ภายในเวลาเพียงไม่นาน ก้อนแสงที่หมุนตัวกลางอากาศก็ค่อย ๆ หยุดตัวลง จากนั้นภาพของโฉมนารีงดงามผู้หนึ่งก็ปรากฏภายในก้อนแสงนั้น
รอยยิ้มลึกลับชวนมองและใบหน้างดงามไร้ที่เปรียบของนางทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก !”
แม้ทราบว่าภาพสตรีที่ปรากฏคือเทพมายาคนใหม่ ฉินเหว่ยก็อดกล่าวพร้อมถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความเสียดายไม่ได้ โฉมนารีผู้นี้งดงามยิ่งกว่าท่านป้าของเขาเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนไม่อาจหลุดพ้นหรือละสายตาไปได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษผู้ใดที่พบเห็น เชื่อว่าพวกเขาจะต้องตกตะลึงกับความงามนี้อย่างแน่นอน
ฉินเฟิงรู้จักสตรีผู้นี้ดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือภาพของฉินอวี้โม่ ศิษย์ผู้น้องของเขานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนก่อนเดินทางเข้ามาในเมืองมายา เพราะฉะนั้นต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้า ฉินเหยียนและฉินเหว่ยก็ไม่มีทางทราบได้
ฉินเหยียนหันไปลอบสังเกตท่าทางของฉินเฟิง และเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขายังคงแสดงถึงความใจเย็นสงบนิ่งและมิได้หวั่นไหวกับความงามของสตรีผู้นั้น นางก็โล่งใจเล็กน้อย ในขณะเดียวกันนางก็แอบคิดในใจว่าฉินเฟิงแตกต่างไปจากบุรุษคนอื่นอย่างแท้จริง
“ฮ่า ๆ ๆ แม่นางผู้นี้คงจะเป็นเทพมายาคนใหม่ ฉินเหยียน ฉินเฟิง พวกเจ้าเคยพบนางรึไม่ ?”
ฉินเหว่ยเอ่ยถามหลังจากเก็บก้อนแสงนั้น ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ก้อนแสงดังกล่าวตรวจจับได้เพียงว่าเทพมายาคนใหม่อยู่ในโลกมายาจริงและแสดงให้เห็นถึงรูปลักษณ์ของนาง ทว่ากลับไม่สามารถระบุพิกัดได้ว่านางอยู่ที่ใด
สิ่งนี้แตกต่างไปจากคำกล่าวอ้างก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“ข้าไม่เคยพบนางมาก่อน หากสตรีที่งดงามเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ข้าจะต้องจำได้ไม่ลืมแน่ แต่นี่ข้าไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ข้าเชื่อว่าข้าไม่เคยพบนางมาก่อน”
ฉินเหยียนส่ายศีรษะเบา ๆ แม้ว่านางไม่ชอบหน้าฉินเหว่ยผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ทว่านี่ก็เป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายโดยอาจารย์ของนาง นางจึงต้องทำให้ดีที่สุด
“ข้าก็ไม่เคยพบนางเช่นกัน”
ฉินเฟิงส่ายศีรษะก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำตอบของทั้งฉินเฟิงและฉินเหยียน ฉินเหว่ยก็พยักหน้าตอบรับ เขาเชื่อว่าคนทั้งสองคงไม่กล่าวเท็จแน่ เพราะว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เขาจะทราบถึงตัวตนที่แท้จริงและภารกิจของฉินเฟิงได้อย่างไร ?
