข้าแบบยุติธรรมเหตุใดตอนนึ้จึงคิดจะหนีเล่า?”
ในเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้หลิงหยุนจึงตัดสินใจที่จะใช้มังกรคำราม และครั้งนี้ก็เหลือเพียงมาร์ควิสแอนเดอร์สันเพียงตัวเดียวเท่านั้น หลิงหยุนจึงสามารถใช้คลื่นเสียงจู่โจมไปยังเป้าหมายเดียวได้ ทำให้ไม่มีผลกระทบกับเจสเตอร์..
มาร์ควิสแอนเดอร์สันบินสูงขึ้นเรื่อยๆเจสเตอร์รีบตรงเข้าไปหาหลิงหยุนทันที และเมื่อกระโดดขึ้นไปยืนบนแผ่นหลังของเจสเตอร์แล้ว หลิงหยุนจึงร้องตะโกนสั่งว่า
“บินให้เร็วที่สุดเต็มกำลังของเจ้าอย่าให้มันหนีไปได้1”
ต่อให้เป็นมาร์ควิสแต่ก็คือแวมไพร์อยู่ดี! มาร์ควิสแอนเดอร์สันจึงมีใบหูสองข้างที่ใหญ่และยาว เสียงมังกรคำรามของหลิงหยุนทำให้มาร์ควิสแอนเดอร์สันถึงกับชะงักไป และรีบยกมือที่มีเล็บแหลมคมสองข้างขึ้นปิดใบหูไว้ทันที!
ระหว่างที่มาร์ควิสแอนเดอร์สันเริ่มเหนื่อยล้าเจสเตอร์ก็เร่งความเร็วอย่างสุดกำลังเช่นกัน และในที่สุดก็สามารถบินเข้าไปใกล้มาร์ควิสแอนเดอร์สันในระยะกระชั้นชิดได้แล้ว หลิงหยุนจึงรีบซัดยันต์เตโชสามแผ่นออกไปด้านหน้าทันที..
ตูม!ตูม! ตูม!
ยันต์เตโชระดับห้าทั้งสามแผ่นระเบิดขึ้นพร้อมกันอยู่ด้านหลังของมาร์ควิสแอนเดอร์สันมันถึงกับตาโตเมื่อเห็นลูกไฟขนาดใหญ่สามลูกกำลังลุกโชนอยู่ด้านหลัง และร่างกายก็เริ่มสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว!
ในเมื่อไม่มีทางเลือก..มาร์ควิสแอนเดอร์สันจึงต้องพ่นเลือดออกมาจากปากอีกครั้ง และละอองเลือดเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นโล่โลหิตที่ใช้สำหรับป้องกันอวัยวะสำคัญของตนเองไว้ แล้วรีบบินหนีไปบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิง
หลิงหยุนยังคงไล่ล่าตามหลังไปพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง“คุณมาร์ควิส.. เจ้าคิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้นรึ”
พูดจบ..หลิงหยุนก็จัดการเรียกลูกธนูเงินออกมาอีกสามดอก และจัดการยิงฝ่าลูกไฟทั้งสามลูกที่กำลังลุกโชน
มาร์ควิสแอนเดอร์สันมัวแต่ใช้โล่ในมือปัดป้องลูกธนูและต้องคอยหลบซ้ายทีขวาที ความเร็วในการบินของมันจึงลดลงเรื่อยๆ
การใช้เวทย์มนต์ของเหล่าแวมไพร์นั้นล้วนต้องอาศัยเลือดเป็นสื่อนำ และใช้พลังจิตในการร่ายเวทย์มนต์
สำหรับมาร์ควิสแอนเดอร์สันที่มีพลังจิตอยู่ในระดับกลางนั้นเพื่อสังหารหลิงหยุน.. มันได้ใช้เลือดและพลังจิตไปมาก และเวลานี้ก็เริ่มเหนื่อยล้ามากแล้ว!
ไม่เพียงแค่ความเร็วของมาร์ควิสแอนเดอร์สันจะลดลงจนเจสเตอร์สามารถไล่ตามได้ทันแล้วแต่มันยังต้องคอยหลบหลีกลูกธนูเงินที่หลิงหยุนยิงใส่อีกด้วย!
