ฉินอวี้โม่และคณะค่อย ๆ เดินตรงไปในห้องโถงและเห็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในนั้น
ฉินเหยียนยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์หลัก ในระดับต่ำกว่านางทางซ้ายคือผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรอง ส่วนทางขวาของนางคือกลุ่มผู้มาใหม่ห้าคนที่ฉินอวี้โม่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ผู้นำของคนกลุ่มนั้นคือบุรุษที่ดูชำนาญมากวิชาพอสมควร ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความโอหังที่ทำให้ผู้อื่นไม่ประทับใจนัก
ทว่าบุรุษผู้นี้ก็ดูจะมีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง
เขามีนามว่า ‘ฉินเหว่ย’ และอาจารย์ของฉินเหยียนซึ่งเป็นผู้ที่อยู่เบื้องบนคนนั้นคือป้าของเขา ความสัมพันธ์ดังกล่าวรวมถึงพรสวรรค์ที่เหนือธรรมชาติของเขาทำให้ผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบนชื่นชอบเขามาก เพราะฉะนั้นสถานะของเขาจึงจะไม่ต่ำกว่าทั้งฉินเหยียนและฉินเฟิงเลย หรืออาจจะถึงขั้นสูงกว่าด้วยซ้ำ
เขามีอายุไล่เลี่ยกับฉินเหยียนและฉินเฟิง ทว่ามีความแข็งแกร่งที่มากกว่าฉินเหยียนเสียอีก กอปรกับความเป็นที่โปรดปรานของผู้ยิ่งใหญ่เบื้องบน เขาจึงมีท่าทีที่ยโสโอหังมาโดยตลอด
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามา ฉินเหว่ยก็ชำเลืองมองคนเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดและกล่าวเสียงเรียบ “เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ในโลกมายาแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่ทรงพลังเป็นพิเศษ ความแข็งแกร่งโดยรวมของโลกมายานี้ด้อยกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก”
“นั่นมันธุระกงการของเรา ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล เจ้าเพียงแค่ต้องจัดการธุระของเจ้าที่นี่และกลับไปเท่านั้น”
จู่ ๆ ฉินเฟิงก็กล่าวแทรกวาจาที่ไม่น่าฟังของฉินเหว่ย
“ฉินเฟิง ข้าไม่เห็นหน้าเจ้ามานานนับร้อยปี เจ้ายังน่ารำคาญไม่เปลี่ยนเลย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังคงไม่คิดที่จะปกป้องดูแลฉินเหยียนเช่นเดิม”
เมื่อเห็นฉินเฟิง ฉินเหว่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบโตมา เขาและฉินเฟิงมีปัญหาขัดคอกันอยู่เสมอ ฉินเฟิงเป็นคนอ่อนโยน ใจเย็น พร้อมด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าเขา อีกทั้งฉินเฟิงก็เป็นที่นิยมชมชอบกว่าเขามาก
สตรีมากมายต่างก็แอบหมายปองฉินเฟิงอยู่ในใจแต่กลับเกลียดชังตัวเขา สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งริษยาและไม่พอใจเป็นที่สุด เขาหมายใจจะจัดการกับฉินเฟิงอยู่หลายครา ทว่าฉินเฟิงไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาราวกับไม่สำคัญเพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของตนด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าอากัปกิริยาเช่นนั้นทำให้เขาไม่ชอบหน้าฉินเฟิงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากการเผชิญหน้าหลายครั้ง เขาก็ไม่เคยเป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือกว่า เพราะฉะนั้น ต่อให้เขาจะเกลียดขี้หน้าฉินเฟิงมากเพียงใด เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกล้ำกลืนฝืนทน ทุกคราที่พบหน้าบุรุษผู้นี้ ฉินเหว่ยจึงมักจะกล่าววาจาหยามเหยียดเพื่อระบายความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีอยู่ในใจ
เมื่อได้ยินฉินเหว่ยกล่าวว่าฉินเฟิงไม่ปกป้องนางแม้แต่น้อย ฉินเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบุรุษผู้เป็นที่รัก ทว่าสีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกของเขาก็ทำให้นางได้แต่ส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างปลงตก
ถึงตอนนี้แล้วนางยังคาดหวังอะไรอีกหรือ ? ความรู้สึกของฉินเฟิงยังไม่ชัดเจนพออีกอย่างนั้นหรือ ?