“ในเมื่อพวกเราทราบแล้วว่านางมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร จากนี้ไปมันก็คงจะง่ายขึ้นมาก หลังจากที่เราออกไป จงสั่งให้คนวาดภาพและติดประกาศทั่วทุกมุมของโลกมายา ข้าจะเสนอรางวัลตอบแทนให้อย่างงาม ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่เคยมีผู้ใดพบหน้าโฉมนารีที่งดงามโดดเด่นเช่นนี้มาก่อน”
ฉินเหว่ยกล่าวขึ้นเบา ๆ สำหรับสตรีโฉมงามมิอาจลืมเลือนผู้นั้น เขาตั้งตารอพบหน้าอย่างมีความหวัง
ฉินเหยียนไม่กล่าวสิ่งใดทว่าเห็นด้วยกับวิธีการของฉินเหว่ย ตราบใดที่มีรางวัลตอบแทนเป็นสิ่งล่อตาล่อใจ เชื่อว่าในไม่ช้าก็จะต้องมีคนส่งข่าวมาอย่างแน่นอน
“ท่านผู้นำฉินเหยียน เกิดเรื่องแล้ว จู่ ๆ เมืองเพลิงมายา เมืองไม้มายาและเมืองทองมายาก็รวมตัวกันประกาศความจงรักภักดีต่อบรรพชนเทพมายาและต้องการขับไล่พวกเราออกไป ตอนนี้พวกเขาผนึกกำลังกันและพิชิตเมืองวารีมายาได้แล้วและเตรียมตัวเพื่อโจมตีเมืองมายาของเราเป็นเป้าหมายต่อไป”
เดิมทีนางต้องการอยู่ในหอคอยต้องห้ามสักระยะ ทว่าจู่ ๆ ฉินเหยียนก็ได้รับข่าวด่วนจากฉินหวยผ่านทางกระแสจิตและสีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของฉินเหยียน ฉินเหว่ยก็มองนางด้วยแววตาเย้ยหยันและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหอะ มีคนประกาศตัวสนับสนุนเทพมายาอย่างเปิดเผยและโจมตีพวกเรา ฉินขุย ฉินจินและฉินส่าวชิงทรยศพวกเราแล้ว พวกเขาถวายความจงรักภักดีต่อเทพมายาและต้องการจะขับไล่เราออกไป”
ฉินเหยียนแค่นเสียงเย็นชา นางไม่นึกสงสัยเลยสักนิดว่านี่คือกลยุทธ์ของฉินขุยและพวก
“พี่เฟิง เมืองวารีมายาของท่านถูกพวกกบฏยึดไว้แล้วและตอนนี้พวกเขากำลังผนึกกำลังเพื่อโจมตีเมืองมายา เราต้องออกไปข้างนอกและเข้าควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ฉินเหยียนก็รีบลงไปชั้นล่างทันที ฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตามลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่วนฉินเหว่ยก็เดินตามคนทั้งสองลงไปด้วยสีหน้ามีความสุข ในเมื่อโอกาสมาถึงเช่นนี้ เขาไม่มีทางพลาดที่จะเยาะเย้ยฉินเหยียนและฉินเฟิงอย่างแน่นอน
ทั้งสามออกจากหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็วโดยลืมเลือนผู้คนที่ยังอยู่ข้างในไปเสียสนิท พวกเขาไม่มีเวลาสนใจว่าทุกคนยังอยู่ในที่ที่ควรอยู่หรือไม่
“ฉินหวย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
ภายในจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองมายา ฉินหวยและคนอื่น ๆ ยืนเรียงกันด้วยสีหน้ากังวลอย่างปิดไม่มิด
แท้ที่จริงแล้วพวกเขาทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าแผนการของฉินขุยและพวกมิใช่ความลับที่ปิดบังจากพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีทางกล่าวความจริงออกไปอย่างแน่นอน
“พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเราเข้าไปในหอคอยต้องห้ามและอยากสำรวจไปรอบ ๆ ทว่าน่าแปลกที่พวกเราไม่พบฉินขุยและคนอื่น ๆ เมื่อกลับลงมา และทันทีที่พวกเราต้องการจะออกไปตามหาพวกเขา เราก็ได้รับข่าวมา หากข้าคิดไม่ผิด เกรงว่าพวกเขาเตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปในหอคอยต้องห้าม !”
ฉินหวยแสร้งแสดงสีหน้าและกล่าววาจาไม่รู้เรื่องรู้ราว ทว่าในหัวใจของเขาในเวลานี้แอบหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉินขุย ฉินจินและเลี่ยหยางจะถ่วงเวลาฉินเหยียนไว้ได้จนนางไม่มีเวลานึกถึงเรื่องของฉินอวี้โม่
“บัดซบ !”
ฉินเหยียนตบกระแทกโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยวและตะโกนเสียงดังออกมา “เจ้าสามคนนั่นไม่รู้ถึงชะตากรรมของคนที่ทรยศท่านอาจารย์รึ ?!”
แน่นอนว่าฉินหวยและคนอื่น ๆ มิได้ขัดจังหวะ ทว่ามองดูการกระทำของฉินเหยียนอย่างนิ่งเฉยไร้คำพูด
“ฉินเฟิง เมืองวารีมายาของท่านถูกยึดครองไปแล้ว ท่านควรจะอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว”
เมื่อพิจารณาสถานการณ์และมองไปที่ฉินเฟิง ฉินเหยียนก็รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก
“ไม่ได้หรอก ข้าอยากกลับไปที่เมืองวารีมายาก่อน มีบางสิ่งบางอย่างในเมืองวารีมายาที่ข้าต้องไปเอาด้วยตัวเอง”
ฉินเฟิงปฏิเสธและกล่าวถึงความตั้งใจของตนเองออกไป ทว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเพียงต้องการไปที่นั่นเพื่อตรวจดูสถานการณ์ปัจจุบันและถามให้แน่ชัดเกี่ยวกับแผนการในตอนนี้
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ระวังตัวด้วย”
ฉินเหยียนทราบดี ด้วยนิสัยใจคอและความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ต่อให้เจ้าเมืองทั้งสามจะร่วมมือกัน เขาก็สามารถเอาตัวรอดออกมาได้ นางจึงกล่าวเพียงสั้น ๆ เพื่อเตือนให้เขาระวังตัว
ฉินเฟิงพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนหันหลังกลับไปและมุ่งหน้าออกจากจวนทันที ร่างของเขาพุ่งตรงไปในทิศทางของเมืองวารีมายาอย่างรวดเร็ว
ฉินเหยียนก็จัดเตรียมบางอย่างกับฉินหวยและคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมที่จะปลิดชีพคนทรยศทั้งสาม
….