ฟิ้ว..
หลังจากที่หลิงหยุนยิงลูกธนูเงินตามไปอีกในที่สุดโล่โลหิตจากเวทย์มนต์ของมาร์ควิสแอนเดอร์สัน ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้ง!
หลิงหยุนไม่รอช้า..เขารีบยิงลูกธนูเงินตามไปอีกสามดอก มาร์ควิสแอนเดอร์สันพยายามบินหลบแล้ว แต่ในที่สุดก็ถูกลูกธนูเงินปักเข้าที่ก้นด้านขวาจนได้!
มาร์ควิสแอนเดอร์สันสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ก้นของตัวเอง!
มันไม่ใช่เพียงแค่ความเย็น..แต่มันยังเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก มาร์ควิสแอนเดอร์สันสัมผัสได้ว่าความเย็นยะเยือกนี้ ได้ทำให้ร่างกายส่วนล่างของตนเองแข็งไปในทันที และปีกข้างขวานั้นก็แทบจะขยับไม่ได้อีก!
มันคือพลังหยินบริสุทธิ์!
“ห๊ะ!นี่มันอะไรกัน?”
มาร์ควิสแอนเดอร์สันขยับปีกข้างขวาได้อย่างยากลำบากความเร็วในการบินก็ลดลงจนตอนนี้มันบินได้ช้ากว่าเจสเตอร์เสียอีก!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ“คุณมาร์ควิส.. เจ้าใช้เวทย์มนต์เป็นคนเดียวงั้นรึ เจ้าอย่าลืมว่าข้าเองก็เพิ่งจะเล่นมายากลในรายการทีวี แต่ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นเวทย์มนต์ของข้าด้วยตาตัวเอง!”
พูดจบ..หลิงหยุนก็กวัดแกว่งกระบี่สีดำในมืออย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นม่านสีดำที่ยาวกว่ายี่สิบเมตร พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของมาร์ควิสแอนเดอร์สัน..
หลิงหยุนได้ถ่ายเทพลังหยางบริสุทธิ์ลงไปที่ตัวกระบี่แม้กระทั่งไอดำรอบกระปี่ก็ยังเป็นไอร้อน!
คลื่นความร้อนนั้นทำให้มาร์ควิสแอนเดอร์สันถึงกับหวาดกลัวจนต้องกรีดร้องออกมาและดิ้นรนหนีวุ่นวายไปหมด..
และไม่รู้ว่าหลิงหยุนไปหยุดอยู่ด้านข้างของมาร์ควิสแอนเดอร์สันตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เมื่อได้โอกาสหลิงหยุนก็ไม่รีรอ เขาฟันกระบี่โลหิตแดนใต้ใส่ร่างของมันอย่างไม่ลังเล และปีกซ้ายของมาร์ควิสแอนเดอร์สันก็ถูกหลิงหยุนฟันขาดในทันที!
“อ๊าก!”
มาร์ควิสแอนเดอร์สันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเสียงของมันโหยหวนราวกับสัตว์ที่ถูกทำร้าย และในที่สุดดวงตาคู่นั้นก็กลายเป็นสีแดงเข้ม แล้วร่างทั้งร่างของมาร์ควิสแอนเดอร์สันก็ระเบิดกลายเป็นละอองเลือด
มันได้กลายร่างเป็นค้างคาวสีดำตัวเล็กและเตรียมบินหนีไป!
“กระแสนวนหยิน-หยาง!”
หลังหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างผู้กำชัยชนะพร้อมกับยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น กระแสวนหยิน-หยางที่หมุนกลับ ได้ดูดร่างค้างคาวของมาร์ควิสแอนเดอร์สันเข้ามา!
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อมาร์ควิสแอนเดอร์สันกลายร่างเป็นค้างคาวแล้วความเร็วของมันจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า และได้บินหลุดออกจากกระแสลมปราณของหลิงหยุนไปแล้ว!
“ห๊ะ!เร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ?!”
หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ตระหนกตกใจมากมายนัก เขาจัดการเรียกยันต์เทวะเหินอออกมา และปิดเข้าที่ร่างของเจสเตอร์ทันที..