“ฉินเหว่ย อย่ามัวแต่พูดพล่ามไร้สาระ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าข้าจะเป็นอย่างไร เจ้ามีหน้าที่แค่ทำภารกิจของตัวเองให้เสร็จสิ้นและรีบไปจากที่นี่เสีย”
ฉินเหยียนไม่ไว้หน้าฉินเหว่ยเลยสักนิดและกล่าวออกไปโดยไม่รอการโต้ตอบของฉินเฟิง
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว เราก็ควรเตรียมตัวเข้าสู่หอคอยต้องห้าม เจ้าบอกเองไม่ใช่รึว่ามีเพียงที่นั่นเท่านั้นที่เราจะสามารถเปิดอุปกรณ์วิเศษเพื่อตามหาตัวเทพมายาคนใหม่ได้ !”
หลังจากกวาดสายตามองทุกคน ฉินเหยียนก็ลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้าตรงไปยังประตู
ทุกคนเดินตามฝีเท้าของเจ้าเมืองมายาไปไม่ห่างโดยมิได้สนใจฉินเหว่ยเลยสักนิด
“เหอะ วันหนึ่งพวกเจ้าทุกคนที่กล้าต่อต้านข้าจะได้รู้ว่าจะต้องลงเอยเช่นไร !”
ฉินเหว่ยแค่นเสียงในลำคอขณะสายตาทอดมองไปในทิศทางที่ฉินเหยียนและฉินเฟิงเดินหายไป เขายืนนิ่งอยู่กับที่พักใหญ่ก่อนเดินตามไป
เขามิเคยลืมเลือนวาจาของท่านป้าที่เคยกล่าวไว้ หากเรื่องนี้เสร็จสิ้นและเขานำตัวเทพมายาคนใหม่กลับไปได้ สถานะของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นอีกขั้น เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่าจะเป็นฉินเหยียนหรือฉินเฟิง เขาก็ไม่ต้องเห็นหัวคนเหล่านั้นอีกต่อไป
‘หอคอยต้องห้าม’ จุดหมายปลายทางของพวกเขาทุกคนตั้งอยู่ในใจกลางของเมืองมายาซึ่งเป็นอาคารสูงตระหง่านเจ็ดชั้น
หอคอยต้องห้ามแห่งนี้ตั้งอยู่มานานนับตั้งแต่การกำเนิดของโลกมายา เพราะเหตุนั้นมันจึงถือเป็นสมบัติล้ำค่าและเป็นสัญลักษณ์ของโลกมายา
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบว่ามีสิ่งใดอยู่ในหอคอยต้องห้ามแห่งนี้ นั่นเป็นเพราะนับตั้งแต่มันปรากฏขึ้น มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่เคยได้เข้าไปข้างใน นอกเหนือจากผู้ปกครองของโลกมายาก็มีคนเพียงน้อยนิดที่ทราบวิธีเปิดหอคอยแห่งนี้
ในขณะที่เดินตามฉินเหยียนไปตามทางจนเข้าใกล้หอคอยต้องห้ามมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของฉินอวี้โม่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
สำหรับหอคอยต้องห้ามแห่งนี้ นางทั้งใคร่รู้และคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหอคอยต้องห้ามแห่งนี้มาก่อนและทราบดีว่านอกเหนือจากสิ่งที่ปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้ มันก็ยังมีของล้ำค่าอย่างผลึกหัวใจมายาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงเคยกล่าวไว้ว่าเขาสามารถพานางเข้าไปข้างในได้ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กังวลว่ามันอาจจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นจึงได้ปฏิเสธไป ทว่าเวลานี้การที่ทั้งสองสามารถเข้าไปที่นั่นได้อย่างเปิดเผย แน่นอนว่านางย่อมเตรียมความพร้อมไว้แล้ว
หากมีโอกาส ฉินอวี้โม่ตัดสินใจที่จะใช้เวลาอยู่ในหอคอยต้องห้ามแห่งนี้อย่างคุ้มค่า และจะกลับออกมาอีกครั้งเมื่อปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้สำเร็จ
ฉินเหยียนเดินนำฝูงชนมากมายมาถึงหอคอยเจ็ดชั้น มิอาจทราบได้ว่านางใช้กลไกหรือสิ่งใด ทว่าจู่ ๆ ประตูบานใหญ่ก็เปิดออกอย่างช้า ๆ
“ทุกคน ตามข้ามา หอคอยต้องห้ามแห่งนี้มีกลไกอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ทุกคนจะต้องระวังตัวให้มาก”
ฉินเหยียนก้าวเข้าไปเป็นคนแรกและกล่าวเน้นย้ำกับทุกคน
ร่างของฉินเหว่ยก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฝูงชนและเดินพรวดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองก็รีบเดินตามเข้าไปเช่นกัน
ส่วนฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็สบตากันอย่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายก่อนเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
ทันทีที่เข้ามาภายในหอคอยต้องห้าม ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง ราวกับว่ามีบางอย่างที่กำลังเรียกหานาง
นางไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองแม้แต่น้อย แน่นอนว่า ‘สิ่งนั้น’ ที่กำลังเรียกหานางคือสิ่งที่จะปลดผนึกชั้นที่สองในร่างกายของนาง
หลังจากสงบจิตสงบใจเล็กน้อยและพยายามสัมผัสถึงทิศทางของเสียงเรียกนั้น ฉินอวี้โม่ก็พบว่าความรู้สึกดังกล่าวแผ่ออกมาจากใต้ดิน
นางขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ทันที เห็นได้ชัดว่าหอคอยต้องห้ามแห่งนี้มีทั้งหมดเจ็ดชั้น ทว่ามันมีชั้นใต้ดินอยู่ด้วยรึ ?
