ตอนที่ 652 เสวยกระยาหารค่ำ
หงซีถือสำรับอาหารและประคองอวิ๋นเซียงฉือเดินเข้าไปเงียบๆ
ซูกงกงเพียงส่งพวกนางด้วยสายตาแต่ไม่ได้เข้าไปด้วย เขายืนอยู่ข้างหน้าประตู ขันทีผู้น้อยเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถามว่า
“ซูกงกง อวิ๋นผินเสด็จมาไม่ต้องแจ้งหรือขอรับ ฝ่าบาทจะไม่ทรงลงโทษหรอกหรือ”
ซูกงกงมีความสุขขึ้นมา เขาเคาะหน้าผากขันทีผู้น้อยคนนั้นพูดว่า
“อยู่ตำหนักเจิ้งหยางมานานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือว่าเวลาอวิ๋นผินเสด็จไม่ต้องแจ้ง หัดให้หัวไวกว่านี้หน่อย แล้วก็รู้ให้เท่าทันความคิดของฝ่าบาทด้วย นั่นคืออวิ๋นผินที่ทรงสามารถโน้มน้าวฝ่าบาทได้เชียวนะ จะเหมือนกับพระชายาทั่วไปที่ไหน โง่จริงๆ”
ซูกงกงยังไม่ทันได้พูด เสี่ยวลี่จื่อกงกงก็รีบสั่งสอนขึ้นมาก่อน ซูกงกงฟังแล้วผงกหัวพูดว่า
“เจ้านี่ไม่ได้เจอเพียงไม่กี่วันรอบรู้ขึ้นนะนี่ แต่พอเรื่องที่ใช้ให้เจ้าทำ ทำไมจึงไม่เข้าใจ ทีสอนคนอื่นละก็ไวนักเชียว”
เสี่ยวลี่จื่อกงกงรีบพูดขึ้นด้วยความเกรงใจเกินเหตุว่า
“อาจารย์สอนสั่งชอบแล้วขอรับ เรื่องซูเฟยกับหรูอี้กงกงไม่ต้องให้ข้าน้อยจัดการแล้วมิใช่หรือขอรับ ท่านอาจารย์บอกว่าข้างในน้ำลึกเกินไป ให้รีบวิ่งออกมามิใช่หรือขอรับ”
เสี่ยวลี่จื่อมองดูซูกงกงด้วยความกระหยิ่ม ซูกงกงแค่นหัวเราะ
“เจ้าเด็กโง่ นั่นมันเมื่อก่อน ส่วนตอนนี้น่ะจะต้องรับใช้อวิ๋นผินให้ดีเฉกเช่นเดียวกับรับใช้ฝ่าบาทเลยทีเดียว เพราะพระองค์เป็นคนสำคัญที่สุดของฝ่าบาทเชียวนะ”
ซูกงกงพูดจบก็เดินจากไป เสี่ยวลี่จื่อมองไปยังตำหนักหน้าแล้วส่งอาจารย์ออกไปด้วยสายตาในที่สุด เขาพยักหน้าอย่างดูเหมือนจะรู้แต่ก็เหมือนไม่รู้ แล้วหมุนกายกลับเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยาง
วันนี้ไม่ใช่เวรของซูกงกง แต่เป็นลี่กงกงที่จะอยู่กับหรงจิง
พอเซียงฉือเดินเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยางก็มองไปในทิศทางของหรงจิง เห็นเขากำลังก้มหน้าก้มตาตรวจอ่านรายงานอยู่อย่างตั้งใจ จึงส่งสัญญาณให้หงซีกูกูจัดเรียงอาหารให้เรียบร้อย
อวิ๋นเซียงฉือเห็นหงซีจัดการแล้วจึงค่อยๆ เดินเข้าไปที่ข้างกายหรงจิง
ย่อตัวลงต่ำทำความเคารพ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
หรงจิงได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นเซียงฉือย่อตัวทำความเคารพอยู่จึงรีบลุกขึ้น
“เจ้าควรต้องพักผ่อนอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋ เหตุใดจึงมาที่นี่ในเวลานี้”
หรงจิงเดินไปด้านหน้าโต๊ะยื่นมือประคองนางขึ้นมา โอบนางไว้แล้วพูดขึ้นอย่างน่าสงสารว่า
“เมื่อเช้าฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่ก็ย้ายออกจากตำหนักเจิ้งหยาง จะทำให้เราเป็นห่วงใช่หรือไม่”
อวิ๋นเซียงฉือจับมือหรงจิง ยิ้มแล้วพูดว่า