เมื่อมารค์วิสกลายร่างเป็นค้างคาวความเร็วของมันนั้นก็จะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกสองเท่า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลิงหยุนกบเจสเตอร์จะสามารถไล่ตามได้ทัน แต่หากใช้ยันต์เทวะเหินเข้าช่วย ก็จะสามารถเพิ่มความเร็วให้กับเจสเตอร์ได้เช่นกัน..
เวลานี้เจสเตอร์สามารถบินได้รวดเร็วกว่าเดิมถึงสามเท่าความเร็วของมันนั้นเทียบเท่าความเร็วของกระสุนปืนเลยก็ว่าได้ และเวลานี้เจสเตอร์ก็ได้พุ่งไปขวางหน้ามาร์ควิสแอนเดอร์สันไว้ได้แล้ว!
“เจ้านาย..ท่านรีบทำให้มาร์ควิสตนนี้กลายเป็นบริวารของท่านสิ!”
เจสเตอร์บินเร็วขึ้นเรื่อยๆระหว่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะร้องเตือนหลิงหยุนให้จัดการทำให้มาร์ควิสแอนเดอร์สันมาเป็นบริวารของตนเอง
แต่หลิงหยุนกลับตอบไปว่า“ไม่ได้! มาร์ควิสตนนี้แตกต่างจากเอ็ดเวิร์ด และแข็งแกร่งกว่ามาก ข้าไม่ต้องการให้เลือดข้ากับมัน เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
การต่อสู้ยังไม่จบ..แต่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะยังมีดยุคแดร๊กคิวล่าซึ่งไม่รู้ว่าเวลานี้ได้มาถึงเมืองจิงฉูแล้วหรือยัง
หลิงหยุนเข้าใจความหมายของเจสเตอร์ดีแต่เขาไม่ต้องการที่จะเสี่ยง..
“เจสเตอร์..หากเจ้าต้องการจะเรียนรู้เวทย์มนต์แวมไพร์แล้วล่ะก็ ไว้วันหลังข้าจะไปจับแวมไพร์ขั้นปริ๊นซ์มาสอนให้กับเจ้าเอง”
“เอาล่ะ..รีบไปสังหารมันเร็วเข้า!”
หลิงหยุนยืนอยู่บนแผ่นหลังของเจสเตอร์มือซ้ายฟาดฟันกระบี่โลหิตแดนใต้เข้าใส่ ในขณะที่มือขวาก็ปล่อยกระแสวนหยิน-หยางดูดร่างเล็กของมาร์ควิสแอนเดอร์สันเข้ามา
“ไปเข้าเฝ้าเทพซาตานของเจ้าได้แล้ว!”
หลิงหยุนร้องตะโกนพร้อมกับฟันกระบี่โลหิตแดนใต้ลงไปบนร่างของค้างคาวสีดำอย่างแม่นยำจากนั้นจึงสะบัดปลายกระบี่ในมืออย่างรวดเร็ว และสับร่างของค้างคาวจนเละกลายเป็นเนื้อค้างคาวบด..
ตูม!
ลูกไฟขนาดใหญ่จากยันต์เตโชระเบิดขึ้นมาร์ควิสแอนเดอร์สันผู้น่าสงสารสิ้นใจตายโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องด้วยซ้ำไป และกลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด!
แล้วฝูงแวมไพร์ทั้งหมดก็ตายเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว!
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 918 : เจรจาต่อรอง!
“กลับขึ้นไปบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงกัน!”
หลิงหยุนและเจสเตอร์บินกลับขึ้นไปบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงและพบว่าบนพื้นดินนั้นมีซากศพของเหล่าแวมไพร์นอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด แขนขาที่ถูกฟันขาดก็กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ..
แต่สิ่งที่น่าแปลกมากก็คือ..ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของเหล่าแวมไพร์นั้น ไม่มีเลือดที่ไหลเจิ่งนองราวกับแม่น้ำดังเช่นทุกครั้ง แต่เพียงแค่ซากศพเกลื่อนกลาด ก็สามารถสร้างความสยดสยองให้กับผู้พบเห็นได้อย่างมากแล้ว เพราะเวลานี้ยอดเขาเทียนเหมาเฟิงดูราวกับขุมนรกก็ไม่ปาน..
