ตอนที่ 654 คำพูดข้างหมอน / ตอนที่ 655 ชมเหมยกลางหิมะ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 654 คำพูดข้างหมอน 

 

 

หรงจิงส่ายหน้า 

 

 

“เราเป็นฮ่องเต้จะให้ออกจากวังไปง่ายๆ ได้อย่างไร หากจะออกจากวังคงเป็นเรื่องสั่นสะเทือนราชสำนักเป็นแน่ เจ้าอย่าได้เพ้อฝันเรื่องปลอมตัวออกเยี่ยมเลย เราจะเชื่อเพียงพวกคนที่เราจัดไว้เป็นหูตาแทนเท่านั้น ถึงกระนั้นก็อาจมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือยิ้มน้อยๆ ตอบว่า 

 

 

“ตอนที่หม่อมฉันหลบหนีการไล่ล่าอยู่นั้นได้ฟังจากปากชาวบ้านพวกนั้นมาบ้าง เกี่ยวกับสาเหตุที่ต้องอพยพหนีภัยในครั้งนี้เพคะ” 

 

 

เซียงฉืออิงร่างหรงจิงพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล 

 

 

“เรื่องแรกเป็นข่าวลือเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดกินคนมากมายที่ออกมาจากเทือกเขาสวินหลง ดังนั้นราษฎรจากจิ้งโจวที่อยู่ใกล้เทือกเขาสวินหลงจึงถอยร่นลงมาทางใต้ เรื่องนี้จะต้องมีคนคอยปลุกปั่นอยู่เป็นแน่ ส่วนสาเหตุของเรื่องคงต้องมีการปรึกษาหารือเพคะ” 

 

 

“เรื่องที่สองเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ ความตั้งพระทัยเดิมของฝ่าบาทคือการอพยพราษฎรของชิงโจวเจียงโจวไปอยู่ที่อื่น ซึ่งจะทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลกับปัญหาน้ำท่วม สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขซึ่งเป็นเรื่องที่ดี” 

 

 

เซียงฉือขมวดคิ้วพูดว่า 

 

 

“แต่ไม่รู้ว่าข้าราชการในชิงโจวกับเจียงโจวไปได้ข่าวนี้มาจากไหนจึงคิดจะอพยพราษฎรก่อนตามวิธีการของเมิ่งอี้ถิงแต่เพราะกำลังของพวกเขามีจำกัด ตอนแบ่งที่ดินจึงค่อยพบความยากลำบากในการจัดสรร ดังนั้นจึงให้ราษฎรที่อยู่เดิมย้ายกลับไป แต่เพราะเขื่อนที่ชิงเจียงถูกน้ำทำลาย ทำให้พวกเขาไร้บ้าน ดังนั้นจึงต้องตามกระแสมาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องมีสาเหตุ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วผงกศีรษะ ถามว่า 

 

 

“ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผล แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาด่วนเฉพาะหน้าได้อย่างไร” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือขบริมฝีปากแล้วพูดว่า 

 

 

“ใครผูกเรื่องนี้ก็ต้องให้เป็นคนไปแก้เพคะ ส่วนราษฎรชิงโจวในเมื่ออพยพออกมาแล้วก็มิสู้ส่งไปยังเอี้ยนโจวกับฉงโจว ฝ่าบาททรงดำริให้ทำการสร้างเส้นทางขนส่งทางน้ำตอนเริ่มฤดูใบไม้ผลิปีหน้านี้มิใช่หรือเพคะ ผู้ลี้ภัยเหล่านี้สามารถให้เป็นช่างฝีมือได้ ให้เข้าร่วมในการก่อสร้างเขื่อน ตอนนี้เพียงส่งทหารที่ประจำการอยู่ในเอี้ยนโจวให้คอยดูแลพวกเขาก็ได้แล้วเพคะ”       

 

 

หรงจิงพยักหน้าแล้วพูดว่า 

 

 

“ฤดูหนาวแม้จะยาวนาน แต่เส้นทางลงใต้แถบแม่น้ำจั๋วยังนับว่าอบอุ่น หลังปีใหม่อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นทุกวัน ไม่เกินหนึ่งเดือนก็สามารถลงมือก่อสร้างได้แล้ว หากไม่นับค่าจ้าง ลำพังเรื่องกินอยู่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าหนึ่งเดือนนี้ ผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาล ค่าใช้จ่ายก็หนักหนาเอาการ” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ก็ต้องให้ใช้ภาษีที่นาและอื่นๆ ของเจียงโจวชิงโจว เปิดโรงข้าวสงเคราะห์ผู้ประสบภัยของพวกเขา ในเมื่อเรื่องนี้เกิดจากอุทกภัยในเจียงโจวกับชิงโจว เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงสั่งการให้ข้าราชการของทั้งสองแห่งเก็บภาษีผลผลิต หากไม่สามารถทำได้ก็ปลดตำแหน่งพวกเขาเสีย” 