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะด้วยความฉงนสงสัยและตัดสินใจที่จะหาโอกาสเอ่ยถามจากฉินเฟิงในภายหลัง
“ทุกคนแยกย้ายกันไปดูรอบ ๆ ได้ตามสบาย ข้าจะพาฉินเหว่ยขึ้นไปที่ชั้นเจ็ด”
หลังจากทุกคนเข้ามาในหอคอย ประตูก็ปิดลงอย่างอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม ข้างในหอคอยต้องห้ามแห่งนี้ก็ไม่ได้มืดเลยและมีแสงสว่างที่ส่องประกายอยู่ทั่วอาคาร
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเหยียน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ลอบสบตากันอย่างรู้ใจ ไม่คิดเลยว่าโอกาสที่เฝ้ารอจะมาถึงเร็วเช่นนี้
“ฉินเฟิง ท่านมากับพวกเรา”
เดิมทีฉินเฟิงตั้งใจจะไปกับฉินอวี้โม่ ทว่าเมื่อได้ยินฉินเหยียนกล่าวเช่นนั้น เขาทำได้เพียงพยักศีรษะอย่างมิอาจปฏิเสธ
ฉินเหว่ยแค่นเสียงเบา ๆ และขยิบตาส่งสัญญาณให้กับอีกสี่คนที่มากับ เขาก่อนเดินตามฉินเหยียนขึ้นไปที่ชั้นบนสุด
ครานี้จุดหมายของเขาคือชั้นที่เจ็ดของหอคอยต้องห้าม เขาจำได้ดีว่าท่านป้าของเขากล่าวไว้ว่าหอคอยต้องห้ามชั้นที่เจ็ดเต็มไปด้วยสภาวะพลังหนาแน่นและสิ่งที่เขานำมาด้วยจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้บนชั้นที่เจ็ดเท่านั้น
เมื่อถึงตอนนั้น ตราบใดที่ ‘สิ่งนั้น’ แผ่อิทธิพลออกไปทั่วทั้งโลกมายา พวกเขาก็จะทราบพิกัดของเทพมายาคนใหม่ได้อย่างแน่นอน
“ระวังตัวด้วยล่ะ”
ฉินเฟิงกล่าวทิ้งท้ายกับฉินอวี้โม่ก่อนแยกตัวออกไป อันที่จริง เขาไม่ชอบหน้าฉินเหว่ยเท่าไหร่นักและเป็นกังวลไม่น้อยหากต้องปล่อยให้ฉินเหว่ยและฉินเหยียนอยู่ด้วยกันตามลำพัง ดังนั้นเขาจึงติดตามไปแต่โดยดี
หลังจากทั้งสามมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบน คนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกระจายตัวกันออกไป
บรรดาผู้ที่มากับฉินเหว่ยแยกตัวมุ่งหน้าไปยังชั้นที่สูงกว่า นอกเหนือจากชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นเขตต้องห้ามสำหรับคนอื่นทั้งหมด พวกเขาวางแผนที่จะไปสำรวจดูชั้นที่หก หากพบสมบัติล้ำค่าใด ๆ พวกเขาก็อาจเก็บมาเป็นของตัวเองได้
“ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรอง เราขึ้นไปสำรวจชั้นบนกันเถอะ”
ฉินหวยกล่าวขึ้นเป็นคนแรก เขาได้ยินคำสั่งของฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิตว่าให้เขาหาทางชักชวนผู้อาวุโสทั้งสองไปที่ชั้นอื่น
“เป็นความคิดที่ดี”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักศีรษะเบา ๆ อย่างไม่ปฏิเสธ
จากนั้นฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปชั้นบนพร้อมด้วยผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองในขณะที่ฉินอวี้โม่อยู่ที่ชั้นล่างสุดต่อไป
“อวี้โม่ เราจะทำอย่างไรกันต่อไป?”