หลิงหยุนกระโดดลงจากแผ่นหลังของเจสเตอร์เขาจัดการเรียกผงละลายศพออกมา แต่เมื่อต้องการจะโปรยใส่บาดแผลบนซากศพเหล่านั้น กลับพบว่าสภาพร่างกายของแวมไพร์แต่ละศพล้วนอยู่ในสภาพปกติไร้ซึ่งบาดแผลแม้เพียงนิดเดียว..
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับยืดตัวตรงแล้วหันไปพูดกับเจสเตอร์ “เจสเตอร์.. เจ้าไปจัดการเก็บลูกธนูเงินกลับคืนมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
“อ่อ..แล้วก็ปืนพวกนั้นด้วยนะ ข้าต้องการเก็บไว้ มันอาจจะมีประโยชน์!”
หลิงหยุนนั้นไม่ได้ต้องการปืนเหล่านั้นไว้สำหรับตนเองแต่มันจะเป็นประโยชน์กับอาปิงและแก๊งมังกรเขียว ปืนเหล่านนั้นจะได้ไม่ถูกทิ้งไปอย่างเสียเปล่า..
เจสเตอร์รับคำสั่งและเริ่มลงมือทำงานทันที ส่วนหลิงหยุนก็เดินสำรวจหน้าผาที่อยู่รอบเขา จากนั้นจึงจัดการเตะร่างไร้วิญญาณของเหล่าแวมไพร์ลงไปกองรวมกันบนหน้าผาเหล่านั้น แล้วจึงเรียกโทรศัพท์มือถืออกมาจากแหวนพื้นที่..
แม้ว่าจะอยู่ในป่าลึก..แต่เวลานี้หลิงหยุนยืนอยูบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงซึ่งสูงพอที่จะรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่เลวนัก และเมื่อเรียกโทรศัพท์มือถือออกมา เหตุการณ์ก็เป็นเหมือนเช่นเคยทุกครั้ง เสียงข้อความเข้าดังขึ้น มีข้อความส่งเข้ามามากมาย และ Miss Call อีกหลายสาย
หลิงหยุนไม่สนใจและรีบกดโทรออกหาถังเมิ่ง..
ดูเหมือนถังเมิ่งเองก็กำลังรอสายเรียกเข้าจากหลิงหยุนอย่างใจจดใจ่อเพราะทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ถังเมิ่งก็รีบกดรับพร้อมกับถามขึ้นทันที
“พี่หยุน..เป็นไงบ้าง แล้วศัตรูของพี่ล่ะ?”
หลังจากได้ฟังน้ำเสียงและได้ยินคำถามของถังเมิ่ง หลิงหยุนก็สามารถเดาได้ทันทีว่าบ้านเลขที่-1 ของเขานั้นยังคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เขาจึงรู้สึกโล่งใจ และตอบกลับไปว่า
“พวกมันก็แค่สร้างปัญหาให้ฉันนิดหน่อยแต่ฉันฆ่าพวกมันตายหมดแล้ว!”
“พี่หยุน..พี่โคตรเก่งเลย!”
“นายเลิกประจบประแจงฉันได้แล้วทุกคนในบ้านเป็นยังไงกันบ้าง แล้วน้าหญิงล่ะ?”
การที่หลิงหยุนโทรหาถังเมิ่งทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการสังหารศัตรูนั้นแน่นอนว่าเขารู้สึกเป็นห่วงคนในครอบครัว..
“ก็ไม่มีอะไรมาก..แต่ดูเหมือนจะมีคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านสองคน น้าหญิงออกไปเจรจาให้กลับไป แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ยอมกลับ!”
หลิงหยุนถึงกับขมวดคิ้วและถามออกไปด้วยความสงสัย “ใครกันที่มา”
ถังเมิ่งยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า“พี่หยุน.. ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกนั้นวนอยู่ที่รั้วบ้านด้านนอก ดูเหมือนทั้งคู่จะเดินเบามากจนแม้แต่หมาสองตัวในบ้านยังไม่เห่าเลย แต่น้าหญิงกับเซียนเอ๋อก็พบเข้าจนได้..”