ในอีกฟากหนึ่งในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ในมิติพิเศษไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกแม้แต่น้อย
เป็นจริงดังที่คิดไว้ นางถูกส่งตัวไปยังห้วงมิติแห่งหนึ่งและภายในนั้นมีบางอย่างสำหรับปลดผนึกที่สองของกายเทพมายา
“ฮ่า ๆ ๆ สาวน้อยเอ๋ย พัฒนาการของเจ้าช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ข้านึกว่าจะต้องรอเจ้านานกว่านี้เสียอีก”
ภายในมิติพิเศษ ฉินอวี้โม่มองเห็นร่างที่งดงามและสง่างามน่าเกรงขามของฉินเฟยเหยียน—อดีตเทพมายา เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนางยังคงรออยู่ที่นี่
“ท่านอาจารย์…”
ฉินอวี้โม่คุกเข่าคำนับฉินเฟยเหยียนทันที ฉินเฟยเหยียนผู้นี้เปรียบเป็นดั่งอาจารย์ของนาง และก็เป็นผู้ที่ทำให้ชีวิตของนางประสบความสำเร็จจนมาถึงจุดนี้ได้
“ลุกขึ้นเถอะ เรามีเวลาไม่มาก เมื่อเจ้ารับเอาทุกอย่างของที่นี่ไป นางจะรู้สึกได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเจ้าต้องรีบดูดซับทุกอย่างเข้าไปโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็หาทางพิชิตโลกมายาให้จงได้ เมื่อถึงตอนนั้นตราบใดที่เจ้าทำลายหอคอยต้องห้ามแห่งนี้ นอกเหนือจากเส้นทางที่เจ้ารู้อยู่แล้ว มันก็จะไม่มีช่องทางอื่นให้เข้ามาที่โลกมายาได้อีก ต่อให้เป็นนางเอง นางก็ไม่ได้มีพลังอำนาจมากถึงในระดับนั้น”
แม้ว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ มันก็มิได้ส่งผลกระทบต่อสติปัญญาของฉินเฟยเหยียนแม้แต่น้อย นางอธิบายสั่งการตามลำดับและกล่าว “พลังนั้นจะรุนแรงสักหน่อย เพราะฉะนั้นการปลดผนึกที่สองจะเจ็บปวดไม่น้อย เจ้าจะต้องอดทนไว้ เอาล่ะ ข้ากำลังจะหายไปแล้ว…”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับทว่ามองฉินเฟยเหยียนด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ยังมีบางอย่างที่นางต้องการถามหาคำตอบ
“สาวน้อย เจ้าไม่ต้องถามอะไรหรอก บางสิ่งบางอย่างจะชัดเจนขึ้นเองเมื่อเจ้าปลดผนึกที่สามในร่างกายได้สำเร็จ เมื่อกายเทพมายาถูกปลุกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ นั่นจะเป็นเวลาของสงครามครั้งใหญ่ ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าจะสืบสวนและเข้าใจหลายอย่างได้แน่”
ฉินเฟยเหยียนเพียงยิ้มบาง ๆ และค่อย ๆ หายไปต่อหน้าต่อตาฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่มองไปยังจุดที่ฉินเฟยเหยียนหายไปก่อนเปิดกล่องที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ภายในกล่องใบนี้มีก้อนกลมสีดำก้อนหนึ่งวางอยู่บนผ้า
มือบางของฉินอวี้โม่ยกก้อนสีดำนั้นขึ้นจากกล่องและจู่ ๆ มันก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า จากนั้นนางก็สัมผัสถึงคลื่นพลังรุนแรงและทรงพลังพุ่งตรงเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วและไหลแล่นไปทั่วร่าง
พลังรุนแรงที่แล่นไปทั่วร่างทำให้นางเจ็บปวดอย่างที่สุด อย่างไรก็ตาม นางกัดฟันแน่นและค่อย ๆ นั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อดูดซับพลังรุนแรงนั้นเข้ามา…
….