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลพระทัยเพคะ หม่อมฉันมีตำหนักแล้วจึงไม่เหมาะที่จะรบกวนฝ่าบาทอีก ตำหนักเจิ้งหยางกับตำหนักเฟิ่งอี๋อยู่ใกล้กันที่สุด หม่อมฉันคิดถึงพระองค์จึงได้มาเฝ้าเพคะ”
อวิ๋นเซียงฉือประคองมือหรงจิง ค่อยๆ พาเดินไปยังโต๊ะเล็กด้านข้าง
หรงจิงไม่ได้คิดอะไร แต่พอไปเห็นบนโต๊ะมีอาหารตั้งอยู่ จึงส่ายหน้าพูดว่า
“ซูกงกงชักบังอาจใหญ่แล้ว เขาวิ่งไปร้องทุกข์กับเจ้าเช่นนั้นหรือ”
อวิ๋นเซียงฉือปิดปากหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า
“เป็นหม่อมฉันเองเพคะที่คิดจะมาเฝ้าฝ่าบาท แล้วก็ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทยังมิได้เสวยพระกระยาหารเลย หม่อมฉันกลัวว่าพระวรกายฝ่าบาทจะรับไม่ไหวจึงขอจากซูกงกงมา ฝ่าบาทอย่าได้ทรงตำหนิเขาเลยเพคะ”
หรงจิงบีบมือนางยิ่งรู้สึกปวดใจจึงพูดว่า
“เอาล่ะๆ วันนี้เราแค่เพียงไม่อยากอาหาร เลยทำให้เจ้าต้องมาถึงนี่”
อวิ๋นเซียงฉือดึงให้หรงจิงนั่งลงแล้วยกชามขึ้น ค่อยๆ คนแล้วตักซุปไข่มุกขึ้นช้อนหนึ่งยื่นไปเบื้องหน้าหรงจิง หรงจิงก็อ้าปาก
แล้วยิ้มอ่อนโยน
“ในเมื่อหม่อมฉันมาแล้ว หากฝ่าบาทจะทรงเอ็นดูสงสารก็ขออย่าได้ทรงให้หม่อมฉันต้องเสียเที่ยวเปล่า เสวยสักหน่อยเถิดเพคะ อย่าให้หม่อมฉันต้องห่วงใยเลยเพคะ”
หรงจิงพยักหน้าแล้วรับโจ๊กหยกเรืองรองช้อนหนึ่งจากอวิ๋นเซียงฉือ รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น
ตอนที่ 653 วันเวลาที่อยู่เป็นเพื่อน
อวิ๋นเซียงฉือเห็นหรงจิงเชื่อฟังเช่นนี้ก็ยิ้มกว้างขึ้น หงซีกูกูจึงพานางกำนัลกับขันทีอื่นๆ ออกไป ปล่อยเวลาที่หาได้ยากในตำหนักฉินเจิ้งไว้ให้อวิ๋นเซียงฉือกับหรงจิงสองคน
“ไหนฝ่าบาทตรัสว่าไม่ทรงอยากอาหาร แต่หม่อมฉันป้อนก็เห็นเสวยได้อร่อยนี่เพคะ”
หรงจิงมองอวิ๋นเซียงฉือแล้วจับเส้นผมนุ่มสลวยของนางเล่นเบาๆ
“เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ หากมิใช่เพราะรู้จะจงใจมาที่นี่หลังฟ้ามืดแล้วเช่นนั้นหรือ”
อวิ๋นเซียงฉือยิ้ม เงยหน้าขึ้นน้อยๆ รอยยิ้มยิ่งเกลื่อนใบหน้า
“หม่อมฉันไม่ทราบๆ จริงๆ เพคะ ฝ่าบาททรงต้องการให้หม่อมฉันทราบหรือเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่คิดถึงฝ่าบาทคิดถึงอย่างยิ่ง ฝ่าบาทจะทรงจูงมือไปกับหม่อมฉันจนแก่เฒ่ามิใช่หรือเพคะ”
หรงจิงมองอวิ๋นเซียงฉือแล้วพยักหน้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง อวิ๋นเซียงฉือโอบอ้อมต่อเขา เข้าใจเขา ดังนั้นเขาจึงได้รักใคร่เช่นนี้
ถ้าหากนักเดินหมากมีใจปฏิพัทธ์ในตัวหมากแล้ว แสดงว่าตัวหมากนั้นจะไม่ใช่ตัวหมากธรรมดาอีกต่อไป
หรงจิงกำลังละอายใจ แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ อวิ๋นเซียงฉือเข้าใจเขา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฝ่าลมและหิมะเพื่อมาที่นี่ในเวลานี้
หรงจิงค่อยๆ ลูบไล้ใบหน้านางราวกับของล้ำค่าที่เขารักจนไม่อาจละมือได้ ทั้งความรักสงสารที่มีต่อนางก็ยิ่งมากขึ้นทุกที