“แต่คนพวกนั้นไม่ได้เข้ามาในบ้านหรอกนะ..น้าหญิงสั่งให้เซียนเอ๋ออยู่ในบ้าน แล้วตัวน้าหญิงก็เป็นฝ่ายออกไปเจรกันกับคนพวกนั้นที่อื่น..”
หลิงหยุนได้ฟังถังเมิ่งเล่าก็นึกอยากกลับบ้านในทันทีเขารู้ว่าน้าหญิงสื่อสารกับคนทั้งคู่ผ่านทางจิต ถังเมิ่งจึงไม่ได้ยินอะไร
หลิงหยุนก็รู้สึกเป็นห่วงฉินตงเฉี่วยอย่างมากและเกรงว่านางจะตกอยู่ในอันตราย!
“แล้วนายรู้มั๊ยว่าน้าหญิงไปคุยกับคนพวกนั้นที่ใหน”
ถังเมิ่งตอบกลับทันที“เห็นเซียนเอ๋อบอกว่าไปที่ผาพยัคฆ์บนเขามังกร..”
“อ่อ..!นายช่วยไปบอกหลิงยู่กับทุกคนด้วยว่าฉันสบายดี บอกทุกคนไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี!”
หลิงหยุนพูดธุระจบแล้วก็จัดการเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ทันที..
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจในระหว่างที่เดินตรงไปยังกองลูกธนูเงินที่เจสเตอร์เก็บมาจากนั้นจึงจัดการเรียกลูกธนูเงินทั้งหมดเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที และนับได้ราวเจ็ดแปดสิบดอก..
หลังจากไม่ลืมที่จะเรียกปืนอีกราวสามสิบกระบอกเก็บเข้าไปด้วยแล้วหลิงหยุนก็ตะโกนสั่งเจสเตอร์
“เจสเตอร์พอแล้ว!พวกเรารีบกลับจิงฉูก่อน!”
หลิงหยุนไม่คิดที่จะอยู่บนในเทือกเขาเซียนเหยินหลิงทั้งคืนตั้งแต่แรกแล้วเขาเองก็ได้ประกาศออกทีวีว่าคืนนี้เขาจะมาสำรวจพื้นที่เท่านั้น..
“ว้าว..เยี่ยมเลยเจ้านาย!”
เจสเตอร์สยายปีกใหญ่ของมันออกทันทีและร้องถามขึ้นว่า “เจ้านาย.. จะทำอย่างไรกับศพของแวมไพร์มากมายนี้ดี”
หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหลังของเจสเตอร์พร้อมกับตอบไปว่า“ไม่ต้องไปสนใจ.. พระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ ร่างของพวกมันก็ต้องถูกแสงแดดแผดเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่านเองล่ะ..”
“แล้วถ้าศัตรูตามมาอีกล่ะเจ้านาย”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ“ถ้ามาจริงๆ ก็ดีน่ะสิ! จะได้ปล่อยให้พวกมันหาข้าอยู่ที่นี่ทั้งคืน..”
“เอาล่ะ..เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ตอบข้ามาว่าระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรนี้ เจ้าใช้เวลาในการบินนานเท่าไหร่”
เจสเตอร์กระพือปีกพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้านายที่เคารพ.. แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น!”
หากเป็นรถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงยังต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสองชั่วโมง แต่เจสเตอร์กลับใช้เวลาบินกลับเพียงแค่ยี่สิบนาที!
ด้วยความเร็วในการบินของเจสเตอร์ประกอบกับอยู่บนท้องฟ้าที่สูงมาก ระหว่างที่บินอยู่กลางอากาศจึงปะทะเข้ากับสายลมจนเกิดเสียงดังหวีดหวิวอยู่ตลอดเวลา และแม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่สายลมเบื้องบนกลับเย็นยะเยือกเสียดแทงมากเลยทีเดียว
ถึงกระนั้นก็ไม่ได้มีผลกับร่างกายของหลิงหยุนซึ่งผ่านการปรับสภาพมาแล้วสายลมที่หนาวเย็น และรุนแรงจึงไม่มีผลใดๆ ต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นหลังของเจสเตอร์เขาหลับตา และเริ่มเดินพลังลับหยิน-หยางเพื่อฟื้นฟูลมปราณภายใน
‘ยังต้องเจรจาอะไรกันก็แค่สังหารพวกมันให้หมด!’