ณ โลกภายนอก ฉินเฟิงใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ เพื่อเดินทางมาถึงเมืองวารีมายา
เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง เขาก็เห็นฉินขุยและอีกหลายคนก็กำลังนั่งอยู่ข้างในห้องโถงและกำลังหารือถึงเรื่องบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้น ? แล้วอวี้โม่ล่ะ ?”
เมื่อไม่เห็นศิษย์น้องของตน ฉินเฟิงก็ขมวดคิ้วมุ่นและเริ่มกังวลใจ
“ฉินเฟิง ท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อฉินเฟิงปรากฏตัว ฉินขุยและทุกคนก็ยืนขึ้นพร้อมกล่าวทักทาย
เลี่ยหยางเป็นคนแรกที่อธิบายคำสั่งก่อนหน้านี้ของฉินอวี้โม่ให้ฉินเฟิงได้ทราบ รวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่ยังอยู่ในหอคอยต้องห้าม ฉินเฟิงก็โล่งใจเล็กน้อย ทว่าการที่ฉินขุยและคนอื่น ๆ ยอมเปิดเผยตัวเองเพื่อถ่วงเวลาให้กับฉินอวี้โม่นั้น การกระทำเช่นนี้ก็ทำให้ฉินเฟิงซาบซึ้งใจไม่น้อย
“ขอบคุณสำหรับความทุ่มเทของพวกท่านทุกคน”
ฉินเฟิงกล่าวกับทุกคนและตบไหล่พวกเขาเบา ๆ
“มิใช่เรื่องที่ยากลำบากเลย ถึงอย่างไรอวี้โม่ก็ดีกับพวกเรามาก ไม่ว่าจะต้องทำสิ่งใด พวกเราก็ยินดี อย่างไรก็ตาม การที่นางยังอยู่ที่นั่นโดยไม่มีข่าวคราวใด ๆ ก็ทำให้เราเป็นกังวลขึ้นมาเช่นกัน”
ฉินขุย ฉินจินและเลี่ยหยางส่ายศีรษะเบา ๆ เพื่อยืนยันว่าการกระทำเช่นนี้มิใช่เรื่องที่ลำบากใจ ในอดีต ไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเททำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่เคยได้รับสิ่งตอบแทนหรือได้รับการปฏิบัติอย่างดีและเท่าเทียม พวกเขาโชคดียิ่งนักที่ได้พบกับฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งซาบซึ้งในการกระทำและมองพวกเขาเป็นดั่งมิตรสหายที่แท้จริง เพราะฉะนั้น ต่อให้จะต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเขาก็เต็มใจทำเพื่อนาง
“ไม่ต้องห่วง ฝั่งของอวี้โม่คงจะไม่มีปัญหาใด ๆ ข้าเป็นห่วงสถานการณ์ของฝั่งนี้มากกว่า”
ฉินเฟิงกล่าวพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้ฝ่ายฉินขุยและพวกจะมีคนมากกว่า ทว่าไม่มีผู้ใดทรงพลังเป็นพิเศษ ในทางกลับกัน ฉินเหยียนมีกำลังคนจำนวนน้อยกว่าทว่าก็มีพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก หากทั้งสองฝ่ายต้องประจันหน้ากัน ฝ่ายของฉินขุยจะต้องเจ็บหนักอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะถ่วงเวลาให้ฉินอวี้โม่ไม่ได้เท่านั้น ทว่าพวกเขาอาจต้องตายก่อนที่นางจะกลับออกมาด้วยซ้ำ
“ฉินเฟิง ไม่ต้องห่วง ในเมื่อพวกเรากล้าจุดชนวนสงครามเช่นนี้ เราย่อมมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง แม้ว่าฉินเหยียนและพวกจะรับมือได้ไม่ง่ายนัก ฝ่ายเราก็ยังมีท่านและฉินหวย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราสามารถรับมือและป้องกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่พวกเราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันอย่างซึ่ง ๆ หน้า มันก็ไม่ง่ายนักที่พวกเขาจะจัดการกับพวกเรา ข้าเชื่อว่าพวกเราจะถ่วงเวลาไว้ได้นานถึงครึ่งปี และในตอนนั้นอวี้โม่ก็น่าจะออกมาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น เราจะคว้าชัยในสงครามชี้ชะตาได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นท่านอย่าห่วงไปเลย”
ซูวั่งชวนกล่าว ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่มั่นใจในการเอาชนะฉินเหยียนและพวก ทว่าการถ่วงเวลาไว้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา
ฉินเฟิงพยักศีรษะอย่างจนปัญญา ในเมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้… เขาก็ทำได้เพียงเดินหน้าต่อสู้กับมันต่อไป !
.