“คืนนี้ก็อยู่เสียที่นี่เลย”
อวิ๋นเซียงฉือยิ้มน้อยๆ ไม่พูดจา ก้มหน้าลง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้น
นิ้วมือหรงจิงทาบอยู่บนนิ้วมือเรียวบางของอวิ๋นเซียงฉือ ค่อยๆ กุมแน่นขึ้นช้าๆ
“รับพระบัญชาเพคะฝ่าบาท”
หรงจิงยิ้มน้อยๆ เขาเรียกหงซีเข้ามาสั่งว่า
“โมโมช่วยจัดการยวนหรงถังสักหน่อย อวิ๋นผินถวายงานบรรทมไม่ต้องลงบันทึก”
หงซีกูกูยิ้มอ่อนโยน ผงกศีรษะแล้วออกไป
หรงจิงหันกลับมาพูดกับเซียงฉือว่า
“ยังมีรายงานอีกหน่อยที่ยังจัดการไม่เสร็จ เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า ไปพักผ่อนเถอะ”
เซียงฉือพลิกมือจับหรงจิงไว้แล้วส่ายหน้า ปิ่นไข่มุกสองอันบนศีรษะส่งเสียงใส หรงจิงเลิกคิ้วถามว่า
“เป็นอะไรไป จัดการเช่นนี้เจ้าไม่ชอบใจหรือ เราจะรีบจัดการงานเสร็จแล้วจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า เป็นอย่างไร”
อวิ๋นเซียงฉือยังคงส่ายหน้าพูดว่า
“ลี่กงกงนำหนังสือของหม่อมฉันมาแล้ว หม่อมฉันจะอ่านหนังสือเป็นเพื่อนฝ่าบาทที่นี่เพคะ”
หรงจิงยิ้มอย่างจนปัญญา สุดท้ายได้แต่ผงกศีรษะ เซียงฉือนั่งลงในที่ๆ เคยเป็นของนางมาก่อน
ถึงอวิ๋นเซียงฉือจะกลายเป็นอวิ๋นผินไปแล้ว แต่ตำแหน่งนี้ก็ยังไม่มีใครมารับช่วงแทน ตลอดมาหรงจิงยังคงเก็บที่ตรงนี้ไว้ให้อวิ๋นเซียงฉือ
เซียงฉือเอนบนเบาะนุ่มพลิกหน้าหนังสือเบาๆ บางครั้งก็เงยหน้าขึ้น เห็นหรงจิงตั้งใจอ่านรายงานคิ้วขมวด แล้วจมลงสู่ความคิดหนัก
นางจุดธูปหอมช่วยให้จิตใจสงบขึ้นที่ข้างกายหรงจิง ไม่ใช่เพราะอื่นใดแต่เพื่อไม่ให้หรงจิงปวดศีรษะ หรงจิงได้กลิ่นที่คุ้นจมูกจึงเงยหน้ามองไปทางเซียงฉือ ดวงตาเปล่งประกาย
“เรากำลังกลุ้มใจกับพวกผู้ลี้ภัยที่นอกกำแพงนั่น นี่ใกล้จะปีใหม่เต็มที ฑูตจากประเทศต่างๆ จะมาเข้าเฝ้าในอวิ๋นหยางถ้าเห็นสภาพการณ์เช่นนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะสม เจ้าลองช่วยออกความเห็นให้กับเราหน่อยสิ”
เซียงฉือฟังแล้วก็ถอนใจคิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ เช่นกัน นางสั่นหัวลุกขึ้น เดินเข้าไปด้านหลังหรงจิงพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะว่าเหตุใดจึงมีผู้ลี้ภัยมากมายที่นอกกำแพงเมืองนั่น เพราะเหตุใดพวกเขาจึงได้มา ฝ่าบาททรงเคยทำความเข้าพระทัยให้ถ่องแท้หรือไม่เพคะ”
เซียงฉือพูดพลางทาบลงไปบนไหล่ของหรงจิง อิงศีรษะของนางกับเขา เขย่าหลังมือสองข้างเบาๆ หรงจิงจับมือที่วุ่นวายของนางไว้ถามว่า
“เพราะเหตุใดหรือ”
เซียงฉือยิ้มแล้วตอบว่า
“ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรือเพคะว่าเป็นเพราะฝ่าบาททรงใช้เวลาอยู่ในวังนานเกินไป พวกขุนนางใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ได้แต่คาดคิดเดาเอาเอง หากมีพระประสงค์จะทรงทราบ ก็ต้องเสด็จไปสอบถามพวกเขาสิเพคะ”