……….
ในยามค่ำคืน..ณ ผาพยัคฆ์บนเขามังกร
ทั้งผาพยัคฆ์และเขามังกรต่างก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง แต่เนื่องจากเป็นคืนข้างแรม.. พระจันทร์จึงไม่สว่างไสวนัก นักท่องเที่ยวจึงน้อยกว่าทุกวัน
“แม่นางฉิน..พวกเรามาเจรจากับเจ้าดีๆ นี่เจ้าคิดว่าพวกเราไม่กล้าลงมือกับเจ้าหรืออย่างไร เจ้าควรจะต้องรู้ไว้ด้วยว่า เวลานี้คนที่ต้องการสังหารหลิงหยุนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ตระกูลซันกับตระกูลเฉินเท่านั้น!”
ชายร่างสูงสวมชุดสีเทาดูเหมือนจะเริ่มหมดความอดทนสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด และพูดจายะโสโอหังยิ่งนัก
“เจ้าเด็กหลิงหยุนนั่นไม่รู้จักคำว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมันทะนงจนกล้าถือกระบี่โลหิตแดนใต้ออกทีวีเพื่อประกาศให้ชาวยุทธภพได้รู้ การกระทำเช่นนั้นบ่งบอกว่ามันไม่ได้เห็นเหล่าชาวยุทธอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย แล้วเจ้าคิดว่าทุกคนจะยอมปล่อยมันไปอย่างนั้นรึ”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกจากปากชายชุดเทาชายที่สวมเสื้อผ้าในลักษณะเดียวกันก็ถึงกับหัวเราะคิกคัก บ้างก็ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมา!
ฉินตงเฉี่วยนั้นอยู่ในชุดซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าแพรไหมดำเวลานี้คิ้วของนาวยกสูงขึ้น ดวงตาเป็นประกายราวกับหยดน้ำ ในมือกำกระบี่ไว้แน่น ผมดำสลวยนั้นโบกสะบัดไปตามแรงลมพัด..
ฉินตงเฉี่วยไม่ได้สวมผ้าปิดบังใบหน้าไว้นางยืนมองยอดฝีมือตรงหน้าด้วยแววตาเย้ยหยัน และหันไปพูดกับชายชุดเทาด้วยเสียงที่ดังฟังชัด!
“ซันเทียนปา..เจ้าพูดจายะโสโอหังต่อหน้าข้าเช่นนี้ คงเพราะคิดว่าหากตระกูลซันกับตระกูลเฉินร่วมมือกันเช่นนี้แล้ว ตระกูลฉินของข้าคงจะต้องหวาดกลัวจนหัวหดสินะ!”
“วันนี้ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเจ้า..หลิงหยุนเป็นลูกชายของพี่สาวข้า เขาจึงนับเป็นคนของตระกูลฉิน หากตระกูลฉินจะปกป้องเขา พวกท่านจะทำอะไรได้”
ฉินตงเฉี่วยพูดพร้อมกับยกกระบี่ในมือชี้ไปทางชายชุดสีฟ้าที่ยืนอยู่ข้างซันเทียนปาและพูดต่อว่า..
“ส่วนเจ้า..เฉินไห่ซาน! เจ้าอย่าคิดนะว่าพวกเราตระกูลฉินจะไม่รู้ว่าตระกูลเฉินทำอะไรกับตระกูลเกาไว้บ้าง คนตระกูลเฉินมีจิตใจเช่นไร.. ทุกคนต่างก็รู้ดี อย่าให้ข้าต้องแจกแจง?”
เฉินไห่ซาน..ชายรูปร่างปานกลางสวมชุดสีฟ้า และตัวเล็กกว่าซันเทียนปาเล็กน้อย เฉินไห่ซานนั้นเปรียบเสมือนมันสมองของตระกูลเฉิน..
