เดิมที ผิวสีน้ำตาลมันเงาซึ่งพร่างพราวไปด้วยหยดน้ำเล็กๆ ก็ดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากพออยู่แล้ว ยิ่งเขาสวมเสื้อคลุมสีดำบางเบายิ่งดูมีเสน่ห์ล้นเหลือ เสื้อคลุมนั้นจงใจตัดให้เข้ารูป เมื่อเยี่ยโยวเหยาสวมใส่จึงกลายเป็น ‘ผ้ารัดเอว’ ที่แนบชิดไปกับร่าง ทว่าเสื้อกลับไม่ปกปิดร่างกาย มันเผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบของเขา
ซูจิ่นซีจ้องมอง ทันใดนั้น ในความคิดของนางก็ปรากฏภาพเมื่อคืน ยามที่เยี่ยโยวเหยาอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ แท้จริงแล้ว ตอนนั้นนางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จึงมองเห็นไม่ชัดเจน กระทั่งภาพในหัวของนางยังกระจัดกระจายไม่สมบูรณ์นัก
ช่างน่าเสียดาย!
บัดซบ เหตุใดจึงสวมเสื้อผ้าแนบเนื้อเช่นนี้?
ซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกต้องการมองอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น นางก็รับรู้ถึงสายตาผิดปกติของเยี่ยโยวเหยาที่มองมาทางนาง นางจึงเม้มริมฝีปากและจงใจมองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีงงงวย
ขณะที่เงยหน้ามอง ซูจิ่นซีสบสายตาของเยี่ยโยวเหยาเข้าพอดี นางยังไม่ทันได้มองอย่างชัดเจน แววตาของเยี่ยโยวเหยาก็เผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์ เขาค่อยๆ ขยับศีรษะและเอนตัวเข้าหานาง
“ท่าน… ท่านจะทำอันใด? ”
ซูจิ่นซีรีบหันไปมองโดยรอบ สตรีที่สวมเสื้อคลุมสีดอกท้อกำลังเก็บดอกไม้ และโปรยกลีบดอกไม้ลงไปในบ่อน้ำพุร้อนอย่างต่อเนื่อง
บัดซบ อย่าได้คิดทำสิ่งใดในตอนนี้เชียว ตรงนี้ยังมีคนมองอยู่!
ซูจิ่นซีมองพลางครุ่นคิด ร่างของนางค่อยๆ เอนลงอย่างเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม ด้านหลังศีรษะของนางเกือบแตะผิวน้ำอยู่แล้ว ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงโน้มตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อย
“เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดจะทำสิ่งใด? ด้านข้างยังมีคนอยู่! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น พลางใช้มือดันหน้าอกของเยี่ยโยวเหยา พยายามหยุดเขา
ทว่านางไม่คิดเลยว่า เยี่ยโยวเหยาจะมองลงไปที่มือของนางซึ่งวางบนหน้าอก และพูดอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าเห็นท่าทางของซีซียังมีความต้องการอยู่ เหมือนเมื่อคืนจะยังไม่พอ เช่นนั้น… ข้าจะฝืนใจ สนองให้เจ้าอีกสักครั้งเป็นอย่างไร? ”
คำพูดนี้ แม้เยี่ยโยวเหยาจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา ทว่าเดิมที เสียงของเขาก็ทรงพลังมากพออยู่แล้ว ยิ่งในพื้นที่เปิดโล่งระหว่างภูเขาเช่นนี้ เสียงนั้นยิ่งดังชัดเจนมากขึ้น
ทันใดนั้น แก้มของซูจิ่นซีก็กลายเป็นสีแดงระเรื่อ นางหันศีรษะมองไปรอบๆ
คงไม่เป็นไร เหล่านางกำนัลที่อยู่โดยรอบต่างก้มหน้าทำงานอย่างจดจ่อ ไม่ได้สนใจเรื่องราวและคำพูดของเจ้านาย ต่อให้ได้ยิน พวกนางก็แสร้งว่าตนเองหูหนวก แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม เท้าของซูจิ่นซีเกิดลื่นไถล ร่างของนางที่เอนหลังอยู่จึงไม่สามารถทรงตัวได้ และพลัดตกลงไปในน้ำ
น้ำกระเด็นสูงขึ้นราวหนึ่งจั้ง เยี่ยโยวเหยาเห็นว่าน้ำต้องสาดมาโดนตัวเขาเป็นแน่ จึงยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นป้องกัน และมองซูจิ่นซีที่อยู่ในน้ำด้วยรอยยิ้มมุมปาก ทว่าเขากลับเห็นร่างของซูจิ่นซีที่พยายามดิ้นรน ค่อย ๆ จมลงไปใต้น้ำ
เยี่ยโยวเหยาตกใจมาก เขารีบกระโดดลงไปช่วยซูจิ่นซี ทว่าขณะที่มือของเขากำลังจะสัมผัสร่างของซูจิ่นซี ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็เคลื่อนตัวราวกับปลา และแหวกว่ายไปอีกด้านหนึ่งของสระ
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น
เมื่อครู่เขาเห็นร่างของซูจิ่นซีจมลงไปใต้น้ำ เขายังคิดว่าซูจิ่นซีว่ายน้ำไม่เป็น จึงตกใจอย่างมาก ไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะหลอกเขาจนได้
“ซูจิ่นซี เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น พลางส่งสายตาดุดันเจ้าเล่ห์ และว่ายน้ำเข้าไปหาซูจิ่นซี