 

 

หรงจิงยิ้มแล้วตบหลังมือเซียงฉือพูดว่า 

 

 

      “วิธีการนี้ของเจ้าไม่เลวเลย เราเรียกหยางกั๋วกงให้เป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไร” 

 

 

หรงจิงพูดเช่นนั้น อวิ๋นเซียงฉือหันหน้ากลับไปหอมแก้มหรงจิง 

 

 

“เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือเลิกคิ้วพูดว่า 

 

 

“หม่อมฉันเห็นว่าแม่ทัพมู่หรงจะเหมาะสมกว่าเพคะ เขาตั้งมั่นอยู่ในตะวันตกเฉียงใต้มานานปี ขุนนางในเจียงโจวกับชิงโจวต่างขยาดความร้ายกาจของเขา มีอำนาจและน่าหวั่นเกรงกว่าหยางกั๋วกงเพคะ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง” 

 

 

หรงจิงโอบแขนอวิ๋นเซียงฉือถามอีกว่า 

 

 

“แล้วเหตุผลที่สองคืออะไร” 

 

 

เซียงฉือพูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องมีการล่วงเกินผู้คนกันบ้าง หม่อมฉันสำนึกขอบคุณหยางกั๋วกงที่พูดแทนหม่อมฉันในวันนั้น จึงไม่ต้องการให้เขาต้องตกเป็นเป้าในการโจมตีของผู้อื่น ก็เลยคิดผลักให้ผู้อื่นไปทำเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง เซียงฉือละความอาย นางกอดศีรษะหรงจิงพึมพำเบาๆ 

 

 

หรงจิงยังคงยิ้ม เขายื่นมือออกลูบไล้ผิวพรรณอ่อนนุ่มของเซียงฉือพูดว่า 

 

 

“แล้วที่จูบเราทีหนึ่ง หมายความว่าอย่างไร” 

 

 

เซียงฉือมีความสุข นางพูดอย่างเอียงอายว่า 

 

 

“ไม่ใช่ว่ากันว่าหม่อมฉันทูลข้างหมอนได้เก่งที่สุดหรอกหรือ หม่อมฉันจึงเพียงทดสอบว่าสามารถใช้การได้หรือไม่เท่านั้นเพคะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 655 ชมเหมยกลางหิมะ 

 

 

หรงจิงฟังจบยิ่งหวานซึ้งใจ ยื่นมือออกไปดึงเซียงฉือประคองเข้ามาที่ข้างกาย 

 

 

สวมกอดและจ้องดวงตานาง ก้มหน้าลงเบาๆ ประทับจูบลงบนใบหูนาง เผยอริมฝีปากขบฟันลงช้าๆ กัดโดยมิได้ออกแรง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ 

 

 

“คำพูดข้างหมอนของเจ้าทำให้เราสบายใจอย่างยิ่ง เราตัดสินใจแล้วจะยอมรับไว้ทั้งหมด” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วแดงซ่านไปทั้งใบหู นางยิ้มน้อยๆ พูดขึ้นว่า 

 

 

“เช่นนั้น เป็นพระกรุณายิ่งเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วอุ้มเซียงฉือเดินไปยังตำหนักที่ด้านหลัง 

 

 

หงซีกูกูจัดการทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ เมื่อปล่อยผ้าม่านลงแล้วก็นำคนทั้งหลายออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงอวิ๋นเซียงฉือที่ขวยอายกับหรงจิงเพียงสองคน 

 

 

“หม่อมฉันได้ยินมาว่า วันนี้ฝ่าบาททรงให้เฆี่ยนใต้เท้าสองคนในราชสำนักอย่างสยดสยองยิ่งนักเพคะ” 

 

 

หรงจิงบีบมือน้อยอ่อนนุ่มของนางพูดว่า 

 

 

“ขุนนางพวกนั้นอย่างไรก็ต้องเฆี่ยนตีสักหน่อย หรือว่าเจ้าสงสารขึ้นมา” 

 

 

ในคำพูดเจือคำหยอกเย้า เซียงฉือเคืองขึ้นเล็กน้อยแล้วซุกอยู่ในอ้อมกอดของหรงจิง 

 

 

“เมื่อคืนฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อย ทั้งวันนี้ยังทรงจัดการราชกิจทั้งวัน หม่อมฉันจะนวดถวายนะเพคะ” 

 

 