หลังจากสำรวจสถานการณ์โดยรอบและไม่มีผู้อื่นอีก ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเลี่ยหยางเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
ทั้งฉินขุยและฉินจินมองมาที่ฉินอวี้โม่เพื่อรอฟังแผนการต่อไปของนาง
“ข้าสัมผัสถึงได้ถึงเสียงเรียกที่คุ้นเคย ทว่ามันเหมือนจะมาจากใต้ดิน ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ข้าจะตามหาแหล่งที่มาของเสียงเรียกนั้น”
ฉินอวี้โม่ไม่ปิดบังจากคนเหล่านี้และบอกพวกเขาถึงสิ่งที่สัมผัสได้ทันที
“ใต้ดินงั้นรึ ?”
ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาไม่เคยทราบเลยว่าหอคอยต้องห้ามแห่งนี้มีชั้นใต้ดินอยู่ด้วย
“ข้าเชื่อในสิ่งที่ข้ารู้สึก”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนเดินตรงไปในทิศทางหนึ่ง
ฉินขุยและคนอื่น ๆ พยักศีรษะก่อนเดินตามไปเช่นกัน
หลังจากมุ่งหน้าไปตามทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอคอยต้องห้ามได้ในระยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าเสียงเรียกที่คุ้นเคยนั้นมาจากใต้เท้าของตนนี่เอง
“เลี่ยหยาง ฉินขุยและฉินจิน หากต่อจากนี้เกิดสิ่งใดที่ไม่คาดคิด อย่าตื่นตระหนกไป หากข้ายังออกไปจากหอคอยนี้ไม่ได้ พวกท่านก็ออกไปกันก่อนเลย หลังจากที่ออกไปก็หารือกับศิษย์พี่และหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจมิให้ฉินเหยียนและพวกเขาค้นพบว่าข้ายังอยู่ในหอคอย หลังจากที่ข้าปลดผนึกได้สำเร็จ ข้าจะกลับออกไปเอง”
ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่านางน่าจะถูกส่งไปยังมิติพิเศษสักระยะ เพราะเหตุนั้นนางจึงเริ่มเตรียมการล่วงหน้า
บุรุษทั้งสามพยักศีรษะและเชื่อฟังคำของฉินอวี้โม่อย่างไม่คัดค้าน
ฉินอวี้โม่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าจู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดทรงพลังอย่างผิดปกติมาจากใต้ฝ่าเท้า จากนั้นแรงดึงดูดนั้นก็ดึงร่างของนางลงไปอย่างง่ายดายโดยที่ปราศจากแรงต้านทานใด ๆ
ก่อนที่เลี่ยหยางและอีกสองคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเขาก็เห็นฉินอวี้โม่ที่หายวับไปตรงหน้าของพวกเขาแล้ว พวกเขาได้แต่ยืนมองด้วยสีหน้าที่ตกใจ
“ไม่ต้องห่วง อวี้โม่น่าจะถูกส่งไปที่มิติพิเศษสักแห่ง มิติที่ว่านั้นน่าจะอยู่ใต้ดินและมีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าไปได้”
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ฉินขุยก็กล่าวขึ้นเบา ๆ เพื่อให้เลี่ยหยางและฉินจินสงบจิตใจลง
“ถ้าเช่นนั้นเราควรจะทำอะไรต่อไป ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินขุย ทั้งสองก็เกิดความกังวลเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขามิได้กังวลหรือเป็นห่วงความปลอดภัยของฉินอวี้โม่ เพียงแต่กังวลว่าหากฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ไม่เห็นฉินอวี้โม่หลังจากนี้ มันอาจก่อให้เกิดความสงสัยได้
“ทำตามที่อวี้โม่สั่งการไว้เถอะ หากต้องการให้ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ลืมเกี่ยวกับเรื่องของอวี้โม่ พวกเราก็ต้องสร้างสถานการณ์บางอย่างขึ้นมา”
ฉินขุยไตร่ตรองครู่ใหญ่ก่อนที่ทางแก้จะผุดขึ้นในหัวของเขา หลังจากหารือกับฉินจินและเลี่ยหยาง ทั้งสามก็พยักศีรษะเป็นการยืนยันแผนการของตน
เวลานี้ ฉินเหยียนและอีกสองคนก็มาถึงชั้นที่เจ็ดของหอคอยต้องห้ามแล้วและไม่ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่างเลยสักนิด
ก้อนแสงก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของฉินเหว่ย จากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่หน้าต่างมุมหนึ่งและโยนก้อนแสงนี้ออกไป
ทันทีที่มันถูกโยนออกไป แสงสว่างเจิดจ้าอย่างน่าประหลาดก็แผ่ออกมาจากก้อนแสงดังกล่าวและหมุนวนกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ อีกไม่นานข้าก็จะได้รู้ตำแหน่งของเทพมายาคนใหม่แล้ว”
ฉินเหว่ยยิ้มอย่างมีชัยและเฝ้ารออย่างใจเย็น เขาเชื่อว่าเทพมายาคนใหม่จะไม่มีทางรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของตนได้อย่างแน่นอน
.