ในยุคปัจจุบัน ซูจิ่นซีมีทักษะการว่ายน้ำที่ดีมาก นางว่ายไปที่ฝั่งอย่างรวดเร็วและรีบปีนขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่านางเพิ่งปีนขึ้นไปบนหินที่อยู่บนชายฝั่ง ทันใดนั้นก็มีคนดึงข้อเท้าของนางอย่างแรง ทำให้นางตกลงไปในน้ำเสียงดัง ‘โครม’ อีกครั้ง
ต่อให้ตกน้ำอีกครั้ง ซูจิ่นซีก็ไม่กลัว เพราะนางมั่นใจว่าตนเองสามารถว่ายน้ำเอาตัวรอดได้ ดังนั้น เมื่อตกลงไปในน้ำ ซูจิ่นซีจึงพลิกตัวอย่างรวดเร็วดั่งปลาหมึก และแหวกว่ายไปในทิศทางที่นางคิดว่าปลอดภัย
ทว่าเยี่ยโยวเหยาที่มีความเร็วมากกว่า กลับคว้าเอวของนางไว้ได้ ซูจิ่นซีตกใจ ทว่ายังไม่ทันได้ตอบสนอง เยี่ยโยวเหยาก็จับตัวนางเข้าสู่อ้อมแขนเสียแล้ว
การกระทำทั้งหมดเกินความคาดหมายของซูจิ่นซีอย่างมาก นางตกตะลึงจนสำลักน้ำเข้าไปหลายคำ ตอนที่สำลักจนแทบหายใจไม่ออกนั้น ริมฝีปากบางเฉียบและหนาวเย็นของเยี่ยโยวเหยาก็จุมพิตริมฝีปากนาง
เดิมที ซูจิ่นซีคิดว่าเป็นน้ำใจช่วยเหลือจากเยี่ยโยวเหยา ทว่าความจริงกลับพิสูจน์ว่านางนั้นไร้เดียงสาเกินไป
เนื่องจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอด เมื่อริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาประกบลงมา นางจึงไม่ได้ป้องกันตัวใดๆ ทั้งยังยอมรับลมหายใจของเยี่ยโยวเหยาที่มอบให้นาง อย่างไรก็ตาม นางคิดไม่ถึงว่าเวลานี้ เยี่ยโยวเหยากลับยกมือขนาดใหญ่ขึ้นมาฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนร่างของนาง จากนั้นฝ่ามือกว้างใหญ่นั้นก็รุกไล่เล้าโลมไปทั่วร่างกายของนาง
ซูจิ่นซีตกตะลึง นางมองน้ำเบื้องล่างด้วยดวงตากลมโตดั่งตาปลา และพยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหนีจาก ‘เงื้อมมือปีศาจ’ ของเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยาจะปล่อยให้ซูจิ่นซีหนีรอดไปได้โดยง่ายอีกครั้งหรือ?
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็พลิกตัวและใช้เท้าทั้งสองหนีบเท้าของซูจิ่นซีที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ร่างของเขาค่อยๆ จมลงสู่ก้นสระพร้อมกับร่างของซูจิ่นซี
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันเร่าร้อนและหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ ซูจิ่นซียังไม่ทันฟื้นตัวดีนัก ดังนั้นเมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง ซูจิ่นซีจึงยินยอมปล่อยให้เยี่ยโยวเหยา ‘กระทำ’ ขณะที่อยู่ในน้ำ
เดิมทีซูจิ่นซีต้องการดิ้นรนและหาโอกาสหลบหนี ทว่า ขณะที่กำลังพัวพันกับเยี่ยโยวเหยา เขากลับพูดที่ข้างใบหูของนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “จิ่นซี หากเจ้าขยับตัวอีก คนที่อยู่ข้างบนจะเห็นทุกอย่าง! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ท่ามกลางแสงจันทร์และเงาที่สอดประสาน นางเห็นสตรีในชุดคลุมบางเบากำลังเดินอยู่บนฝั่งผ่านทางช่องว่างของกลีบดอกไม้ ทันใดนั้นร่างของนางก็ร้อนผ่าว ราวกับเวลาหยุดนิ่ง และไม่กล้าขยับตัวอีก
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ ก่อนจะโบกมือขนาดใหญ่ ปลดเสื้อผ้าบนร่างของตนเองออก และอุ้มร่างของซูจิ่นซีพาว่ายลึกลงไปในน้ำพุร้อน
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีพลันตระหนักได้ว่า เมื่อนางทำสิ่งใดไว้ก็ต้องรับผลที่ตามมา นางอยากตบปากตนเองเสียจริง
ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มในแววตาเจ้าเล่ห์ของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็เกิดความรู้สึกลึกๆ ว่า เยี่ยโยวเหยาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้สำเร็จ นางจึงขมวดคิ้วมุ่นและกัดไปที่ไหล่ของเยี่ยโยวเหยาเพื่อ ‘แก้แค้น’
เยี่ยโยวเหยาเจ็บปวดยิ่งนัก แววตาของเขามองซูจิ่นซีเป็นดั่งสัตว์ร้ายตัวน้อยที่กำลังโมโห ทว่าเขากลับโปรดปรานนางอย่างลึกซึ้ง จึงกอดรัดซูจิ่นซีและพลิกตัวลูบไล้คลอเคลียนาง
สุดท้าย เมื่อซูจิ่นซีหมดเรี่ยวแรงและไม่สามารถต้านทานพละกำลังของเยี่ยโยวเหยาได้ นางจึงหยุดเคลื่อนไหวและปล่อยให้เยี่ยโยวเหยากระทำทุกอย่างตามอำเภอใจราวกับปลาเค็ม