เมื่อเห็นฉินตงเฉี่วยชี้ปลายกระบี่มาทางตนเองเฉินไห่ซานกจึงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย และตอบไปว่า
“แม่นางฉิน..อย่าหาว่าข้าโอ้อวดเลยนะ เด็กหลิงหยุนผู้นี้.. ต่อให้เป็นตระกูลฉินก็ไม่อาจปกป้องมันได้!”
“หลิงหยุนกล้านำกระบี่โลหิตแดนใต้ไปออกทีวีเช่นนั้นเท่ากับสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตนเอง ท่านเองก็เป็นผู้ที่อยู่ในยุทธภพมานาน ย่อมต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คนของพรรคมารปรากฏตัว ก็จะสร้างความไม่สบายใจให้กับเหล่าชาวยุทธ ตอนนี้การกระทำของหลิงหยุน ได้สร้างความโกรธแค้นให้พวกเขาแล้ว!”
“ดังคำพูดว่า..รู้เอาตัวรอดเป็นยอดดี! แม่นางฉิน.. ข้าว่าตระกูลฉินควรเลิกปกป้องเด็กคนนี้ และทำตามกฏของยุทธภพจะไม่ดีกว่ารึ”
ฉินตงเฉี่วยทำเสียงเย้ยหยันพร้อมกับจ้องมองเฉินไห่ซานอย่างสนอกสนใจจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า
“เฉินไห่ซาน..สมแล้วที่เจ้าเป็นมันสมองของตระกูลเฉิน แต่คำพูดที่ว่ารู้เอาตัวรอดเป็นยอดดีนั้น ข้าขอมอบให้กับคนตระกูลเฉินนำไปคิดดูแทนก็แล้วกัน!”
เฉินไห่ซานขมวดคิ้วเข้าหากันและเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่นางฉิน..ข้าหวังว่าเจ้าจะรามือจากเรื่องนี้!”
“เจ้าก็รู้ว่าหลิงหยุนสังหารคนของเราสองตระกูลตายไปตั้งมากมายครั้งนี้มันได้กลายเป็นหนี้เลือดไปแล้ว หากเจ้ายังคิดที่จะปกป้องมันต่อไป ไม่เท่ากับว่าตระกูลฉินประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับพวเราสองตระกูลด้วยงั้นรึ”
ฉินตงเฉี่วยทำเสียงเย้ยหยัน“เป็นปรปักษ์กับเจ้า.. แล้วยังไง” ฉินตงเฉี่วยพูดพร้อมกับก้าวตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นเช่นกัน
“นี่เจ้า..!”
เฉินไห่ซานถึงกับโมโหอย่างมากเขาหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม่นางฉิน.. เจ้าคงไม่ได้คิดว่าที่พวกเรายอมเจรจากับเจ้า ก็เพราะเกรงกลัวตระกูลฉินหรอกนะ!”
“อย่าว่าแต่ตระกูลฉินเลย..ต่อให้เป็นสำนักดาบสวรรค์ของเจ้า หรือแม้แต่ตระกูลหนิงที่ซ่อนอยู่หลังตระกูลฉิน เจ้าคิดว่าพวกเราสองตระกูลจะหวาดกลัว จนไม่กล้าแตะต้องเจ้างั้นรึ!”
เฉินไห่ซานหรี่ตาเล็กน้อยและจู่ๆก็พูดขึ้นว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด.. สัญญาระหว่างตระกูลหนิงกับตระกูลฉินเมื่อสิบแปดปีที่แล้วคงใกล้มาถึงแล้วสินะ”
ฉินตงเฉี่วยดึงกระบี่ออกจากฝักทันที!
“เฉินไห่ซาน..เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”
หากเฉินไห่ซานไม่พูดถึงตระกูลหนิงฉินตงเฉี่วยก็คงไม่เป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน เมื่อได้ยินชื่อตระกูลหนิง ใบหน้างดงามของฉินตงเฉี่วยก็ซีดเผือด และเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
ดูเหมือนเฉินไห่ซานจะรู้ว่าการเจราครั้งนี้คงต้องล้มเหลวจึงตั้งใจยั่วให้ฉินตงเฉี่วยโมโหจนเป็นฝ่ายชักกระบี่ออกมาก่อน!
เฉินไห่ซานโบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ถ้าเช่นนั้น.. ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว!”