หรงจิงกอดนางไว้รู้สึกเสียดาย แต่ว่าเซียงฉือลุกขึ้นไปแล้ว เขาจึงไม่รั้งนางแล้วเอนกายสงบเงียบอยู่ในอ้อมอกอวิ๋นเซียงฉือ เพียงครู่เดียวก็หลับไปอย่างสงบ 

 

 

เมื่อเซียงฉือเห็นหรงจิงหลับแล้วจึงนำหมอนมาให้หรงจิงรองหนุน จากนั้นจุดธูปหอมนิทรา แล้วเดินแผ่วเบาออกนอกประตูห้องไป 

 

 

หงซีกูกูเห็นเซียงฉือออกมาก็ตกใจรีบถามขึ้นอย่างสงสัย 

 

 

“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้อวิ๋นผินถวายงานบรรทมทั้งไม่ต้องเสด็จกลับตำหนัก เหตุใดจึง” 

 

 

เซียงฉือยื่นมือไปหยุดคำพูดที่หงซีกูกูจะพูดต่อ เมื่อดึงนางออกห่างจากห้องแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“ข้าเพิ่งแท้งจะถวายงานบรรทมได้อย่างไร หมัวหมัวจำไม่ได้หรอกหรือ” 

 

 

เซียงฉือมองดูรอบข้างแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“หมัวหมัวอยู่ที่นี่นะ ข้าจะเดินกลับแล้ว พรุ่งนี้พระชายาจากตำหนักต่างๆ จะต้องไปเยี่ยมที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ ถ้าหากแสดงได้ไม่สมจริงก็จะเป็นที่สงสัย หมัวหมัวก็ทำเหมือนว่าวันนี้ข้าไม่ได้มาก็แล้วกัน” 

 

 

หมัวหมัวพยักหน้า นางเข้าใจความหมายของเซียงฉือ 

 

 

แต่เซียงฉือคิดจะกลับไปคนเดียวนางไม่เห็นด้วย จึงลากฮ่วนอวี่มาส่งเซียงฉือกลับไป 

 

 

เซียงฉือไม่ได้ปฏิเสธ นางออกจากตำหนักเจิ้งหยางท่ามกลางหิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า 

 

 

“ดึกขนาดนี้แล้ว อวิ๋นผินควรรับสั่งให้ซูกงกงเตรียมเกี้ยวนะเพคะ หิมะตกถนนหนทางก็ลื่น หากอวิ๋นผินกระทบกระแทกเข้าจะทำอย่างไรเพคะ” 

 

 

เซียงฉือพยุงมือนาง หัวเราะเบาๆ 

 

 

“ได้เดินท่ามกลางหิมะเช่นนี้สิดีนักหนา หมกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวันอึดอัดจะแย่แล้ว ทำไมล่ะ ให้เจ้ากลับตำหนักเป็นเพื่อนข้าทำให้เจ้าลำบากเช่นนั้นหรือ” 

 

 

ฮ่วนอวี่โบกมือพัลวัน รีบพูดว่า 

 

 

“อวิ๋นผินทรงชอบหยอกบ่าวนัก บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น ล้วนเพราะบ่าวรักอวิ๋นผินนะเพคะ” 

 

 

เซียงฉือส่ายหน้า นางมองดูหิมะที่โปรยปรายลงมาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ 

 

 

“วันที่หิมะตกเป็นวันที่อากาศดี เดินไปข้างหน้าเป็นเพื่อนข้าเถอะ” 

 

 

เซียงฉือก้าวเดินไป หิมะตกทางลื่นแต่ทั้งคู่ช่วยกันพยุงเดินจึงไม่หกล้ม เซียงฉือได้กลิ่นหอมของดอกเหมยลอยมาปะทะจมูก จึงติดตามกลิ่นหอมนั้นไป 

 

 

สวนดอกเหมยในวังกระจายไปทั่ววังในแนวตั้ง ทว่าทอดข้ามอยู่ตรงกลางระหว่างตำหนักเฟิ่งอี๋กับตำหนักเจิ้งหยาง เซียงฉือจะกลับตำหนักเฟิ่งอี๋จึงต้องผ่านมาทางด้านนี้ 

 

 

เพราะดอกเหมยเบ่งบานงดงาม จึงได้หยุดเท้าลงเพื่อชื่นชม 

 

 

“ฮ่วนอวี่ เจ้าไปเด็ดเหมยแดงให้ข้าสักหลายกิ่ง ข้าจะขอชมทัศนียภาพหิมะสักหน่อย พอเจ้ามาพวกเราก็กลับตำหนัก” 

 

 

ฮ่วนอวี่ได้ยินคำพูดอวิ๋นเซียงฉือก็รับคำเสียงใส หมุนกายแล้ววิ่งออกไป