เล่มที่ 18 เล่มที่ 18 ตอนที่ 519 สัมผัสรัก

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ทันใดนั้น พลังภายในอันแข็งแกร่งก็พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ริมน้ำพุร้อนพลันลอยขึ้นและตกลงไปในสระ

นางกำนัลที่กำลังปรนนิบัติอยู่ริมสระรีบหยุดการกระทำและหันไปมองทางอื่น ทั้งยังยืนหันหลังให้สระน้ำ

มีเสียง ‘ซ่า’ ดังขึ้น น้ำในสระพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และค้างอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน ก่อนจะตกลงมากลายเป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติ ปิดกั้นการมองเห็นของเหล่านางกำนัล

“ถอยออกไป! ”

เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีขึ้นมาจากน้ำ พลางออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชา

“เพคะ! ”

เหล่านางกำนัลรีบก้มหน้าตอบรับและเดินออกไป

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ร่างของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าของตนเอง ซูจิ่นซีเหนื่อยจนหมดเรี่ยวแรงจึงผล็อยหลับไป เยี่ยโยวเหยาอุ้มนางเดินไปทางทิศตะวันตกของสระ

ทางทิศตะวันตกของสระมีเตียงหยกอุ่นขนาดใหญ่ เมื่อนั่งอยู่บนเตียง ความสูงของสระน้ำจะอยู่เหนือหน้าอกพอดี กอปรกับกลีบดอกไม้หลากหลายสีสันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เพียงพอที่จะบดบังสายตาจากภาพเหตุการณ์ใต้น้ำ

เยี่ยโยวเหยาวางซูจิ่นซีลงบนเตียงหยกอุ่น และปล่อยให้นางพิงหมอนหยก ขณะที่เขาปล่อยมือจากซูจิ่นซี ซูจิ่นซีที่กำลังหลับใหลพลันขมวดคิ้วมุ่น นางยกเรียวแขนขาวนวลขึ้นมาโอบรอบลำคอของเขา

เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซี พลางยกยิ้มมุมปากด้วยความรักใคร่ เขานั่งลงบนเตียงหยกและประคองร่างซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนของตนอีกครั้ง

เมื่อเห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าตรงหว่างคิ้วของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็อดวางมือลงบนแผ่นหลังของนางไม่ได้ ท่ามกลางแสงจันทร์ เขาถ่ายเทพลังภายในให้ซูจิ่นซี พลังภายในไหลรินเข้าสู่ร่างของซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง

ผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดแน่นของซูจิ่นซีก็เริ่มคลายออก หว่างคิ้วที่แลดูอ่อนล้าเริ่มเลือนหาย ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีเข้มค่อยๆ สว่างชัดเจน

เมื่อพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้น ในสมองก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา นางถูกเยี่ยโยวเหยา ‘ปลุกปล้ำ’ อย่างดุดัน เดิมทีซูจิ่นซีต้องการหลบหนีโดยสัญชาตญาณ ทว่าน้ำเสียงนุ่มนวลของเยี่ยโยวเหยากลับดังขึ้น

“อย่าขยับ! ”

ดังนั้น นางจึงซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนอย่างแท้จริง ราวกับไม่มีอันตรายใดๆ ซูจิ่นซีจึงเชื่อฟังและไม่ขยับตัวอีก

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่เงียบสงบดั่งสายน้ำ แสงนั้นสาดส่องปกคลุมร่างกายของคนทั้งสอง

รอบสระมีดอกท้อบานสะพรั่งพลิ้วไหว กลีบดอกที่โตเต็มที่ปลิวว่อนไปตามสายลม

ใต้น้ำพุร้อนมีตาน้ำขนาดเล็กใหญ่กว่าร้อยจุด แม้เหนือผิวน้ำจะมีกลีบดอกไม้ลอยล่องอยู่จำนวนมาก ทว่าน้ำยังเดือดผุดๆ อย่างต่อเนื่อง ไอน้ำระเหยกลายเป็นชั้นบางๆ ราวกับมีเมฆหมอกปกคลุม

ภาพทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้เปรียบเสมือนสวรรค์บนดิน งดงามยิ่งกว่าสระของเหยาฉือ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะงดงามเพียงใด ก็ไม่งามเท่าความสง่างามของคนทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงหยกอุ่นสีขาวท่ามกลางน้ำพุร้อน

ละอองน้ำท่ามกลางไอหมอกและแสงเงาโดยรอบ ทำให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่มีรูปลักษณ์งดงามอยู่แล้ว ทวีความงดงามมากยิ่งขึ้น ทำให้ดวงตาเคร่งขรึมของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความลึกซึ้งและสว่างสดใสมากขึ้น ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมสันของเขามีเหลี่ยมมุมมากขึ้น

คิ้วและดวงตาของซูจิ่นซีเป็นสีแดงสดใส ผิวขาวนวลดั่งหิมะยิ่งอ่อนนุ่มราวกับน้ำนม คิ้วดกดำดั่งหมึก ดวงตางดงามสุกสกาวดั่งผลึกแก้ว ริมฝีปากเอิบอิ่มดั่งดอกท้อ

ดอกท้อที่เพิ่งร่วงหล่นจากกิ่งพลันลอยมาตามลมและตกต้องใบหน้าของซูจิ่นซีพอดี เป็นดั่งการเติมแต่งดอกไม้ให้แก่ใบหน้าที่สดใส ยิ่งขับเน้นให้แก้มของซูจิ่นซีมีเสน่ห์เย้ายวนมากขึ้น

ซูจิ่นซีเห็นเยี่ยโยวเหยาหายใจติดขัดเล็กน้อย จึงเอื้อมมือไปปัดหน้าผากตนเอง ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “อย่าขยับ”

มือของซูจิ่นซีจึงหยุดชะงัก

เยี่ยโยวเหยาใช้มือใหญ่ลูบไปที่หน้าผากของซูจิ่นซี ก่อนจะหยิบดอกท้อสอดไปที่ผมของนาง

“คือสิ่งใด? ” ซูจิ่นซีถามแผ่วเบา

เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ซูจิ่นซีจึงเอนตัวไปที่ริมสระ นางปัดกลีบดอกไม้บนผิวน้ำออกและมองลงไป

เมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่าเยี่ยโยวเหยาเสียบดอกท้อไว้ที่ผมของนาง ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็พูดอย่างรังเกียจว่า “น่าเกลียดที่สุด! ”

เยี่ยโยวเหยาที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบสุราที่ริมสระพลันหยุดชะงัก เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ข้ามอบสิ่งของให้เจ้า เจ้ากล้ารังเกียจหรือ! ”

ซูจิ่นซีพูดโดยไม่คิดว่า “ก็มันน่าเกลียด! ”

เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกไปเชยคางของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการให้ข้าสั่งสอนอีกหรือ? ”

เมื่อเห็นแววตาน่ากลัวของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็ตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ นางรีบหดตัวกลับ ทว่านางถอยหลังไปได้เพียงครึ่งตัว ทันใดนั้นก็ราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ นางมองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทางสงสัย

“ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นับได้สิบกว่าครั้งแล้ว โยวอ๋อง ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการสั่งสอนหม่อมฉันอีก? ”

เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย พลางใช้นิ้วบีบกรามของซูจิ่นซีแผ่วเบา แก้มเย็นชาค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าของซูจิ่นซีและมองลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยนั้น

“ซูจิ่นซี เจ้าสงสัยในความสามารถของข้าหรือ? ”

ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกอย่างแรง ภายในใจรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ทว่าสัญชาตญาณของนางบอกว่า นางต้องกล้าหาญ กล้าเดิมพัน บางทีนางอาจถึงขีดจำกัดแล้ว!

อย่างไรก็ตาม นางไม่อาจดูหมิ่นเยี่ยโยวเหยาได้

นางเคยประสบกับความดุดันของบุรุษผู้นี้แล้ว

ดังนั้นซูจิ่นซีจึงจงใจพูดคำเยินยอ รอยยิ้มของนางดูเหมือนจริงใจ ทว่ากลับซ่อนสัญชาตญาณไว้เบื้องหลัง

“แหะ แหะ หาได้สงสัยเพคะ! ท่านเป็นผู้ใด! ท่านเป็นถึงท่านอ๋อง! ผู้ใดกล้าสงสัยในตัวท่านกัน? เพียงแต่… ”

ซูจิ่นซีใช้นิ้วมือจับชายเสื้อของตนและขยับไปมาไม่หยุด แก้มของนางแดงระเรื่อเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงพูดประโยคที่เหลือด้วยใบหน้าขวยเขิน

“เพียงแต่ มีบางเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์! เอ่อ… ท่านอ๋อง ท่านเป็นคนธรรมดา หาใช่เทพเซียน ถูกต้องหรือไม่”

หลังสิ้นเสียงคำพูดของซูจิ่นซี มือของเยี่ยโยวเหยาที่จับคางของนางก็เลื่อนลงไปที่เอวอย่างรวดเร็ว เขาต้องการดึงร่างของซูจิ่นซีลงไปในน้ำอีกครั้ง แววตาปรากฏความเจ้าเล่ห์ เปี่ยมไปด้วยอันตรายอย่างลึกซึ้ง

“ตกน้ำ? ลูกไม้นี้อีกแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่าวิธีการนี้ล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง ยังจะมีโอกาสชนะอีกหรือเพคะ? ”

เมื่อเห็นท่าทีขุ่นเคืองของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ

“ซีซี ไม่พบกันหลายเดือน สติปัญญาของเจ้าลดลงไม่น้อย ต้องการให้ข้าบำรุงสักหน่อยหรือไม่? ”

“บำรุง? บำรุงอันใด? บำรุงอย่างไร? ”

เยี่ยโยวเหยา บุรุษผู้นี้มีอารมณ์ดุร้ายไม่จำกัด ทั้งยังไม่น่าไว้วางใจ ซูจิ่นซีรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติ นางยกมือกุมเสื้อที่หน้าอกแน่น พลางจ้องดวงตาของเยี่ยโยวเหยาด้วยความระแวดระวัง

ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่ทำสิ่งใด

ดวงตาดำขลับของเขาจ้องมองดวงตาที่เฝ้าระวังของซูจิ่นซี ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมา เมื่อมองไปที่ร่องรอยแห่งความรักอันดูดดื่มบริเวณใต้ร่มผ้าบางเบาของซูจิ่นซี แววตาของเขาพลันปรากฏความรักและเอ็นดู เขาดึงซูจิ่นซีที่อยู่ข้างเตียงหยกอุ่นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นจึงยกสุราหนึ่งจอกจากบนโต๊ะเล็กริมสระขึ้นมาดื่ม

ขณะเดียวกัน ความปรารถนาบางอย่างก็ถูกกดทับไว้ในส่วนลึก จนกลายเป็นความอดกลั้น

“ซูจิ่นซี เจ้ายังเป็นหนี้ข้าห้าล้านสองแสนตำลึง หนึ่งครั้งคิดให้เจ้าสามสิบห้าตำลึง เจ็ดครั้งต่อหนึ่งคืน หนึ่งปีสามารถคืนได้แปดหมื่นแปดพันสองร้อยตำลึง สักหกสิบปีคงคืนได้ครบพอดี”

“ห้าล้านสองแสนตำลึง? ”

เรื่องเหล่านี้ ซูจิ่นซีลืมไปหมดแล้ว มันแทบจะเป็นเรื่องในชาติก่อน เยี่ยโยวเหยายังจำได้อีกหรือ

ไม่ถูกต้อง ช้าก่อน!

“เจ็ดครั้ง? เจ็ดครั้งต่อหนึ่งคืนอันใด? ”

ซูจิ่นซีตกตะลึง และมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความประหลาดใจ